คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 413 รู้ความจริง
จินเฟยเหยาติดตามด้านหลังจู๋ซวีอู๋ มาถึงค่ายทัพสิบสองของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนของสำนักตงอวี้หวง ดังนั้นจึงไม่อาศัยอยู่รวมกับผู้บำเพ็ญเซียนของโลกวิญญาณเ เหอเซี่ย
เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ที่นี่ จินเฟยเหยาก็รู้สึกได้ถึงปราณแห่งการเข่นฆ่าขุมหนึ่งพวยพุ่งขึ้น เพียงใช้ตาเนื้อมองไป ก็เห็นกลางอากาศเหนือค่ายมีสีโลหิตจางๆ นางจุปากเอ่ยถาม “ศิษย์ห หลานของท่านเป็นแบบนี้จะเกินไปหน่อยหรือไม่ ท่านไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวหรือ?”
“จะยุ่งเกี่ยวได้อย่างไร เขาเดินบนเส้นทางแห่งการเข่นฆ่า ชาตินี้ถูกกำหนดให้เป็นเช่นนี้” จู๋ซวีอู๋ย่อมรู้ว่าจินเฟยเหยาพูดถึงอะไร จึงส่ายศีรษะตอบรับคำหนึ่ง
“ถ้านี่ถือว่าเป็นสำนักอันเที่ยงธรรมที่มีชื่อเสียง อย่างนั้นข้าคงเป็นคนดีมาสิบชาติ” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะเช่นเดียวกัน ติดตามด้านหลังจู๋ซวีอู๋เดินเข้าไปในสีโลหิตนี้
เวลานี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางกลับคืนเป็นดังเดิมแล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็น ปกติจินเฟยเหยาจะไม่ซ่อนพลังบำเพ็ญเพียร คนอย่างนางไม่ระวังตัวขนาดนั้น
จู๋ซวีอู๋พานางเข้ามาในค่าย ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนคารวะเขามาตลอดทาง นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าซึ่งค้นหาวัตถุดิบธาตุสายฟ้าในโลกระดับเทพตลอดปีตลอดชาติแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียน นขั้นแปลงจิตก็เป็นคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงที่สุดในโลกระดับวิญญาณ ทุกคนจึงให้ความเคารพเป็นธรรมดา
บนหลังคาห้องที่สูงที่สุดในค่ายมีคนผู้หนึ่งกำลังเข้าฌานอยู่ ปราณสีโลหิตทั้งหมดพลุ่งออกมาจากร่างของเขา มองเงาร่างอันคุ้นเคยนั่น จินเฟยเหยาอดถอนหายใจไม่ได้ “กิ่งไผ่ที่มี สีเขียวมากมายในอดีต ตอนนี้เสียหายกลายเป็นสีแดงหมดแล้ว”
ได้ยินคำพูดของนาง จู๋ซวีอู๋ก็มองนางสองครั้งอย่างจนใจ “ข้ายังนึกว่าเจ้าจะเป็นห่วงเขา คิดไม่ถึงว่าจะสังเกตแต่ความเปลี่ยนแปลงของไผ่วั่นคง”
“เป็นห่วงเขา?” จินเฟยเหยาเลิกคิ้วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “จริงสิ อาไตของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ กระต่ายตัวนั้นรูปร่างอ้วนท้วนมาก ย่างแล้วต้องรสชาติไม่เลวแน่”
“วันๆ รู้จักแต่กิน เจ้ารอสักครู่” จู๋ซวีอู๋บอกกล่าว แล้วตะโกนบอกไป๋เจี่ยนจู๋บนหลังคา “เจี่ยนจู๋ เจ้าดูสิว่าใครมา”
ไป๋เจี่ยนจู๋กำลังปลดปล่อยปราณแห่งการเข่นฆ่าในร่างกาย ปราณแห่งการเข่นฆ่าปลดปล่อยออกมาอย่างยุ่งเหยิง จากนั้นจัดระเบียบแล้วเก็บกลับเข้าร่างกาย ราวกับโคสำรอกพืชที่กินเข้าไปกลับม มาเคี้ยวใหม่อีกครั้ง ทำให้ปราณแห่งการเข่นฆ่าหลอมรวมเข้ากับตนเองได้ดียิ่งขึ้น ได้ยินเสียงจู๋ซวีอู๋ตะโกน เขาจึงค่อยๆ เก็บสีแดงโลหิตเหล่านี้เข้าสู่ในร่างกาย แล้วจึงลืมตาขึ้นอ อย่างช้าๆ แวบเดียวก็เห็นจินเฟยเหยาที่ยืนอยู่ด้านล่าง
