คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 412 ผู้เคราะห์ร้าย
จินเฟยเหยาเบิกตาโตมองดูคนเบื้องหน้า แยกแยะองคาพยพทั้งห้าของเขาอย่างละเอียด เหมือนจู๋ซวีอู๋อยู่บ้างจริงๆ เพียงแต่ในอดีตหน้าตาเขาไม่คมคาย ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว เกิดควา ามเปลี่ยนแปลงไม่น้อยจริงๆ
“เจ้าฝึกเคล็ดวิชาที่เติบโตไม่ได้ จะเติบโตได้ต้องมีความสัมพันธ์ทางกายมิใช่หรือ?” นางเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ พอพูดออกมาก็ตะลึงงันไป จากนั้นชี้ไปที่เขาแล้วตะโกนลั่น “อา! เจ้าหลับนอน กับสตรีแล้ว!”
เสียงของนางดังเกินไป หัวข้อสนทนาก็อ่อนไหวเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านจึงมองมาที่นี่ จู๋ซวีอู๋รีบใช้มืออุดปากนางอย่างร้อนใจและลากไปตรงมุม “เจ้าจะตะโกนเสียงดังทำไม! ไม่ใช่เร รื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ถึงกับแตกตื่นตกใจ!”
“ไม่ตกใจได้หรือ ที่ข้าประหลาดใจคือ เจ้าบอกว่าขอเพียงมีสัมพันธ์ทางกายพลังบำเพ็ญเพียรจะลดฮวบ ตอนนี้ไม่ลดลงตรงกันข้ามยังบรรลุขั้นแปลงจิต ข้าต้องตกใจแน่นอน ตั้งแต่พวกเราแยกก กันที่โลกวิญญาณเหอเซี่ยก็เป็นเวลาไม่กี่ปี เจ้าบรรลุได้เร็วเกินไปแล้ว ข้าไม่พอใจอย่างยิ่ง” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเดือดดาล นางไม่สนใจหรอกว่าจู๋ซวีอู่จะมีสัมพันธ์ทางกายอย่างไร สิ งที่นางสนใจคือเจ้าหมอนี่เลื่อนขั้นได้เร็วกว่านาง
จู๋ซวีอู๋กลอกตาใส่นาง “เจ้ามีเหตุผลหรือไม่ ถ้าพูดถึงเลื่อนขั้นใครจะเร็วกว่าเจ้า แค่ไม่กี่ปีเจ้าก็เป็นขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายแล้ว คนที่มีคุณสมบัติเหมือนเจ้ายังกระเสือกกระสนอยู่ ที่ขั้นสร้างฐานเลย นี่ข้าเลื่อนขั้นโดยบังเอิญ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้”
“บังเอิญ? เรื่องดีงามแบบนี้ทำไมไม่ถึงรอบของข้าบ้าง เล่ามาให้ฟังสิ บังเอิญเลื่อนขั้นได้อย่างไร ข้าจะไปเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตดูบ้าง” จินเฟยเหยาเอ่ยถามด้วยสีหน้าทะเล้น
“ง่ายดายยิ่ง” จู๋ซวีอู๋ยิ้มให้นาง “เจ้าไปหาคนที่มีวิญญาณจริงสัตว์ร้าย จากนั้นให้เขามีสัมพันธ์ทางกายกับเจ้าแล้วถ่ายทอดพลังบำเพ็ญเพียรให้เจ้าก็พอ แต่อีกฝ่ายต้องไม่เคยบำเพ็ญ ญคู่กับคนอื่นมาก่อน เจ้ามีคนแบบนี้หรือไม่?”
