คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 415 แดนศักดิ์สิทธิ์
คนทั้งสองเดินพลางคุยพลาง นอกจากเตรียมตัวกลับไปขุดแร่ดีๆ ทั้งหมดก็ยังคิดหาวิธีดีๆ ไม่ออกชั่วคราว ถึงอย่างไรกำลังของพวกนางก็อ่อนแอเกินไป
จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ไปหาจู๋ซวีอู๋ก่อน ดูว่ามีเนื้อสัตว์มากเท่าใด พวกเรากลับกันก่อน ถ้าอี้ถู่แอบเกียจคร้านไม่ออกไปหาอาหารจะขาดเสบียง เผ่าพิภพพวกนี้จะก่อกบฏ”
“ก็ได้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีสิ่งของอะไร เผ่ามนุษย์ไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ระยะยาว เห็นเมืองนี้ถูกทำลายก็รู้แล้ว แค่คิดจะหาเงินแล้วก็ไป” หวาหวั่นซีก็พยักหน้า
ระหว่างที่พูดก็เห็นในมือจู๋ซวีอู๋หิ้วถุงเฉียนคุนใบหนึ่งเดินมาและยังมีสีหน้าไม่เข้าใจ ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงตะโกนเรียกเขาไว้ “พี่จู๋ ข้ากำลังจะไปหาท่านพอดี ท่านเป็นอะไรไ ไป? ท่าทางหงุดหงิดมาก”
จู๋ซวีอู๋ตอบอย่างเดือดดาล “คนหนุ่มสมัยนี้ไม่เคารพผู้อาวุโสเกินไปแล้ว เจ้าหนูไป๋เจี่ยนจู๋มาหาข้าอย่างกะทันหันแล้วโยนถุงเฉียนคุนให้ข้า บอกว่าไม่ช่วยถามให้แล้วว่าใครมีสัตว์ป ปิศาจบ้าง เจ้าว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มีโทสะโดยไร้เหตุผล อารมณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที”
“เดิมทีเขาก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มีโทสะโดยไร้เหตุผล เมื่อครู่ข้ายังเจอเขาอยู่ตรงประตู ดูเหมือนตอนนั้นจะไม่ค่อยพอใจ ไม่รู้ว่าใครยั่วโทสะเขา” จินเฟยเหยาครุ่นคิด แล้วเล่าเรื องที่เห็นเขาโดยบังเอิญออกมา
“ช่างเขา แปดส่วนคงเป็นเพราะปราณแห่งการเข่นฆ่าเข้มข้นเกินไปจึงเกิดโทสะ” จู๋ซวีอู๋โบกมือ เรื่องนี้ก็แล้วกันไปแบบนี้ จากนั้นถามอีกว่า “เจ้าบอกว่ามีธุระจะคุยกับข้า มีเรื่องอะไ ไร?”
จินเฟยเหยายื่นมือมาแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้ล่ะ? ได้เนื้อสัตว์ปิศาจมาเท่าไร ตอนนี้ข้าคิดจะกลับไปแล้ว”
“เร็วขนาดนี้เชียว!” จู๋ซวีอู๋ตกใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะจากไปเร็วขนาดนี้ จึงยกถุงเฉียนคุนในมือขึ้นส่ายไหว “ไม่รู้ว่ามีเท่าใด ข้ามอบให้ไป๋เจี่ยนจู๋ทำ เขาต้องไม่ตั้งใจทำแ แน่ๆ”
จินเฟยเหยารับถุงเฉียนคุนมาแล้วใช้การรับรู้กวาดดู มีสิ่งของไม่มากนักจริงๆ เพียงพอให้กินสิบวันครึ่งเดือน แต่นี่ก็เก็บเกี่ยวได้เกินความคาดหมายแล้ว ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ดังน นั้นนางจึงกล่าวขอบคุณ “เผ่าพิภพผู้อ่อนแอที่กำลังจะกินอิ่มสวมอุ่นเหล่านั้นต้องขอบคุณเจ้าอย่างยิ่งแน่ เดิมทีข้าว่าจะให้พวกเขาตั้งป้ายให้เจ้า แต่เจ้าคัดค้านมาตลอด อย่างนั้นก็ช ช่างเถอะ ข้าไปก่อนละ สถานที่ที่ข้าอาศัยอยู่ทั้งเล็กทั้งแคบ ต่อไปเปลี่ยนสถานที่แล้วค่อยเชิญท่านไปเป็นแขก”
