คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 421 ปิดด่านกักตน
จินเฟยเหยาออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเดือดดาล ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนหลอก เวทเสน่ห์สิ่งของ! ยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์บ้าๆ นี่อีก เป็นสถานที่วางวง งเวทชัดๆ ยังถูกเผ่าพิภพโง่เง่าหลอกได้
หวาหวั่นซีและพั่งจื่อกำลังอยู่บนผิวดิน หลังจากครุ่นคิดถึงปัญหาว่าต่อไปจะอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนดินกับราชันอี้ถู่ เผ่าพิภพคนอื่นๆ กลับวิ่งไปวิ่งมาอย่างตื่นเต้น ตอนทั้งสามค คนหารือกันยังต้องคอยสังเกตและเตือนพวกเขาว่า อย่ากินผลไม้มั่วซั่วจะตายได้
ถึงเป็นเช่นนี้ก็ยังมีเผ่าพิภพใจกล้าบางคนเด็ดผลไม้สีแดงทั้งลูกลงมาลิ้มชิมอย่างระมัดระวัง ได้ลิ้มรสหวานก็ยิ้มแย้ม ได้ลิ้มรสเปรี้ยวขมฝาดก็ขมวดคิ้วถ่มถุยไม่หยุด มีบางคนกินจน นปวดท้อง กุมท้องวิ่งร้องไห้คร่ำครวญมา ขอยาแก้พิษจากหวาหวั่นซีกิน
บรรดาเผ่าพิภพถูกพิษเยอะเกินไปจึงควบคุมตนเองมากขึ้น เพียงแค่อุ้มผลไม้และดอกไม้ไว้ในมือ ไม่กล้ากินสุ่มสี่สุ่มห้า
พวกนางนึกว่าจินเฟยเหยาสั่งไว้แบบนี้ อย่างน้อยต้องสิบวันครึ่งเดือนจึงขึ้นมา ฟังน้ำเสียงแล้วอาจจะหลายปี แต่ไม่ถึงสองชั่วยามก็เห็นจินเฟยเหยาเดินมาด้วยสีหน้าแค้นเคือง
“จัดการเสร็จเร็วขนาดนี้เชียว?” หวาหวั่นซีมองนางอย่างประหลาดใจ สีหน้าน่าเกลียดขนาดนี้ เกรงว่าคงเจรจาไม่สำเร็จ
จินเฟยเหยานั่งลงตรงกลางพวกเขาแล้วเล่าเรื่องตอนที่ตนเองอยู่ใต้ดินออกมาอย่างเดือดดาล อีกทั้งยังฉวยโอกาสตอนที่พี่กระจกไม่อยู่ ตั้งใจด่าทอเขาหลายประโยค
หลังจากได้ฟังเรื่องราว พั่งจื่อและหวาหวั่นซีอดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ยากนักที่จะมีคนชั่วร้ายยิ่งกว่านาง พ่ายแพ้ก็พ่ายแพ้อย่างเบิกบานใจยิ่ง ราชันอี้ถู่ก็อยากจะหัวเราะ ทว่ากลั บไม่กล้าหัวเราะออกมา ได้แต่หยิกต้นขาของตนเองอย่างแรงแทน ใช้ความเจ็บปวดขับไล่ความอยากหัวเราะ
“หมายความว่าเจ้ารับปากว่าจะลงไปบรรลุขั้นแปลงจิตด้านล่าง?” หวาหวั่นซีหัวเราะพลางเอ่ยถาม
“ใช่ ข้ารู้สึกว่าเป็นคนดีกว่าเป็นสัตว์ อย่างไรก็ต้องเรียนเคล็ดวิชานี้ดูหน่อย” จินเฟยเหยาถอนหายใจอย่างจนปัญญาเ “แค่หวังว่าจะเลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตได้เร็วๆ จะได้เดินออกม มาจากใต้หนังตาของเขาแต่เนิ่นๆ”
หวาหวั่นซีตบบ่าของนางและเอ่ยอย่างจริงใจ “เจ้าคิดในแง่ดี เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เหาะขึ้นสวรรค์เชียวนะ เจ้าสามารถประจบประแจงหรือยั่วยวนเขาได้ ขอเพียงเขาชี้แนะเจ้าเล็กน้อย เจ จ้าก็ได้ประโยชน์อย่างมากแล้ว เรื่องดีงามขนาดนี้ ผู้อื่นขอก็ยังขอไม่ได้เลย เจ้าได้มาโดยบังเอิญยังถอนหายใจอีก”
