คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 423 ปรากฏการณ์ประหลาดครึ่งๆ กลางๆ
เมฆดำบนฟ้าม้วนตัวอย่างที่เรียกได้ว่ามีอานุภาพเกรียงไกร เมฆดำยิ่งมารวมตัวกันหนาขึ้นและกดทับลงมาราวกับสวรรค์จะถล่ม ไม่ใช่แค่แถบเมฆดำ ทว่าในรัศมีหนึ่งพันหลี่รอบเมืองซั่นเ เหรินกลับเต็มไปด้วยเมฆดำ ทิวาอันร้อนแรงกลายเป็นราตรีอันมืดมิดในพริบตา มุกกวงหมิงทั้งหมดในเมืองส่องสว่าง ทุกคนออกมาดูปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า
เผ่าพิภพไม่ได้รู้หมดทุกคนว่าลึกลงไปใต้ดินมีคนที่พวกเขาพึ่งพากำลังทะลวงขั้นแปลงจิต เวลานี้เห็นท้องนภาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ประชาชนเหล่านี้ต่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว รู้สึกว่ านี่คือลางบอกเหตุก่อนหายนะจะมาเยือน คนจำนวนไม่น้อยมีปฏิกิริยา หลบหนีลงมาใต้ดินอย่างบ้าคลั่ง สัญชาตญาณบอกพวกเขาว่าใต้ดินปลอดภัยกว่า
ราชันอี้ถู่ย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบพาคนวิ่งมาหน้าหอน้อย เอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนใจ “ใต้เท้าทั้งสอง นี่คือใต้เท้าจินจะบรรลุขั้นแปลงจิตแล้วหรือ?”
หวาหวั่นซีพยักหน้า “น่าจะเป็นนาง นอกจากนางใต้พื้นดินก็ไม่มีใครปิดด่านกักตน”
เมฆดำกำลังม้วนตัวอยู่กลางท้องนภาเหนือศีรษะ สถานที่ซึ่งมืดมิดที่สุดคือตำแหน่งที่ตั้งเมืองซั่นเหริน ต้องเป็นจินเฟยเหยาตามที่คาดไว้แน่ๆ
“ความเคลื่อนไหวในการบรรลุขั้นแปลงจิตจะใหญ่โตหรือไม่ บนท้องฟ้าจะมีเคราะห์สายฟ้าฟาดลงมาหรือไม่? ถ้าทำลายเมืองซั่นเหรินจนกลายเป็นเศษซาก จะทำอย่างไรดี!” ราชันอี้ถู่เป็นห่วงประช ชาชนของตนเองอย่างยิ่ง เขาที่ได้ลิ้มรสอำนาจ สนใจการรับใช้ประชาชนมาก เห็นเมฆดำบนท้องฟ้าเหล่านั้น สิ่งแรกที่เป็นห่วงคือเมืองจะถูกทำลายหรือไม่ ผู้คนจะประสบภัยพิบัติตายหรือไม่ เ เขาถึงกับถือว่าปรากฏการณ์ประหลาดในการบรรลุขั้นแปลงจิตเป็นภัยพิบัติ
“ไม่หรอก” หวาหวั่นซีขมวดคิ้วเอ่ยวาจา ความจริงนางก็ไม่รู้ว่าบรรลุขั้นแปลงจิตเป็นอย่างไร ตอนนั้นนางบรรลุขั้นแปลงจิตก็ใช้ชีวิตแลกมาจึงแตกต่างจากการบรรลุตามปกติโดยสิ้นเชิง ดั งนั้นจึงไม่มีข้อมูลอ้างอิง