จินเฟยเหยานิ่งอึ้ง มองเขาด้วยสายตาประหลาดพลางเอ่ยอย่างช้าๆ “เจ้าคงไม่ได้มีสัมพันธ์ทางกายกับฮุ่นตุ้นหรอกนะ? ไม่ถูกสิ ยายนั่นสมองสับสน น่าจะเป็นเจ้าบังคับให้นางมีสัมพันธ์ทางก กายกับเจ้ามากกว่า นางไม่ได้ยินมองไม่เห็นพูดไม่ได้ แบบนี้เจ้ายังทำลงอีก จิตใจอำมหิตจริงๆ อีกทั้งยังดึงพลังบำเพ็ญเพียรของนางมาไว้ในร่างเจ้า เปลือกนอกใจดีลับหลังมีเจตนาร้าย”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย! เจ้าไม่รู้เหตุการณ์ในตอนนั้น เจ้านึกว่าข้าจะเสี่ยงอันตรายสลายเคล็ดวิชาไปทำเรื่องพรรค์นี้หรือ? เป็นอุบัติเหตุล้วนๆ แม้แต่ข้าบรรลุขั้นแปลงจิตก็เป็น นแค่เรื่องบังเอิญ ข้าไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ” ถึงจู๋ซวีอู๋จะไม่ใช่คนหน้าบาง แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับฮุ่นตุ้นที่เขาถือว่าเป็นพี่สาวมาตลอด ตัวเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดต ต่อฮุ่นตุ้น
อีกทั้งคำพูดที่พูดออกจากปากจินเฟยเหยาก็ยิ่งไม่น่าฟัง เหมือนตนเองบังคับให้ฮุ่นตุ้นทำเรื่องพรรค์นั้น แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ตนเองก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายนะ!
“ได้เปรียบแล้วชัดๆ ยังแสร้งทำท่าว่าไม่ต้องการอีก” จินเฟยเหยาบ่น “ไม่เพียงมีสัมพันธ์ทางกายเล่นๆ ยังฉวยโอกาสเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตด้วย อีกทั้งร่างยังกลับคืนเป็นผู้ใหญ่ ทั้งหม มดก็ทำให้เจ้าได้ประโยชน์โดยสมบูรณ์แล้ว ยังบอกว่าไม่ใช่ความยินยอมของตนเองอีก หรือความหมายของเจ้าคือเจ้าถูกใส่ร้าย ไม่เป็นตัวของตัวเองจึงถูกฮุ่นตุ้นข่มขืน!”
“เจ้าพูดระคายหูเกินไป ตอนนั้นพวกเราสองคนถูกพิษของผลสะบั้นรักสูญเสียสติสัมปชัญญะ จึงทำเรื่องนี้อย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง ส่วนเรื่องถ่ายพลังบำเพ็ญเพียรให้ข้าเป็นความสมัครใจของ งฮุ่นตุ้น ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้แตะต้องนางเลยแม้แต่ปลายนิ้ว” ดูเหมือนจู๋ซวีอู๋อยากจะให้จินเฟยเหยาเชื่อคำพูดของเขาอย่างยิ่งจึงดึงนางไว้แล้วอธิบายอย่างสุดกำลัง
จินเฟยเหยาปิดปากหัวเราะหึๆ “ไม่ได้แตะแม้แต่ปลายนิ้ว…”
จู๋ซวีอู๋มองนางอย่างดูแคลน “เจ้ายิ่งเลวร้ายขึ้นทุกทีจริงๆ หัวเราะอะไร คนที่ไม่มีประสบการณ์เลยสักนิดทำเหมือนรู้มาก”
พูดเรื่องนี้อีกแล้ว คนพวกนี้ขอเพียงมีประสบการณ์เล็กน้อยก็ทำเหมือนเหนือกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่งตลอด ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ! จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก “มีอะไรยอดเยี่ยมกัน ก็ แค่อาศัยสตรีเลื่อนขั้น แล้วฮุ่นตุ้นเล่า คงไม่ได้ถูกพวกเจ้าพาไปเฝ้าประตูอีกหรอกนะ”