“คนผู้นั้นเป็นพวกวิปลาส คนสติไม่ดีจึงขอให้ได้พบเขา” จินเฟยเหยาถลึงตาใส่นางอย่างอารมณ์เสีย เจ้าพวกยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่น ไม่มีความสงสารเห็นใจเลยสักนิด
พั่งจื่อเองก็ชูป้าย บนนั้นเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่หลายตัวไว้อย่างจริงจัง ‘เจ้าวางใจได้ พวกเราจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องหลังเอง[1]’
“เจ้าสิจัดการเรื่องหลัง ข้าไม่ได้ไปหาที่ตายเสียหน่อย!” จินเฟยเหยาคำรามใส่เจ้าสองตัวนี้ ทำให้ราชันอี้ถู่ตกใจกลัวจนหดคอ อย่านำความเดือดร้อนมาให้คนมุงรอบด้านสิ ตนเองเป็นผู้บร ริสุทธิ์นะ
“พั่งจื่อหมายความว่า เรื่องเบื้องหลัง[2]เจ้าก็คือหลังจากที่เจ้าไปเลื่อนขั้น พวกเราจะช่วยเจ้าจัดการพวกเรื่องจิปาถะข้างนอก เจ้าไปได้อย่างวางใจ อย่ามีห่วงกังวลใดๆ เลย” หวาหวั่นซียิ้ มแย้มและเอ่ยอย่างอ่อนโยน
จินเฟยเหยามองเจ้าสองตัวนี้อย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “สมรู้ร่วมคิดกัน! พวกเจ้าหัวเราะไปเถอะ หลังจากข้าเลื่อนขั้นแล้วจะออกมาค่อยๆ จัดการกับพวกเจ้า”
“รู้แล้ว เจ้าจะพกผลไม้สดลงไปกินด้วยหรือไม่ ให้พั่งจื่อทดสอบพิษก็ได้ ถือว่าลิ้มรสของสดใหม่ให้อารมณ์ดีขึ้น” หว่าหวั่นซีรู้จักนิสัยของนางจึงเอ่ยพลางชี้ไปยังผลไม้อันงดงามรอบ บด้าน
“ยังตะลึงอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปอีก” เห็นว่าพวกเขายังจำได้ว่าต้องประจบตนเอง จินเฟยเหยาก็อารมณ์ดีขึ้น
ด้านหลังพั่งจื่อมีเผ่าพิภพกลุ่มหนึ่งเดินตามหลัง ขอเพียงมันเคยลองชิมผลไม้ชนิดหนึ่งแล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยจริงๆ พวกเขาก็จะกรูกันเข้ามาเด็ดผลไม้ และยังมีคนจดบันทึกอยู่ด้า านข้างว่าสิ่งนี้สามารถกินได้ ถ้าร่างกายของมันสั่นเทาและถุยผลไม้ออกมา เผ่าพิภพรอบด้านก็ไม่กล้าเข้ามาเด็ดผลไม้ และยิ่งมีคนจดบันทึกไว้ว่าสิ่งนี้กินไม่ได้
ทางนั้นเด็ดผลไม้กันเอะอะ จินเฟยเหยาก็พูดคุยกับหวาหวั่นซีต่อ หลักๆ คือตัดสินใจว่าจะลงไปอาศัยอยู่ใต้ดินต่อหรือย้ายขึ้นมาบนพื้นดิน จินเฟยเหยาครุ่นคิดแล้วตัดสินใจอาศัยอยู ทั้งสองแห่ง ขุดรูระบายอากาศเหนือเมืองซั่นเหรินให้กว้างขึ้น และสร้างบ้านบนรูระบายอากาศ ข้อหนึ่งสามารถซ่อนปากอุโมงค์ใต้ดินได้ อีกข้อหนึ่งสามารถมีโอกาสหลบหนีได้มากขึ้น