เห็นหวาหวั่นซีมีสีหน้าไม่มั่นใจ ราชันอี้ถู่ก็ร้อนใจ “ข้าได้ยินว่าตอนสัตว์ปิศาจบรรลุขั้นเทพ จะมีอัสนีสวรรค์ผ่าลงมาผ่าคนจนเนื้อหนังปริแตกอนาถจนทนดูไม่ได้ ทุกสิ่งโดยรอบจะอยู่ ภายใต้สายฟ้านับหมื่น ทุกอย่างจะถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นเศษซาก คนเลื่อนขั้นถูกฟ้าผ่าตายไปไม่น้อย ถ้าเคราะห์สายฟ้าผ่าลงมาเมืองซั่นเหรินมิจบสิ้นหรือ”
ได้ยินเขาพูดเสียน่าหวาดกลัว หวาหวั่นซีก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดจาเหลวไหลอะไร ที่เจ้าพูดถึงคือสัตว์ปิศาจขั้นเก้าเลื่อนเป็นสัตว์ปิศาจขั้นเทพ ย่อมมีการผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระ ะดูกภายใต้เคราะห์สายฟ้า เฟยเหยาเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่ต้องผลัดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูกจะมีเคราะห์สายฟ้าได้อย่างไร”
แต่พูดคำนี้ หวาหวั่นซีก็รู้สึกผิด นางรู้ดีว่าจินเฟยเหยาเป็นครึ่งคนครึ่งปิศาจ ยากรับประกันได้ว่าสวรรค์จะนึกว่านางเป็นสัตว์ปิศาจแล้วผ่าเคราะห์สายฟ้าลงมาหรือไม่ ถ้าเป็นเ เช่นนี้จริงก็อันตรายอย่างยิ่ง ถึงหลอมร่างจนกลายเป็นของวิเศษชั้นกลางแล้วก็ทานทนเคราะห์สายฟ้าแบบนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สัตว์ปิศาจ
อีกทั้งในเมืองซั่นเหรินยังมีเผ่าพิภพอาศัยอยู่มากมาย ถ้าเคราะห์สายฟ้าผ่าลงมาคงหนีไม่รอด นางครุ่นคิดแล้วจึงออกคำสั่ง “รีบสั่งการลงไป! ให้ทุกคนลงไปใต้ดิน รวมกันอยู่ในอุโมง งค์ใต้ดินชั้นล่างสุด ยิ่งอยู่ไกลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งดี” ถ้ามีเคราะห์สายฟ้าผ่าลงมาจริงๆ ทั้งหมดน่าจะรวมตัวอยู่ที่ตำแหน่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงรอบด้านจะได้รับผลกระทบก ก็ไม่น่าจะหนักหนาสาหัสนัก
ราชันอี้ถู่รีบพาคนจากไป ไปจัดการให้ประชาชนทั้งหมดเข้าสู่ใต้ดิน อีกทั้งยังต้องอยู่ห่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เห็นเผ่าพิภพด้านล่างสับสนอลหม่าน ทุกคนหนีเอาชีวิตรอดลงใต้ดิน พ พั่งจื่อก็ใช้อุ้งเท้าขีดเขียน อักษรแถวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ‘พวกเราจะทำอย่างไรดี?’
“จะทำอะไรได้ แน่นอนว่าต้องรีบหลบหนี นำมุกเปลือยออกมาดูข้างนอกก็พอ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายยืนอยู่ที่นี่ พวกเราต้านทานเคราะห์สายฟ้าไม่ไหว” หวาหวั่นซีจ้องมองพั่งจื่ออย่างส สงสัย รู้สึกว่าคำถามแบบนี้ยังต้องถามอีกหรือ?
นำมุกเปลือยออกมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนไว้บนหลังคาหอน้อยอย่างรวดเร็ว หวาหวั่นซีและพั่งจื่อก็พุ่งลงมาชั้นหนึ่ง หลบหนีเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน มาตามอุโมงค์ใต้ดินจนถึงสถานที่ปลอดภัย ห หวาหวั่นซีก็หาตำแหน่งที่อยู่ไกลจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดนำมุกเปลือยออกมา
หลังจากถ่ายทอดพลังวิญญาณลงในมุกเปลือย ก็ฉายภาพบนพื้นดินออกมา เผ่าพิภพไม่เคยเห็นของวิเศษแบบนี้มาก่อน ทุกคนจึงล้อมวงเข้ามานั่งเป็นวงใหญ่จ้องมองภาพแน่วนิ่งราวกับชมดูละคร
มีเผ่าพิภพอย่างน้อยที่สุดเรือนหมื่นห้อมล้อมรอบด้าน ส่วนมากล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนวิ่งมาชมดูความครึกครื้น ประชาชนเผ่าพิภพคนอื่นๆ ถึงคิดจะมาดู ก็เนื่องจากมีราชันนั่งอยู่ตรงนั้น นบวกกับใต้เท้าทั้งสองที่ราวกับเทพนั่งอยู่ตรงกลางจึงไม่กล้าเข้ามา ได้นั่งมองดูอยู่ไกลๆ หลายแวบก็พอใจแล้ว อีกทั้งคนที่ขี้ขลาดก็ไม่ว่างมาดูของพรรค์นี้ กำลังกอดลูกและครอบ บครัวหดตัวเป็นก้อนกลม หวังว่าภัยพิบัตินี้จะแค่ดินถล่ม ไม่ใช่ฟ้ารั่วน้ำท่วมเข้ามาในถ้ำ
เมฆดำม้วนตลบครั้งแล้วครั้งเล่า ราชันอี้ถู่นั่งมองดูอย่างตึงเครียดอยู่ข้างพวกหวาหวั่นซี ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนเผ่าพิภพที่ห้อมล้อมรอบด้านก็จิตใจตึงเครียด พวกเขาได้ยินแล้วว่ามีคน นจะบรรลุขั้นแปลงจิต ชั่วชีวิตนี้อาจจะได้เห็นเพียงครั้งเดียว
เมฆดำยังม้วนเอาๆ นอกจากม้วนก็ไม่มีอะไรออกมา อีกทั้งการม้วนตลบนี้ก็ม้วนมาสามวันแล้ว ทุกคนรอคอยจนนั่งไม่ติดอยู่บ้าง
“เมฆจะม้วนตัวไปถึงเมื่อใด หรือรู้สึกว่าความหนาของชั้นเมฆยังไม่เพียงพอจะรับเคราะห์สายฟ้าขนาดใหญ่พิเศษ?” หวาหวั่นซีอดบ่นพึมพำไม่ได้
ส่วนพั่งจื่อกลับส่งเสียงอ๊บแบบเห็นด้วย นางนั่งอยู่ด้านล่างไม่ต้องใช้การรับรู้กวาดออกไปดูก็รู้ว่า ทั้งสามเผ่าต้องมีคนมาเฝ้าแน่ คิดจะดูว่าใครทะลวงขั้นแปลงจิตที่นี่
นางคาดเดาได้ถูกต้องจริงๆ ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ทำให้คนของทั้งสามเผ่าแตกตื่นตกใจ แต่ละเผ่าต่างมีคนรุดมาดู ไม่ว่าเป็นคนเผ่าใด ขอเพียงเลื่อนขั้นสำเร็จ สำหรับเผ่านั้นแ แล้วถือเป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่ ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญเซียนขั้นว่างเปล่าต่างลงมือกระทำในสถานที่ซึ่งมีคนอยู่อาศัยเบาบาง ต่อให้ฟ้าผ่าลงมาอย่างรุนแรงเพียงใดพวกเขาก็ไม่ต้องมาดู