จู๋ซวีอู๋เงียบงันไป เอ่ยอย่างโศกเศร้า “ข้าคิดจะหาสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งให้นาง แต่นางอารมณ์ไม่มั่นคง พลังบำเพ็ญเพียรก็ลดลงเป็นขั้นหลอมรวม อยู่คนเดียวไม่ปลอดภัย เดิมทีข้า วางแผนจะส่งนางกลับสำนักหลิงเถี่ยวก่อน ถึงที่นั่นจะไม่มีอิสระ แต่เจ้าก็เคยเห็นสภาพของนางแล้ว อยู่ข้างนอกข้ายิ่งไม่วางใจ ตอนข้าบรรลุขั้นแปลงจิตใช้เวลาไปไม่น้อย รอจนข้าเลื อนขั้นสำเร็จ นางก็จากไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ใด ข้าเป็นห่วงนางมาก”
“ส่งกลับสำนักหลิงเถี่ยว! ตอนนี้นางถือเป็นสตรีของเจ้า เจ้าทำแบบนี้เกินไปหน่อยหรือไม่ ทำไมเจ้าไม่เอานางไว้ข้างกาย แค่เดือดดาลเป็นบางครั้ง เจ้าก็ถือว่านางเป็นคนสมองมีปัญหา ข ขอเพียงไม่เดือดดาลปกติก็ยังดีๆ เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่มีพื้นที่มิติ ถ้ามีโยนนางเข้าไปก็พอแล้ว” จินเฟยเหยาดูแคลนเขาอย่างยิ่ง บุรุษนี่น้า พอทำเรื่องแบบนั้นแล้วก็จากไปโ โดยไร้เยื่อใย
“ข้าย่อมมีของสิ่งนี้ แต่จะอธิบายกับสำนักหลิงเถี่ยวว่าอย่างไร! ถ้าข้าทำแบบนี้ก็ผิดต่ออาจารย์ของข้า” สีหน้าของจู๋ซวีอู๋แปรเปลี่ยน จากนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมทันที เอ่ยด้วยสี หน้าหงุดหงิด
จินเฟยเหยาจ้องมองเขาโดยไม่ส่งเสียง จากนั้นส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “ตามใจเจ้า ถ้าไม่กล้าเจ้าก็เป็นศิษย์ที่ดีต่อไป”
หัวข้อสนทนาจึงจบลงอย่างงุนงงเช่นนี้ คนทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของฮุ่นตุ้นอีก จินเฟยเหยาไม่ได้ถามต่อไปและไม่ได้ออกหน้าสั่งสอนเขาแทนฮุ่นตุ้น ส่วนจู๋ซวีอู๋ก็ทำราวกับไม่มี เรื่องเช่นนี้ ทั้งสองคนเริ่มคุยกันเรื่องอื่น
“เจ้าเก็บเมล็ดพืชพวกนี้ไปทำไม?” คนทั้งสองกลับมาถึงหน้าแผงของจินเฟยเหยาอีกครั้ง นั่งลงรับซื้อเมล็ดพืชด้วยกัน
“เจ้านั่งอยู่ที่นี่ทำให้ข้ากังวลอย่างยิ่ง พลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งสะดุดตาเกินไป ลดพลังบำเพ็ญเพียรลงมาหรือถอยมาหน่อยได้หรือไม่ คนขั้นฝึกปราณไม่กล้าเข้ามาเลย” จินเฟยเหยาบอกกั บเขาด้วยสีหน้าไม่ดี
จู๋ซวีอู๋เหมือนไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามยังจงใจนั่งนิ่งไม่ขยับ รูปร่างเติบโตแล้ว นิสัยกลับไม่ได้เติบโตตามไปด้วย ยังเป็นอันธพาลอยู่เหมือนเดิม “ไม่ต้องรับแล้ว นอกจากโลก กวิญญาณจ้งถู่ เจ้าไปสุ่มหาโลกวิญญาณอีกแห่ง ก็มีพืชที่สามารถกินได้อยู่ทั่วพื้น เหตุใดต้องใช้เงินด้วย เจ้าเก็บสิ่งนี้คงไม่ใช่เพราะตะกละเปลี่ยนมากินเจหรอกนะ”
“ข้าทำเพื่อทำความดีล้วนๆ ข้าเป็นคนดี” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกใส่เขาอย่างภาคภูมิ
“ทำความดี! เจ้าไปหลอกผีเถอะ” จู๋ซวีอู๋ยักไหล่เอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน คิดถึงตอนนั้นที่ยายนี่ลากตนเองไปขโมยของดีๆ ในสำนักต่างๆ มากมาย ยายคนที่ขี้ขลาด ละโมบ เลือดเย็น และอำมหิต ต ยังมาพูดถึงเรื่องทำความดีอะไรอีก ไม่ทำร้ายคนอื่นก็นับว่าดีแล้ว