นี่เป็นความคิดที่ดี ถึงอย่างไรเผ่าพิภพก็มีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำต้อย ถ้าย้ายมาอาศัยอยู่บนพื้นดินโดยตรง ถึงจะบอกว่าตอนนี้ไม่มีสัตว์ปิศาจ ทว่าขอเพียงมีพืชพรรณก็จะดึงดูดสัตว์ปิศาจ จของโลกอื่นๆ มา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าที่นี่ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อย ในอดีตพื้นที่กว้างใหญ่ไม่มีพืชพรรณ ถ้ามีสัตว์ภูติที่เจ้านายตายก็จะถูกสังหารเป็นสินสงคราม ตอนนี้ต้ นไม้ขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ อาจจะมีสัตว์ภูติหลบหนีเข้าป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สัตว์ปิศาจบินได้ก็จะข้ามทะเลหรูเมิ่งมา เผ่าพิภพสร้างบ้านและเมืองบนพื้นดิน ชั้นหนึ่งเป็นปากอุโมงค์ใต้ดิน ชั้นสองให้คนอาศัยอยู่ สิ่งของสำคัญเก็บรักษาไว้ใต้ดิน เช่นนี้ไม่ว่าจะ ะเจอสัตว์ปิศาจดุร้ายหรือเจอผู้บำเพ็ญเซียนมาปล้นชิง เผ่าพิภพก็สามารถหลบหนีลงใต้ดินอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่เสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
อีกทั้งยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เตาเพลิงพิภพของจินเฟยเหยายังอยู่ใต้ดิน เหรินเซวียนจือตามจีบล้มเหลว ไม่มาหาเรื่องก็นับว่าดีแล้ว แต่คิดจะเรียกให้เขามาสร้างเตาใหม่ อีกครั้งนั่นคือฝันเฟื่อง อาศัยพี่กระจกชี้แนะยิ่งเชื่อถือไม่ได้ ใครจะรู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่แบบนี้ต้องการใช้วัตถุดิบอะไร สิ่งที่สร้างออกมาอาจจะเป็นของเริ่ดหรูอลังการแบบที่ใช้งาน จริงไม่ได้
นี่เป็นวิธีที่ดีพร้อมทั้งสองฝ่าย ทุกคนต่างหาข้อผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจตามนี้ ส่วนจินเฟยเหยายังทำอีกเรื่องหนึ่ง นางฉวยโอกาสที่มังกรปิศาจกำลังหลับใหล นำเนื้อมังกร รปิศาจออกมาปูบนพื้นดิน เนื้อมังกรปิศาจยาวเหยียดแผ่ออกราวกับแล่ปลาไหล เผ่าพิภพมุงดูรอบด้าน นึกว่านี่คืออาหารที่ทำให้พวกเขาจึงรอกิน ผลคือถูกจินเฟยเหยาเตะออกไปอย่างใจร้ายใ ใจดำ ให้พวกเขาไปกินผลไม้ป่า
จากนั้นนางก็เรียกทงเทียนหรูอี้ออกมาและรวมสองชิ้นเป็นหนึ่งเดียวกลายเป็นดาบใบมีดบางเล่มหนึ่ง เริ่มกะประมาณส่วนหางของเนื้อมังกรปิศาจ
เห็นท่าทางลังเลตัดสินใจไม่ได้ของนาง หวาหวั่นซีเอ่ยถามอย่างไร้ความอดทน “เจ้าลังเลอะไร ก็แค่เพื่อนบ้านในวันหน้า ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะเหาะขึ้นสวรรค์ได้หรือไม่ หลับตาแล้วตัดชั้นห หนึ่งก็พอ”
“เจ้าไม่เข้าใจ ข้ากำลังครุ่นคิดว่าจะตัดหนาหนึ่งฝ่ามือทางด้านข้างหรือจะตัดหนาหนึ่งฝ่ามือตามขวางดี ถ้าอย่างไรหนาหนึ่งฝ่ามือแนวตั้งก็ได้” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะเอ่ยวาจา
พอหวาหวั่นซีได้ยินก็ด่าทอ “เจ้าไม่ยื่นมือออกมาดูเล่า ฝ่ามือแนวตั้งกว้างกว่าแนวขวางสองเท่า เจ้าคิดจะตัดมากเพียงใดกันแน่ อีกทั้งระดับความหนาหนึ่งฝ่ามือทางด้านข้างที่เจ้าบ บอกหนาเพียงนิ้วเดียวมิใช่หรือ! นั่นน้อยกว่าหนึ่งฝ่ามือในแนวตั้งสิบเท่า นี่คือเนื้อมังกรปิศาจยาวสามสิบสี่สิบจั้งนะ เจ้าตัดแค่นิ้วเดียวพอกินหรือ”
