คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 47 ท่านผู้กล้า มีแซ่อันสูงส่งว่าอะไร?
เมืองลั่วเซียนปีนี้คึกคักเป็นพิเศษ ยาสร้างฐานร้อยเม็ดทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนเฮโลกันมา กระตุ้นความเจริญรุ่งเรืองของตลาด โดยเฉพาะก่อนการประลองใหญ่ในเดือนนี้ บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนใช้จ่ายศิลาวิญญาณอย่างกระตือรือร้น ทำให้บรรดาร้านค้ายิ้มกันเป็นแถว
ผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งอย่างประหลาดคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในหอซานไห่ ดื่มสุราอย่างสบายอารมณ์ มองฝูงชนเดินผ่านไปผ่านมาบนถนน
ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ร่างกายกำยำจนทำให้คนหวาดกลัว ตลอดร่างมีแต่กล้ามเนื้อที่แข็งแรง แขนข้างหนึ่ง ยังหยาบใหญ่กว่าต้นขาของชายฉกรรจ์ธรรมดา สิ่งเดียวที่ไม่เข้ากันก็คือผิวขาวจัด ไม่เช่นนั้นหากทาน้ำมัน ก็เหมือนเป็ดย่างแสนอร่อยที่ย่างจนเหลือง
คนผู้นี้เกล้าผมอย่างลวกๆ องคาพยพทั้งห้ามุทะลุดุดันทว่ากลับไม่น่าเกลียด ดึงดูดสายตาที่เร่าร้อนของผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหลายนาง ผู้บำเพ็ญเซียนท่านนี้ หน้าตามีความมั่นคงปลอดภัยยิ่ง
ยามนี้ ด้านล่างหอมีผู้บำเพ็ญเซียนหน้าตาเหมือนสัตย์ซื่อคนหนึ่งเดินขึ้นมา กวาดมองไปยังหน้าโต๊ะข้างหน้าต่างด้านบนของหอ พบว่ามีเพียงชายฉกรรจ์ผู้นี้นั่งอยู่คนเดียว บนโต๊ะอื่นๆ ล้วนมีคนนั่งอย่างน้อยที่สุดสองคน ชายฉกรรจ์บนโต๊ะยังมีกบผานอวิ๋นตัวหนึ่ง กำลังใช้ลิ้นตวัดอาหารบนโต๊ะไปอย่างกำเริบเสิบสาน เห็นคนผู้นี้ เขาสงสัยอยู่บ้าง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินมาประสานมือคารวะเบื้องหน้าชายฉกรรจ์แล้วเอ่ยว่า “สหายเซียนท่านนี้ ข้าน้อยคือหวาซีแห่งสำนักชิงโซ่ว สหายของข้านัดข้ามาพบที่นี่ บอกว่าบนโต๊ะข้างหน้าต่างจัดวางกบผานอวิ๋นไว้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่ากบผานอวิ๋นตัวนี้เป็นของสหายเซียนหรือไม่?
ชายฉกรรจ์วางถ้วยสุราลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลน “กบผานอวิ๋น? เจ้าเป็นคนมอบเจ้านี่ให้ข้ามิใช่หรือ จะเสแสร้งทำไม ยังไม่นั่งลงอีก ถ้าในเมืองลั่วเซียนไม่ให้ผู้บำเพ็ญเซียนต่อสู้กัน ข้าคงโยนเจ้าลงจากหอไปนานแล้ว”
ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงอันคุ้นเคยดังมาจากปากชายฉกรรจ์ผู้นี้ หวาซีก็มองนางอย่างตกตะลึง พูดติดอ่างขึ้นมา “เจ้า…เจ้าคือจินเฟยเหยา เจ้าเป็นอะไรไป เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้? ข้าไม่ได้พบเจ้าแค่สองปี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโชคร้ายอย่างยิ่ง เจ้าจะชิงร่าง[1] ก็ไปหาสตรีสิ ต่อให้พลาดโอกาส หาร่างสตรีไม่ได้ ก็เลือกบุรุษธรรมดาหน่อยสิ เจ้าลองดูร่างที่เจ้าชิงมาสิ ทำให้ข้าตกตะลึงจริงๆ”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ ผู้ใดชิงร่าง นี่เป็นผลข้างเคียงหลังจากข้ากินยา หลังจากข้าบรรลุขั้นสร้างฐานก็น่าจะฟื้นฟูเป็นดังเดิม” จินเฟยเหยามองเขาอย่างเหยียดหยาม จะตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไม
นึกถึงตอนที่ตนเองเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรก ระดับความตื่นตกใจก็ไม่น้อยไปกว่าเขา ว่าไปแล้วก็น่าอาย จินเฟยเหยาร้องไห้อยู่หน้ากระจกในห้องถึงสามวันเต็มๆ สุดท้ายจึงคิดตก หลังจากนางปิดด่านกักตนแล้วปรากฏตัวขึ้นในเรือนสี่สิบสี่ ก็ทำให้คนในเรือนตกใจไม่น้อยเช่นกัน แต่ละคนล้วนนึกว่านางชิงร่าง ทำให้นางต้องอธิบายอยู่นาน
หวาซีลากเก้าอี้มานั่ง เอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ยาที่เจ้ากินคือยาอะไร คิดไม่ถึงว่าจะมีฤทธิ์แรงเช่นนี้?”