“จริงๆ นะ” จินเฟยเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้ามาที่นี่ก็เข่นฆ่าและขับไล่เผ่าพิภพ ตอนนี้พวกเขาไม่มีอาหารกิน ต้องกินรากหญ้าและดินประทังชีวิตอย่างน่าสงสาร ยังน่าสมเพชกว่ าขอทานหลายเท่า มีทั้งบุตรธิดาเด็กคนชรา ดังนั้นข้าจึงรับซื้อเมล็ดพืชเล็กน้อย คิดจะปลูกพืชอาหารให้พวกเขา ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นบุคคลสำคัญของสำนักอันเที่ยงธรรมกลับไม่สนใจความเ เป็นความตายของพวกเขา อีกทั้งยังเข่นฆ่าผู้อ่อนแอ เทียบกันแล้วคุณธรรมยังห่างไกลจากข้าอยู่มาก”
“…” จู๋ซวีอู่หมดวาจาอยู่บ้าง เขาไม่เคยสังเกตเห็นเผ่าพิภพจริงๆ เรื่องสังหารเผ่าพิภพเขาก็ไม่เคยทำ หลักๆ คือพลังบำเพ็ญเพียรของเผ่าพิภพต่ำเกินไป ต่ำจนเหมือนกับหนูจริงๆ จ จึงไม่ถึงรอบให้เขาลงมือ แต่เขารู้เรื่องเข่นฆ่าเผ่าพิภพ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนพวกเขาเพิ่งมาโลกวิญญาณจ้งถู่
ตอนนั้นกำลังร่วมมือกับเผ่ามนุษย์ของโลกวิญญาณทางฝั่งนี้พอดี พวกเขาเหลือผู้บำเพ็ญเซียนไว้สามในสิบส่วน คนอื่นๆ ต่างไปโลกวิญญาณอื่น ตอนนั้นเพื่อแย่งชิงศิลาวิญญาณจึงทำเรื่องเ เหล่านี้ลงไปจริงๆ โดยเฉพาะตอนนั้นนึกว่าในมือของเผ่าพิภพมีศิลาวิญญาณมากมาย ดังนั้นจึงลงมือปล้นฆ่า สุดท้ายความจริงกลับพิสูจน์ชัดว่าในมือเผ่าพิภพไม่มีศิลาวิญญาณเลย คนที่นี่ไ ไม่เห็นศิลาวิญญาณสำคัญ ดังนั้นเผ่าพิภพจึงไม่ได้เก็บศิลาวิญญาณไว้
สุดท้ายก็เสียแรงสังหารเผ่าพิภพเปล่าๆ
ถ้าเปลี่ยนคนใช้เรื่องนี้มาพิสูจน์ว่าตนเองทำความดี จู๋ซวีอู๋รู้สึกว่าตนเองยังเชื่อถือ แต่ถ้าเป็นคนผู้นี้ เป็นไปได้ว่า็นไต้องเป็นคนละเรื่องแน่ ดังนั้นเขาจึงมองจินเฟยเหยา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้าคงคิดจะหลอกใช้พวกเขาเสียแปดส่วน ดังนั้นจึงให้ผลประโยชน์เล็กน้อยแก่พวกเขาให้พวกเขาทำงานให้เจ้า อย่างเช่นช่วยเจ้าขุดศิลาวิญญาณ ข้าพูดถูกสินะ”
“เจ้าใช้จิตใจคนต่ำช้ามาคำนวณความคิดวิญญูชน ข้าเป็นใคร แม้แต่ศิลาวิญญาณหนึ่งพื้นที่มิติก็มอบให้ผู้อื่นได้ จะหมายตาศิลาวิญญาณที่ถูกขุดจนเกลี้ยงไปนานแล้วได้อย่างไร ข้าแค่คิ ดจะทำความดีเล็กน้อย ช่วยเหลือเผ่าพิภพที่น่าสงสารเหล่านี้” จินเฟยเหยาเชิดหน้าขึ้น คุยโวโดยไม่ละอายใจ
นางเชื่อมั่นอย่างยิ่ง ถึงจู๋ซวีอู๋จะไปถามเผ่าพิภพต่อหน้า พวกเขาก็จะพูดถึงนางในทางที่ดีอย่างสำนึกขอบคุณ หากมิใช่เพราะนาง เผ่าพิภพเหล่านี้คงใช้ชีวิตอย่างอดอยากอยู่เลย ไหนเลย จะเหมือนเช่นในยามนี้ที่ไม่มีความละโมบอาหารอยู่บนใบหน้าแล้ว แต่ละคนมีสีหน้าดูดีกินอิ่มสวมอุ่นคิดถึงแต่ราคะ ไม่มีอะไรก็ให้กำเนิดเด็กน้อยเล่น
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็ชี้หน้าจู๋ซวีอู๋แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าทำร้ายเผ่าพิภพจนกลายเป็นแบบนี้ ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งด้วย เพื่อทำคุณไถ่โทษ พวกเจ้าต้องให้ถุงเฉียนคุนที่บรรจุอาห หารจนเต็มแก่ข้าหลายสิบถุง”
จู๋ซวีอู๋มองนางอาละวาดโดยไร้เหตุผลจึงเอ่ยตรงๆ “เจ้าขอมากไปแล้ว ขั้นฝึกปราณต่างต้องกินยางดอาหาร เจ้านึกว่าทุกคนล้วนเป็นเหมือนเจ้าบนตัวพกแต่ของกินหรือ อย่าว่าแต่ไม่มี ถึ งมี ทำไมพวกเราต้องช่วยเผ่าปิศาจด้วย ป้อนพวกเขาให้อิ่ม จากนั้นมาสังหารคนของพวกเราอีกหรือ?”