“จะว่าไปก็จริงยาวขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องตัดหนาเกินไป ข้าตัดขวางกว้างหนึ่งฝ่ามือก็พอ” จินเฟยเหยาได้ยินคำพูดของหวาหวั่นซีก็โบกมือ ดาบบางทงเทียนหรูตัดเนื้อมังกรปิศาจลงมาหน นึ่งชิ้น คมดาบคมกริบจริงๆ เนื้อมังกรปิศาจที่เดิมทีถูกตัดจนสูงต่ำไม่เสมอกันตอนนี้เปลี่ยนเป็นราบเรียบอย่างยิ่ง
หวาหวั่นซีมองเนื้อมังกรปิศาจที่ราบเรียบอย่างหมดวาจา เห็นได้ชัดเกินไปแล้ว พอเห็นก็รู้ว่าเคยถูกคนตัดชั้นหนึ่ง จินเฟยเหยาเก็บเนื้อชั้นนั้นแล้วมองส่วนที่เหลือ รู้สึกว่าแบบ บนี้เห็นได้ชัดเกินไป ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ราบเรียบเกินไป ซ่อมหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วก็จงใจตัดหนาบางไม่เท่ากัน ปิดบังอำพรางอย่างดี
“หยุด! เจ้าทำแบบนี้เนื้อยิ่งน้อยลง สิ่งนี้ทดลองไม่ได้ พอทดลองก็จะหยุดไม่อยู่ เจ้าต้องรู้สึกว่ามีตรงที่ไม่รื่นหูรื่นตา ตอนเจ้าหยุดก็เหลือแต่หนังมังกรแล้ว” หวาหวั่นซีรีบห้ ามนาง เรื่องนี้ทำไม่ได้ จะติดเป็นนิสัย!
จินเฟยเหยาได้แต่หยุดมือ เบ้ปากและทิ้งไว้แบบนี้ ถึงอย่างไรก็ตัดได้ไม่มาก มังกรปิศาจฟื้นแล้วน่าจะไม่ใส่ใจ เนื้อมังกรปิศาจพวกนี้ไม่ได้ตัดลงมาให้ตนเองกิน การเลื่อนขั้นของพ พั่งจื่อหยุดชะงักอีกแล้วและไม่เคยราบรื่นมาก่อน นี่คือสิ่งที่นางคิดจะให้พั่งจื่อลองกินโดยเฉพาะ ถ้ากินตานศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่ได้ผลก็ลองกินเนื้อมังกรปิศาจดู ไม่แน่ว่าอาจจะโชคดี
มอบเนื้อให้พั่งจื่อแล้ว นางก็พกผลไม้ที่พั่งจื่อหามาด้วยความกตัญญูและสั่งกำชับเรื่องต่างๆ นานากับพวกเขาก่อนไป อุโมงค์ใต้ดินต้องกว้างขวาง ถ้าเกรงว่าไม่ปลอดภัย สามารถสร้างอุโม มงค์เล็กๆ ที่ใช้สำหรับหลบหนีเอาชีวิตรอดโดยเฉพาะได้อีก แต่อุโมงค์ที่นางเดินจะต้องกว้างขวาง
เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าอีกแล้ว เผ่าพิภพไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่รีบรับปาก จินเฟยเหยาจึงกลับลงไปใต้ดินอีกครั้ง ปิดผนึกประตูของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การชี้แนะของพี่กระจก เตรียมใ ใช้ชีวิตอยู่ข้างในโลกของสองเราแบบหนึ่งคนหนึ่งกระจก
จินเฟยเหยาแทะผลไม้ที่สดใหม่และออกผลมาไม่ถึงห้าชั่วยามอย่างน่าประหลาด มองพี่กระจกแล้วกระพริบตาปริบๆ “พี่กระจก ตอนนี้สอนเคล็ดวิชาให้ข้าได้แล้วสินะ”
พี่กระจกไม่ส่งเสียง จ้องมองจินเฟยเหยาเงียบๆ ถึงเบื้องหน้าจะเป็นกระจกบานหนึ่ง จินเฟยเหยากลับถูกคนจ้องมองจนรู้สึกไม่สบายใจ คิดๆ ดูตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรนะ นางกัดผลไม้ดังกร๊ อบอีกคำและเอ่ยเสียงอู้อี้ “พี่กระจก ทำไมท่านไม่ส่งเสียง หรือว่าหายกลับโลกระดับสวรรค์ไปแล้ว?”