ในการรบของทั้งสามเผ่า คนที่มีพลังบำเพ็ญสูงสุดที่ลงสนามรบคือขั้นแปลงจิต ตอนนี้ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยเผ่าพิภพที่ยากจนข้นแค้น ถึงกับมีคนกำลังทะลวงขั้นแปลงจิต นี่ยังปิดบ บังซ่อนเร้นไว้มากมายเพียงใด อีกทั้งแค่ดูจากปรากฏการณ์ของเมฆดำบนท้องฟ้า มีโอกาสที่จะเป็นเผ่ามารและเผ่าปิศาจมากกว่า ถ้าเผ่ามนุษย์มีปรากฏการณ์บนท้องฟ้าแบบนี้ โดยพื้นฐานแล้วคง งไม่ใช่คนดีอะไร บรรลุขั้นแปลงจิตก็คาดหวังให้ช่วยเหลือไม่ได้
หลังจากจู๋ซวีอู๋ได้ยินก็พาศิษย์ทุกคนรุดมา เขารู้ดีว่าจินเฟยเหยาต้องกำลังทะลวงขั้นแปลงจิตแน่ คิดไม่ถึงว่ายายคนไร้คุณธรรมจะบรรลุขั้นแปลงจิตเร็วขนาดนี้ ก้าวหน้ารวดเร็วจ จนแม้แต่คนที่มีคุณสมบัติชั้นเลิศยังตามไม่ทัน ถ้าต่อไปหลายสิบหลายร้อยปีนางทะลวงขั้นสู่สวรรค์ เกรงว่าจะกลายเป็นผู้เหาะขึ้นสวรรค์ที่อายุเยาว์ที่สุด
เมฆดำม้วนตลบมาสองวันแล้ว ในที่สุดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมาตลอดก็เปลี่ยนแปลง
เมฆดำเริ่มล่าถอยไปรอบด้าน ตรงกลางปรากฏรูขนาดใหญ่กว้างห้าจั้ง แสงอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันสาดส่องออกมาจากรูขนาดใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไร ทุกคนไม่เข้าใจอยู่บ้าง ถ้าสัตว์ป ปิศาจขั้นเก้าบรรลุขั้นเทพ เวลานี้สมควรมีเคราะห์สายฟ้าผ่าลงมา ถ้าเป็นเผ่ามาร กลางอากาศก็น่าจะมีปรากฏการณ์ร่างแปลงของมารเกิดขึ้น ถ้าเป็นเผ่ามนุษย์จริงๆ ผู้ฝึกวิชาชั่วร้ายก็ต้ องมีรูปหัวกะโหลกคนตายหลายชิ้นปรากฏขึ้น ผู้บำเพ็ญเซียนสำนักอันเที่ยงธรรมกลับมีดนตรีสวรรค์ เมฆาสีสันสดใส ร้อยบุปผชาติ และนิมิตหมายมงคล
ปรากฏการณ์ควักเมฆดำเป็นรูขนาดใหญ่ซึ่งเรียบง่ายอย่างที่สุดในเวลานี้มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าเผ่าพิภพบรรลุขั้นแปลงจิตจริงๆ ไม่เพียงตัวคนยากจน แม้แต่ปรากฏการณ์ประหลาดก็ยังยากไ ไร้ถึงเพียงนี้
ทุกคนสงสัยเต็มอก ได้แต่รอดูอย่างจนปัญญา ส่วนจู๋ซวีอู๋เนื่องจากไม่เคยเห็นจินเฟยเหยาบรรลุขั้นกำเนิดใหม่ เพียงเคยได้ยินว่าตอนนั้นเคยปรากฏเทาเที่ยขนาดยักษ์ ดังนั้นเขาจึงรอ อดูปรากฏการณ์ประหลาดเทาเที่ยอย่างวางใจ ในใจยังคาดเดาอย่างสงสัย เมื่อคนเหล่านี้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดเทาเที่ย ไม่รู้จะคิดอะไร
จากนั้นต่อมากลับไม่มีเทาเที่ยที่เขาคาดไว้ปรากฏขึ้น กลางท้องนภาพลันมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น ได้ยินแค่เสียงฟ้าร้องไม่เห็นฟ้าแลบ ในเวลานี้เอง ตรงรูขนาดใหญ่กลางเมฆดำพลันปรากฏส สายฟ้ากว้างสี่จั้งหนึ่งสายผ่าลงมาบนเมืองซั่นเหรินโดยตรง
แสงสีขาวเสียดแทงนัยน์ตาวาบผ่านผืนนภา ระหว่างนั้นยังได้ยินเสียงเผ่าพิภพร้องอุทานอย่างหวาดกลัว คนของทั้งสามเผ่าที่มุงดูรอบด้านต่างคาดเดาว่าเมืองซั่นเหรินคงจบสิ้นแล้ว ทว่ ารอจนแสงรัศมีผ่านพ้น สายฟ้าขนาดใหญ่ที่ผ่าลงมาหายไป ฉากเบื้องหน้ากลับทำให้คนหมดวาจาทันที