พูดแจ้วๆ จบ จินเฟยเหยาก็คิดจะจากไปกับหวาหวั่นซี
จู๋ซวีอู๋รีบเอ่ยว่า “จะไปจริงๆ หรือ? เจ้าอย่าพูดเรื่องไม่น่าเชื่อถืออย่างช่วยผู้อ่อนแอเลย เจ้าอยากรั้งอยู่หรือไม่ ที่นี่คือทัพสิบสอง เจ้าก็เป็นคนของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน อยู่ท ที่นี่ปลอดภัยมากกว่าวิ่งวุ่นไปทั่ว”
“รั้งอยู่ขายแรงงานหรือ! ข้าไม่ได้ว่างขนาดแล่นมาขายชีวิตที่นี่เพื่อแย่งชิงสิ่งของให้พวกเจ้า ได้ผลประโยชน์ไม่มากแต่กลับต้องขายชีวิตไม่น้อย ไม่คุ้มค่าเกินไป ไม่ทำ” จินเฟยเหยา ารีบเอ่ยปฏิเสธ นี่ถือเป็นเรื่องดีอะไร ยุ่งยากแท้ๆ ถ้าสำนักจินคุนอยู่ก็ช่างเถอะ ยังถือว่าเป็นสำนักของตนเอง อาศัยลมบูรพาหาเงินทุน[1]หน่อยก็ดี ถ้าคนถูกหงลากตัวไปแล้ว ตนเอง คงอาศัยคนอื่นๆ ให้ช่วยทำงานไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นคนเหล่านี้ยังเคยคิดร้ายกับตนเองด้วย
เดิมทีนางยังเคยคิดจะเอ่ยถึงเรื่องขายแร่สำเร็จรูป คำพูดมาถึงปากก็กลืนลงไปอีกครั้ง ถ้าหลังจากคนเหล่านี้ได้ยินแล้วเกิดความคิดขุดเหมืองอีกครั้ง มิใช่เพิ่มความยุ่งยากให้ตนเองหรื อ
ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นประโยคนี้ “ข้าไปก่อนนะ ถ้าเจอฮุ่นตุ้นเจ้าก็ทักทายนางแทนข้าด้วย”
จู๋ซวีอู๋มองนางอย่างงุนงง “ข้าบอกว่าฮุ่นตุ้นหนีไปแล้ว ไม่รู้ว่าหนีไปที่ใด เจ้าจะให้ข้าถ่ายทอดคำพูดแทนเจ้าได้อย่างไร”
“พอเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมีวิธี ขออำลาตรงนี้” จินเฟยเหยาขยิบตาให้เขา ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยอำลา
“ก็ได้ ต่อไปถ้าว่างค่อยพบกัน” จู๋ซวีอู๋แสร้งเป็นไม่เห็นนางขยิบตา ตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
การเร่งรุดมาเมืองเป่ากวงครั้งนี้เพิ่งอยู่ได้สามวันกว่า จินเฟยเหยาก็ลากหวาหวั่นซีกลับไป ครุ่นคิดอย่างละเอียด พบว่าคนทั้งสองไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย การเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเ เดียวคือซื้อเมล็ดพืชได้ไม่น้อย
พวกนางสองคนโดยสารพรมบินจากไปภายใต้สายตามองส่งของจู๋ซวีอู๋ ตอนออกจากเมืองยังถูกไต่สวนรอบหนึ่ง โชคดีที่ใช้ชื่อของสำนักตงอวี้หวงไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น
เพิ่งเดินออกมา หวาหวั่นซีจึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ฮุ่นตุ้น? เจ้ายังรู้จักสัตว์ร้ายอื่นๆ อีกหรือไม่?”