“ห้ามเจ้ากินอาหารต่อหน้าข้า เจ้าตัวกินจุ!” พี่กระจกพลันตวาดอย่างเดือดดาล ทำเอาจินเฟยเหยางุนงง
“เพราะเหตุใด? ท่านเป็นคนสร้างสิ่งนี้ออกมานี่นา รสชาติไม่เลว ถึงจะเทียบอาหารเลิศรสไม่ได้ แต่ก็ถือว่าสดใหม่ ไม่มีพิษ” จินเฟยเหยามองเขาแล้วอธิบายด้วยสีหน้าแกล้งโง่
พี่กระจกกลับบ่นอย่างไม่พอใจมาก “ใครจะไปสนว่ามีพิษหรือไม่ ถึงกับกินอย่างเดียวต่อหน้าข้า ไม่กลัวว่าจะกินจนจุกตายบ้าง”
เชอะ ที่แท้เห็นตนเองกินคนเดียวแล้วไม่พอใจ นับเป็นเทพอะไรกัน เป็นเด็กน้อยเกินไปจริงๆ จินเฟยเหยาบริภาษในใจ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่กระจก ท่านอย่าล้อเล่นสิ บุคคลเ เช่นท่านอยู่ในโลกระดับเทพจะไม่เคยกินสิ่งใดบ้าง ยังสนใจสิ่งของเล็กน้อยอีก ให้ข้าลองคิดดู บางทีร่างจริงของท่านในยามนี้อาจจะกำลังหลับอยู่บนตั่งนุ่มที่ทำจากเมฆาสวรรค์ ข ข้างกายมีเซียนสตรีที่งดงามหลายนางกำลังพัดวีให้ท่าน เป่าเพลง ใช้มือหอมๆ ป้อนอาหารเลิศรสให้ท่าน เป็นชีวิตเทพเซียนที่เน่าเฟะเพียงใด ทำให้คนอิจฉาแทบตายจริงๆ”
“เจ้าคิดเลิศหรูเกินไป ตอนนี้ข้ามีแค่ศิษย์บุรุษอัปลักษณ์สองคน มิสู้วันหน้าให้หวาหวั่นซีเป็นศิษย์สตรีของข้าเถอะ ข้ากำลังขาดศิษย์สตรีหน้าตางดงาม สามารถขับร้องดีดสีตีเป่าได้ นวดไหล่ทุบขาและป้อนอาหารเลิศรสให้ข้าพอดี” พี่กระจกเอ่ยด้วยเสียงขึ้นจมูก
พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็ส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ นางเป็นบ่าวรับใช้ข้า”
“ตามภาพที่ข้าเห็นด้วยตา ดูเหมือนจะแยกไม่ออกว่าใครรับใช้ใคร” พี่กระจกตอบอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
……………………………………………..
[1] เรื่องหลัง หมายถึง งานศพ เรื่องหลังจากที่ตายไปแล้ว
[2] เรื่องเบื้องหลัง หมายถึง งานศพ และเรื่องหลังจากที่ตายแล้วเช่นเดียวกัน