สบสายตา จ้องมองกัน
ทั้งสองคนคนหนึ่งอยู่บนพื้น อีกคนอยู่บนหลังคา จ้องมองอีกฝ่ายอยู่แบบนี้ อากาศราวกับจะผนึกแข็ง
“จริงเสียด้วย ต้นไผ่ต้องสีเขียวจึงงดงาม สีแดงแปลกประหลาดเกินไป” มองอยู่ครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาจึงใช้สองมือกอดอก พยักหน้าอย่างแรงและเอ่ยอย่างมั่นใจ
เสียงดังไปถึงหูของไป๋เจี่ยนจู๋ เขาหลุบตาลงมองไผ่วั่นคงของวิเศษแก่นชีวิตในมือ เดิมทีเป็นสีเขียวขจี ยามนี้กลายเป็นสีแดงโลหิตทั้งกิ่ง ส่องรัศมีแสงประหลาด ไป๋เจี่ยนจู๋พลิกมือ เก็บไผ่วั่นคง ร่อนลงพื้น และคารวะจู๋ซวีอู๋ “คารวะซือจู่”
ทักทายจู๋ซวีอู๋เสร็จ เขาก็หันมือมาคารวะจินเฟยเหยา “สหายเซียนจิน คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่”
เดิมทีเขาคิดจะเรียกศิษย์น้องเล็ก แต่พอคิดดูนั่นเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยไหนแล้ว นึกได้ว่าในอดีตดูเหมือนตนเองจะไม่เคยเรียกนางแบบนี้ คิดไปคิดมา เรียกสหายเซียนจินจะเหมาะสมกว่า
“ไม่ถือว่าบังเอิญ ซือจู่ของเจ้าบังคับลากข้ามา เขาบอกว่าจะลงแรงช่วยเหลือเพื่อนตัวน้อยๆ ที่น่าสงสาร มอบอาหารให้พวกเขา” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ
ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เพื่อนตัวน้อยๆ?”
จินเฟยเหยาไอแค่กๆ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นกลุ่มผู้อ่อนแอที่ถูกสงครามทำร้ายกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากที่นี่เปิดศึก พวกเขาจึงไร้ที่อยู่อาศัยไม่มีอาหารกินอิ่มท้อง หลังจาก พี่จู๋ได้ยินก็ตัดสินใจจะหาอาหารมามอบให้พวกเขาเพื่อแสดงความจริงใจของตนเอง”
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี ผู้อ่อนแอสมควรได้รับการปกป้องจริงๆ ข้าก็จะช่วยเหลือด้วย” ไป๋เจี่ยนจู๋พยักหน้า คิดจะช่วยเหลือพวกเขาด้วยเจตนาดี คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้เข่นฆ่าจนกลายเป็นเช่นน นี้ยังมีจิตใจดีงาม โชคดีที่สติของเขาไม่ได้รับผลกระทบ
เห็นจินเฟยเหยาพอมาถึงก็เริ่มหลอกล่อศิษย์หลานที่สัตย์ซื่อถือมั่นของตนเอง จู๋ซวีอู่จึงใช้มือผลักจินเฟยเหยาออกอย่างไม่เกรงใจ “อย่าไปสนใจคำพูดนาง คนผู้นี้พูดจาเชื่อถือไม่ไ ได้”
“แต่เป็นเรื่องดีจริงๆ ซือจู่ช่วยเหลือคนได้ก็ไม่เลว” ไป๋เจี่ยนจู๋นึกว่าจู๋ซวีอู๋พูดจาตามมารยาทเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาทำความดีหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ เดิมทีสำนักตงอวี้หวงก็เป็ นสำนักอันเที่ยงธรรมที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว
“เช่นนั้นขอมอบเรื่องนี้ให้เจ้า เจ้าลองไปถามดู ถ้ามีคนมีสัตว์ที่ล่ามาแล้วยังไม่ได้จัดการก็ขอเนื้อสัตว์มา ภารกิจช่วยเหลือผู้อ่อนแออดอยากก็มอบให้เจ้าไปทำ คาดว่าเจ้าต้องตั้งใจท ทำแน่” จู๋ซวีอู๋สมองแล่นปราด เบื้องหน้ามีแรงงานสำเร็จรูปยืนอยู่ ดังนั้นจึงรีบโยนเรื่องนี้ให้ไป๋เจี่ยนจู๋