อยู่ครบบริบูรณ์ดังเดิม สายฟ้าหยาบใหญ่ขนาดนี้ผ่าลงมา แม้แต่เสาไม้สักต้นของเมืองซั่นเหรินก็ยังไม่ถูกทำลาย เรื่องเมื่อครู่ก็เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมืองก็ยังเป็นเมือง คนก็ยังเป็นคนเช่นเดิม
ราชันอี้ถู่และเผ่าพิภพทุกคนนั่งอยู่ตรงนั้น มองเห็นอัสนีสวรรค์ผ่าลงมาจากภาพในมุกเปลือย ตอนนั้นหวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งร่าง อัสนีสวรรค์หยาบใหญ่ขนาดนี้ผ่าลงมา ทุกสิ่งในเมื องซั่นเหรินจะถูกทำลายหมดภายในพริบตาเดียว แม้แต่ในอุโมงค์ใต้ดินก็ปรากฏแสงรัศมีเสียดแทงนัยน์ตาสายหนึ่งทันที ตอนนั้นเขานึกว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว
ทว่าตอนนี้ เขากลับยังนั่งอยู่ดีมีสุขตรงนั้นด้วยสีหน้างุนงง ไม่เป็นไร ไม่มีใครตาย ตอนอัสนีสวรรค์ผ่าลงมาเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้ว่าเกิดเรื่อ องอะไรขึ้นกันแน่
“อ๊บ!” ผู้ที่เอ่ยปากคนแรกยังเป็นพั่งจื่อ เมื่อครู่มันตกใจแทบตาย คิดไม่ถึงว่าสายฟ้าจะผ่าทะลุลงมาในดิน ดูแล้วอานุภาพน่าตกใจ แต่กลับหายไปโดยไม่ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บแม้แต ต่น้อย ถึงไม่ได้ทำให้บาดเจ็บก็ทำให้พั่งจื่อตกใจอย่างหนัก อดส่งเสียงด่าทอไม่ได้
“เมฆดำกำลังล่าถอยไป?” หวาหวั่นซีเป็นคนที่เคยตายมาครั้งหนึ่งแล้ว เวลานี้ยังนับว่าเยือกเย็น นางจ้องมองมุกเปลือยพบว่าปรากฏการณ์ประหลาดกำลังหายไป
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเมฆดำด้านนอกมุกเปลือยเริ่มม้วนตัวอีกครั้ง ทว่าที่แตกต่างออกไปคือครั้งนี้ม้วนตัวออก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เมฆดำที่กองสุมมาห้าวันก็หนีหายไปจนเกล ลี้ยง ดวงอาทิตย์เผยโฉมอีกครั้ง การเลื่อนขั้นก็สิ้นสุดลงแบบนี้
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฉากเช่นนี้ ไม่เพียงหวาหวั่นซีและพั่งจื่อ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนของสามเผ่าที่วิ่งมามุงดูก็งุนงงไปหมด นี่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ประหลาดบรรลุขั้นแปลงจิตได้หรือ ? ครึ่งๆ กลางๆ โดยสิ้นเชิง ที่แท้คนผู้นี้เลื่อนเป็นขั้นแปลงจิตสำเร็จหรือไม่!
ไม่มีอานุภาพกดดันของขั้นแปลงจิต ไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน มีแค่สวรรค์ผายลมเท่านั้น ขนาดใบไม้สักใบก็ยังไม่ปลิวลงมา ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไร ขึ้น
ทว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน จินเฟยเหยากำลังชี้หน้าพลางคำรามใส่กระจกสภาพโลกวิญญาณอย่างเดือดดาล “เจ้าสารเลว! นี่เรียกว่าคาถาผสานอะไรกัน คนโกหก!”