จินเฟยเหยาเล่าต้นสายปลายเหตุที่ได้พบฮุ่นตุ้นให้นางรู้ เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหลอมสร้างร่างกายของหวาหวั่นซีเสร็จสิ้น นางจึงไม่รู้เรื่องต่างๆ มากมาย ต้องค่อยๆ อธิบายท ทีละเรื่อง แน่นอน แม้แต่เรื่องจู๋ซวีอู๋หลับนอนกับฮุ่นตุ้นนางก็เล่าออกมา
“เจ้าสงสัยว่าที่จริงฮุ่นตุ้นอยู่ในร่างของเขา?” หลังหวาหวั่นซีฟังจบจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ต้องอยู่ในร่างของเขาแน่ เพียงแต่ซ่อนไว้ ไม่อยากให้สำนักรู้” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างมั่นใจ “ถ้าไม่ซ่อนไว้ ถูกคนพบเห็นต้องบอกให้เขามอบฮุ่นตุ้นออกมาแน่ ถึงตอนนั้นไม่มอบให้คื อทรยศสำนัก มอบออกไปก็ผิดต่อฮุ่นตุ้นอีก ดังนั้นเขาต้องแอบซ่อนไว้แน่ ทั้งยังบอกกับคนภายนอกว่าฮุ่นตุ้นหนีไป”
“แบบนี้เอง…” หวาหวั่นซีส่งเสียงตอบรับ แล้วคนทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ตลอดทางขอเพียงทั้งสองคนพบว่าเบื้องหน้ามีการสู้รบก็จะติดยันต์ซ่อนกาย หลบเลี่ยงไปอย่างระมัดระวัง การรบที่ไร้ความหมายแบบนี้ หลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงดีกว่า ไม่เช่นนั้นมีแต่จะ ะเสียเวลา
กลับถึงเมืองซั่นเหริน เผ่าพิภพทั้งหมดต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น แต่ละคนต่างรู้ว่านางไปหาเมล็ดพืชที่ใช้เป็นอาหารได้มา ถ้าสามารถผลิตอาหารเองได้ก็จะมีเสบียงเหลือเฟือ ต่อไป ก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว
นำเมล็ดพืชที่ได้ทั้งหมดออกมาให้บรรดาสตรีเผ่าพิภพเอาไปปลูก จินเฟยเหยาจึงนำกระจกสภาพโลกวิญญาณออกมาดู นางคิดจะมองดูโลกวิญญาณจ้งถู่อย่างละเอียด ดูว่าบนนั้นมีความสามารถพิเศ ศษที่บ่งชี้ถึงทรัพยากรแร่ได้หรือไม่
จ้องมองกระจกสภาพโลกวิญญาณอย่างละเอียดอยู่นาน นางพลันพบว่าบนพื้นที่โลกวิญญาณจ้งถู่มีจุดแสงสีทองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าบน นแผนที่ยังมีสิ่งของสีทอง หรือว่าเป็นสิ่งของล้ำค่าคู่เมือง? จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วจึงให้เผ่าพิภพขุดอุโมงค์ใต้ดินสายหนึ่งไปที่นี่
ทว่าหลังจากเผ่าพิภพที่ถือกำเนิดและเติบโตที่นี่มองเห็น เขาก็พูดทันที “ตำแหน่งนี้คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องขุดอุโมงค์ใต้ดินเลย เดิมทีก็มีเส้นทางพร้อมไปอยู่แล้ว”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” จินเฟยเหยาลูบคลำกระจกสภาพโลกวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าจะมีสถานที่เช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเจอสมบัติรวยเละ
ฟังคำอธิบายของเผ่าพิภพคนนี้ จินเฟยเหยาจึงรู้ว่าโลกวิญญาณจ้งถู่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ประตูใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเปิดไม่ออก ที่แท้ด้านในมีสิ งของใด พวกเขาก็ไม่รู้แน่ชัด แค่รู้ว่ามีอยู่ตั้งแต่อดีตกาลเนิ่นนานมาแล้ว แต่กลับไม่เคยมีใครเปิดประตูออกได้
พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็มีกำลังใจ โอบกระจกสภาพโลกวิญญาณเรียกหวาหวั่นซีมา และให้เผ่าพิภพคนนี้นำทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คลานผ่านอุโมงค์ต่ำเตี้ยเหล่านี้เดินตามเขามาสามชั่วย ยาม ในที่สุดพวกนางก็เดินออกจากอุโมงค์ใต้ดินเล็กๆ มาถึงอุโมงค์ใต้ดินอันกว้างขวางแห่งหนึ่ง
บนกำแพงอุโมงค์ใต้ดินที่เต็มไปด้วยดินสีแดง มีแร่สีขาวก้อนหนึ่งสูงสี่คนกว่ากว้างสามคน จินเฟยเหยาดูไม่ออกว่าแร่ก้อนนี้เป็นแร่ชนิดใด แต่กลับมีแห่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาคนอย่าง งยิ่ง นั่นคือบนแร่ยักษ์ก้อนนี้ถึงกับมีประตูสองบาน ประตูและก้อนแร่แนบสนิทเข้าด้วยกัน ทำให้คนมีความรู้สึกเหมือนเปิดประตูก็สามารถเข้าไปในก้อนแร่ได้
“นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” นางเอ่ยอย่างสงสัย เดินเข้าไปใกล้และยื่นมือไปลูบคลำบนก้อนแร่ มือรู้สึกเย็นนิดๆ และมีแรงต้านจางๆ ขุมหนึ่ง รู้สึกได้ว่าบนนั้นมีการป้องกัน
จินเฟยเหยากำลังคิดจะถามว่ามีวิธีเปิดการป้องกันเข้าไปหรือไม่ ก็เห็นกระจกสภาพโลกวิญญาณในมือสว่างขึ้น แรงต้านบนมือหายไป ประตูใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงกับเปิดออกเอง นาง งไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด แค่ลูบบนนั้น ประตูก็เปิดออกรอให้นางเข้าไปเอง
“เอ๋?” นางมองประตูของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดกว้างอย่างงุนงง แล้วก้มหน้าลงมองกระจกสภาพโลกวิญญาณที่ส่องแสงสีขาวในมือ ในใจพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกคนวางแผนร้าย
นางไม่ได้เข้าไปในประตูทันที ทว่ายกกระจกสภาพโลกวิญญาณขึ้นมาดูอย่างละเอียด บนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ พอพลิกด้านดู ก็พบว่าด้านหลังที่เดิมทีมีเพียงลวดลาย ปรากฏก้อนผลึกสีสันส สดใสหลายก้อน นับจำนวนดู มีหินผลึกสีสันแตกต่างกันรวมทั้งหมดแปดก้อนติดอยู่ด้านหลัง รูปร่างและขนาดก็แตกต่างกัน ตำแหน่งยิ่งไม่เชื่อมโยงกัน
“สิ่งนี้ปรากฏขึ้นเมื่อใด?” จินเฟยเหยามองดูแค่ด้านหน้า ไม่ได้นำออกมาดูปีละครั้ง ตอนนี้ด้านหลังถึงกับมีแผ่นหินผลึกแปดชิ้นปรากฏขึ้น ทำให้นางรู้สึกงุนงงอย่างยิ่ง
หวาหวั่นซีเองก็โผล่ศีรษะมาอย่างสงสัย นางเคยเห็นกระจกสภาพโลกวิญญาณหลายครั้ง แต่ไม่เคยสังเกตว่าด้านหลังมีหินผลึกสีสันสดใสหรือไม่ ย้อนนึกดู เหมือนเคยเห็นด้านหลังมีสิ่งของหลาย ยครั้ง แต่ไม่เคยสังเกตเป็นพิเศษ “การป้องกันถูกกระจกสภาพโลกวิญญาณเปิดออกสินะ ท่าทางสิ่งนี้จะไม่ใช่แค่แผนที่ธรรมดา”
จินเฟยเหยาถ่ายเทการรับรู้ลงด้านในแล้วตรวจสอบดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ทว่านอกจากดูแผนที่ได้ก็หาความสามารถอื่นๆ ไม่พบ แสงรัศมีนี้ราวกับส่องออกมาเอง ไม่ได้ถูกนางควบคุม แม้แต่ เปิดการป้องกันอย่างไรนางก็หาเส้นสนกลในไม่พบ
“ทำอย่างไรดี จะเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้หรือไม่?” หวาหวั่นซีเห็นนางพลิกซ้ายพลิกขวามองดูกระจกสภาพโลกวิญญาณตลอด ก็มองเข้าไปในประตูใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ประตูถูกม่ านแสงกั้นไว้ชั้นหนึ่ง มองไม่เห็นว่าด้านในมีสิ่งใด ใช้การรับรู้จู่โจมบนนั้นก็ถูกดีดกลับมา
“ต้องไปแน่นอน มาถึงที่นี่แล้ว ย่อมต้องเข้าไปดูหน่อย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างมั่นใจ ในเมื่อไม่รู้ก็เข้าไปดูให้กระจ่าง
“ระวังหน่อย ข้าจะตามเจ้าเข้าไปด้วย” หวาหวั่นซีพยักหน้า คนทั้งสองวางแผนจะเดินเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนเผ่าพิภพคนนั้นมองพวกนางอย่างหวาดกลัว จิตใจไม่สงบ ไม่รู้ว่าตนเอง ต้องตามเข้าไปหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่อยากเข้าไปเด็ดขาด นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพิภพ ไม่เคยมีคนเข้าไปมาก่อน ไม่ว่าจะครุ่นคิดถึงด้านใด เขาก็ไม่อยากและไม่กล้าเข้าไป
จินเฟยเหยาเกือบลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ด้วย จึงกวักมือเรียกเขาและเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเข้าไป รออยู่ข้างนอก ถ้าสามสิบวันแล้วพวกเรายังไม่ออกมา เจ้ากลับไปบอกราชันของพวกเจ้าให้ว วันหน้าทำตามที่ใจปรารถนาได้”
สามสิบวัน! ตนเองคงอดตายพอดี
ไม่รอให้เขาเอ่ยวาจา พวกจินเฟยเหยาก็เดินเข้าไปในม่านแสงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และทิ้งเขาไว้ข้างนอก เขาครุ่นคิด ตัดสินใจวิ่งกลับไปก่อนและให้คนมาผลัดกันเฝ้าอยู่ด้านนอก ถ้าออ อกมาไม่ได้จริงๆ คงต้องสลายกลุ่ม!
…………………………………………….
[1] อาศัยลมบูรพาหาเงิน หมายถึง อาศัยกำลังของผู้อื่นทำประโยชน์ให้ตนเอง