ไป๋เจี่ยนจู๋คิดไม่ถึงว่าตนเองพูดจาดีๆ สองประโยคก็ถูกมอบหมายภารกิจ อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้อื่นเห็นแล้วรู้สึกงุนงง แต่จู๋ซวีอู๋ไม่คิดจะให้เขาหนีไป จึงโยนถุงเฉียนคุนว่าง งเปล่าใบหนึ่งให้เขาแล้วส่งเขาไปขอเนื้อสัตว์
จินเฟยเหยาอยู่ในค่ายของโลกวิญญาณเป่ยเฉินสามวัน ไป๋เจี่ยนจู๋และจู๋ซวีอู๋ช่วยนางสอบถามว่าใครมีเนื้อสัตว์ไปทั่ว ส่วนหวาหวั่นซีกลับไม่มีความเคลื่อนไหว นอกจากใช้การรับรู้รู้ว่า นางยังอยู่ในเมืองแล้วก็ไม่รู้ว่านางถูกเหรินเซวียนจือพาไปทำอะไร
ขอเพียงไม่ต้องออกไปฆ่าคน ไป๋เจี่ยนจู๋ก็จะนั่งจัดการปราณแห่งการเข่นฆ่าอยู่บนหลังคา รอจนเขาเก็บปราณสีโลหิตครั้งนี้กลับไป จินเฟยเหยาที่มารับอาหารฟรีจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ จ้าชอบกินปราณแห่งการเข่นฆ่ามากหรือ? ข้าไม่ชอบเลยสักนิด กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นมาก”
ไป๋เจี่ยนจู๋ลืมตาช้าๆ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าจะชอบกินสิ่งของแบบนี้ได้อย่างไร ปราณแห่งการเข่นฆ่ามากเกินไปจะส่งผลกระทบถึงชีพจรและการโคจรพลังของข้า เพื่อไม่ให้พวกมันอุดกั้นชีพจร ร วิธีที่ดีที่สุดคือสร้างแก่นของปราณแห่งการเข่นฆ่าออกมา พอถึงระดับก็สามารถดูดซับได้ทั้งยังไม่อุดกั้นชีพจร”
“น่าเบื่อหน่ายจริงๆ พอว่างก็ต้องมานั่งที่นี่ มีเวลาว่างก็รีบออกไปช่วยหาเนื้อสัตว์ปิศาจให้ข้าเร็ว พวกเจ้าสองศิษย์อาจารย์ต่างเป็นปิศาจเกียจคร้าน หาข้ออ้างขี้เกียจทั้งวัน” จิน เฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ สามวันนี้เพิ่งได้เนื้อสัตว์ปิศาจมายี่สิบกว่าตัว นับว่ามีปริมาณไม่น้อย ปกติตัวหนึ่งกว้างสองสามจั้ง ไม่เช่นนั้นหลายวันนี้คงอยู่ที่นี่อย่างเสียแรงเปล่า
ถึงกับบอกว่าตนเองหาข้ออ้างแอบเกียจคร้าน เขาวิ่งไปข้างนอกเพื่อขอเนื้อสัตว์และเมล็ดพืชจากผู้บำเพ็ญเซียนให้นางทั้งวันชัดๆ นางไม่รู้สึกซาบซึ้งเลยสักนิดยังพูดจาเสียดสีอีก ดั งนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ต้องการยายังพอว่า ต้องการเมล็ดพืชและอาหารยากเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนไม่กินอาหารนานแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หาง่ายๆ มิสู้เจ้าไปโลกวิญญาณอื่นแล้วฆ่า าสักหลายหมื่นตัวกลับมาก็มีกินแล้ว”
“ไกลเกินไป ข้ากลับมาพวกเขาก็อดตายหมดพอดี” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ ดูแล้วเกียจคร้านอย่างยิ่ง พอเห็นก็รู้ว่าไม่ได้ทำดีอย่างจริงใจ
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะหารือเรื่องนี้ ยันต์ถ่ายทอดเสียงสีเหลืองสายหนึ่งก็บินมา เป้าหมายคือจินเฟยเหยา
จินเฟยเหยาพลิกมือใช้สองนิ้วคีบยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง ที่นี่จะมีใครส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงถึงตนเอง หรือว่ามีคนรู้จักมากมายขนาดนี้? พอนางออกแรงนิ้วก็ทำให้ยันต ต์ถ่ายทอดเสียงฉีกขาด ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ฉีกขาดกลายเป็นแสงดาราสีเหลืองจุดเล็กๆ ร่วงลงมา ในนั้นมีเสียงเดือดดาลดังมาทันที “จินเฟยเหยา!”