“เผ่าปิศาจ?” จินเฟยเหยาตระหนักได้ทันที เผ่าพิภพก็เป็นคนในเผ่าปิศาจ เพียงแต่เนื่องจากตัวเล็กอ่อนแอเกินไป จึงทำให้นางเพิกเฉยถึงปัญหาด้านเผ่าพันธุ์ของพวกเขา
แต่นางหัวเราะอย่างเย็นชา ผายมือยักไหล่เอ่ยว่า “พวกเขาเป็นเผ่าปิศาจที่ไม่ได้รับการบ่มเพาะชัดๆ ถ้าบอกว่าเป็นเผ่าปิศาจก็ยังห่างชั้นอีกไกล เจ้าเคยเห็นเผ่าปิศาจที่ใช้ชีวิตไม่ ต่างจากหนูหรือไม่ อย่ามาปัดความรับผิดชอบ มอบอาหารมา รังแกคนอ่อนแอกว่าชัดๆ ยังบอกว่าตนเองบริสุทธิ์”
“กลัวเจ้าแล้วจริงๆ ตามข้ากลับไปดู มีศิษย์บางคนล่าสัตว์ปิศาจแล้วเก็บใส่ถุงเฉียนคุนทั้งตัว หลังจากกลับไปว่างแล้วจึงค่อยจัดการ ดูสิว่ามีกี่คนที่ยังมีสัตว์ปิศาจที่ไม่ได้จัดการ ร จะให้พวกเขามอบเนื้อให้เจ้า แต่ข้าไม่รับรองว่าจะได้มากแค่ไหน ถึงอย่างไรโลกวิญญาณจ้งถู่ก็ไม่มีสัตว์ปิศาจให้สังหาร เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะเก็บซากเผ่าปิศาจกลับมา เจ้าอย่าหวังม มากเกินไปล่ะ” ที่จริงจู๋ซวีอู๋ก็ไม่ได้เห็นเผ่าพิภพเป็นศัตรู อ่อนแอเกินไป อ่อนแอราวกับหนูที่พบเห็นได้ทั่วทุกที่ ใครจะไปสนใจ ในเมื่อนางอยากได้อาหารขนาดนี้ เช่นนั้นให้นางก็ พอ ไม่แน่ว่านางอาจจะใช้ข้ออ้างว่าช่วยเผ่าพิภพหาอาหาร แต่ที่จริงหาอาหารให้ตนเองแทน
พอจินเฟยเหยาได้ยินก็รีบรับคำ “ไม่เพียงคนของหอซวีชิง เจ้าถามกองทัพสิบสองทั้งหมดด้วย ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตก็มีอำนาจไม่น้อย เจ้าแค่ต้องการเนื้อสัตว์ที่ไม่จำเป็น นต้องใช้นิดหน่อย คาดว่าพวกเขาคงมอบให้”
ยุ่งยากจริง จู๋ซวีอู๋กลอกตาใส่นาง “รู้แล้ว เก็บแผงของเจ้าแล้วตามข้ามา ข้าจะแวะถามว่ามีเมล็ดพืชที่ใช้เป็นอาหารได้หรือไม่ด้วย”
“ขอบคุณ ท่านเป็นคนดีจริงๆ เผ่าพิภพต้องตั้งป้ายให้ท่านแน่” จินเฟยเหยาหัวเราะอย่างตื่นเต้นยินดี รีบเก็บแผงแล้วติดตามจู๋ซวีอู๋ไปที่ตั้งของกองทัพสิบสอง