เสียงนี้ทั้งเดือดดาลทั้งเปี่ยมด้วยเจตนาสังหาร แม้แต่ไป๋เจี่ยนจู๋ที่อยู่ด้านข้างยังอดประทับใจไม่ได้ “เจ้าล่วงเกินใครอีกล่ะ ฟังน้ำเสียงแล้วเดือดดาลอย่างยิ่ง”
“ไม่มีอะไร เป็นคนรู้จักน่ะ แค่ตะโกนระบายอารมณ์ไม่พอใจตามสบายเท่านั้น” พอจินเฟยเหยาได้ยิน เหรินเซวียนจือนี่นา ทำไมจึงส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างเดือดดาลมาให้ตนเอง อีกทั้งเนื้ อหายังมีน้อยมาก มีแค่ชื่อของตนเอง
ในเวลานี้เอง มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานวิ่งมารายงาน “ผู้อาวุโสไป๋ ข้างนอกมีซั่นอวี่เจินเหรินแห่งสำนักหมิงเยวี่ยของโลกวิญญาณซั่งเยี่ยมา บอกว่าขอพบผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ชื อจินเฟยเหยา”
คนผู้นี้วิ่งมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไป่เจี่ยนจู๋จะยุ่งเกี่ยวได้ อีกฝ่ายบอกตรงๆ ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย หน้าตาสัตย์ซื่อถือมั่นที่เพิ่งมาไม่กี่วันนี้ พอดีเป็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นข้างกายคนของสำนักตงอวี้หวง ดังนั้นจึงตรงมาหา
“อ้อ มาหาข้า” จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าเหรินเซวียนจือจะตามยันต์ถ่ายทอดเสียงมา ที่จริงให้หวาหวั่นซีนำทางมาก็พอ จำเป็นต้องใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงค้นหาด้วยหรือ
นางบอกไป๋เจี่ยนจู๋คำหนึ่ง ก็ติดตามศิษย์ขั้นสร้างฐานคนนี้เดินไปนอกค่าย เพิ่งเหยียบย่างออกไป คอเสื้อก็ถูกคนใช้มือคว้าไว้แล้วดึงอย่างแรงทันที จากนั้นใบหน้าเดือดดาลของเหร รินเซวียนจือก็แนบลงมา ด่าทอจินเฟยเหยา “เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใด! เพราะเหตุใดเจ้าต้องทำขนาดนี้!”
น้ำลายของเขาพ่นมา จินเฟยเหยางุนงง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่รีบถามว่า “ทำอะไร ข้าต้องทำแบบนี้อะไร? ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย อยู่ที่นี่ตลอดนะ?”
เห็นนางไม่เข้าใจ เหรินเซวียนจือก็คำรามเสียงต่ำด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าพูดถึงเสี่ยวซี เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าว่านางเป็นหุ่นเชิด!”
ที่แท้ถูกเขาพบเห็นแล้ว จึงมีโทสะเพราะเรื่องนี้ จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างสงบนิ่งโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ทำไมข้าต้องบอกด้วย หรือเจ้ารู้สึกว่านางเหมือนหุ่นเชิด? ข้าเห็นนางเป็นสหาย จะเที่ยวพูดไปทั่วได้อย่างไร”
“ทำไมเจ้าจึงไม่สร้างนางให้สมบูรณ์!” เหรินเซวียนจือถามอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ในสมองของเขายามนี้ทั้งหมดเป็นหวาหวั่นซีเปลื้องเสื้อผ้า เผยให้เห็นผิวกายขาวเรียบลื่นเนียนนุ่มทั้งตัว พวกเขาสองคนโอบกอดกัน สุดท้ายกลับทำให้เขาตกใจสุดขีดจนกระโดดลงจากเต ตียง มองใบหน้าแย้มยิ้มบางๆ ของหวาหวั่นซีที่อยู่บนเตียงอย่างปากอ้าตาค้าง
“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่ได้ให้นางแขนขาดขาขาดนะ จะสร้างไม่สมบูรณ์ได้อย่างไร” จินเฟยเหยาเข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใดเหรินเซวียนจือจึงเดือดดาล เจ้าหมอนี่ต้องใช้วิธีการอะไรพาหวาหวั่ นซีขึ้นเตียงแน่ ขณะกำลังคึกคักสุดขีด กลับพบว่าหวาหวั่นซีไม่มีความสามารถนั้น ได้รู้ความจริงจากนาง จึงอับอายจนกลายเป็นโทสะจึงมาหาเรื่องตนเอง
จะยอมรับว่าตนเองไม่ได้หลอมได้อย่างไร ขอเพียงเขาไม่พูดอย่างกระจ่างชัด ตนเองจะไม่ยอมรับเด็ดขาด!