ได้ยินหวาซีถามเช่นนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกาย “ไม่ใช่ยาที่แปลกประหลาดอะไร เป็นตำรับยาที่สามารถเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรและสร้างกล้ามเนื้อที่ได้มาโดยบังเอิญ คิดว่าถ้าความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน โอกาสที่จะเบียดเข้าไปอยู่ในห้าร้อยคนก็จะเพิ่มขึ้นอีกนิด ข้าหลอมเองเม็ดหนึ่ง อาจเป็นเพราะความสามารถในการหลอมยามีจำกัด ยานี้จึงมีคุณภาพต่ำไปบ้าง ดังนั้นจึงกินจนกลายเป็นเช่นนี้”
จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยเสียงดังขึ้น “ทว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของข้าเพิ่มขึ้นจริงๆ ใช้เวลาเพียงสองปีก็บรรลุขั้นฝึกปราณช่วงปลาย อีกทั้งร่างกายยังยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ตอนนี้ถ้าข้าให้เจ้าต่อยข้าโดยที่ข้าไม่ตอบโต้ เกรงว่าเจ้าคงทำร้ายข้าไม่ได้”
“นี่เจ้ากำลังปลอบใจข้าอยู่หรือ?” หวาซีมองนางอวดกล้ามเนื้อบนแขนอย่างกระหยิ่ม ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เอ่ยถามอีกว่า “ร่างกายของเจ้าในตอนนี้ กลายเป็นบุรุษแล้วใช่หรือไม่?”
จินเฟยเหยาหัวเราะฮาๆ หยิบถ้วยสุราขึ้นบีบเบาๆ ถ้วยสุราก็ถูกนางบีบจนกลายเป็นผุยผงโดยไร้เสียง กระเด็นลงบนโต๊ะ
จากนั้นนางจึงชี้กบผานอวิ๋นบนโต๊ะ เอ่ยยิ้มกริ่ม “ตอนนี้ข้าใจกว้างประดุจทะเล เจ้าอย่านึกว่าทำเช่นนี้จะยั่วให้ข้าเกิดโทสะได้ ข้าบอกเรื่องของพั่งจื่อ[2]กับเจ้าในยันต์ถ่ายทอดเสียงแล้ว เจ้ารีบอธิบายข้ามาเสีย ถ้าทำให้ข้าพอใจไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าหมายจะออกจากสำนักหรือเมืองลั่วเซียนเลย”
“พั่งจื่อ? เจ้าตั้งชื่ออะไรให้กบผานอวิ๋นตัวนี้เนี่ย ช่างไร้รสนิยมจริงๆ” หวาซีมองกบผานอวิ๋นบนโต๊ะ ที่รูปร่างใหญ่กว่ากบผานอวิ๋นธรรมดาหลายเท่า นั่งตัวอ้วนกว่ากระปุกสุราอยู่บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าอ้วนเกินไป หรือว่ากบผานอวิ๋นโตแล้วเป็นเช่นนี้ หวาซีรู้สึกว่ากบผานอวิ๋นตัวนี้ดูเหมือนจะโง่งมเป็นพิเศษ
โดยพื้นฐานแล้วมันนั่งอยู่บนโต๊ะไม่ได้ขยับสักนิด สายตาก็ซึมเซาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นานมากก็ไม่เห็นลูกตาของมันขยับ เพียงแต่กับข้าวบนโต๊ะ ไม่มีใครขยับตะเกียบ ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดถูกลิ้นยาวๆ ของมันตวัดไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง เจ้ารีบอธิบายข้ามา ถ้าเจ้าไม่ได้ปิดด่านกักตนสองปี ข้าหาเจ้าไม่พบ โทสะคลายลงไปไม่น้อย ไม่เช่นนั้น เจ้านึกว่าข้ายังสามารถมานั่งพูดคุยกับเจ้าที่นี่ได้อย่างสงบเยือกเย็นขนาดนี้หรือ?” จินเฟยเหยายื่นนิ้วออกมาเคาะโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่พอใจยิ่ง
หวาซีไม่ยุ่งกับชื่อของพั่งจื่ออีก หัวเราะหึหึ จึงเอ่ยคำพูดที่คิดไว้ระหว่างทางออกมา “เรื่องนี้ข้าเคยไปถามศิษย์พี่เซียวแล้ว เขาซื้อไข่มาจากแผงข้างทาง และดูไม่ออกว่าเป็นของปลอม ตอนนี้คิดจะไปเอาเรื่องก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ของปลอมที่แบขายกับดินแบบนี้ พอขายสำเร็จก็จะเปลี่ยนสถานที่ หาตัวไม่ได้”
“เจ้าไปหลอกเด็กสามขวบเถอะ ตอนพวกเจ้าสวมกางเกงเปิดก้นก็อยู่กับสัตว์ภูติแล้ว ไข่สัตว์ภูติที่มีราคาแพงขนาดนี้ พวกเจ้าปิดตาก็สามารถเอากลับมาได้ ข้าไม่เชื่อว่า ในเรื่องการทำสัตว์ภูติปลอม จะมีคนเก่งกว่าพวกเจ้า” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าดูแคลน ไม่เชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
หวาซีเข้าใจนาง ทุกครั้งที่นางอาละวาดใหญ่โต ก็เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงหยิบถุงสัตว์ภูติใบหนึ่งออกมาจากในอก ส่งให้อย่างยิ้มแย้ม
“นี่เป็นสิ่งชดเชยที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าก็ละเว้นข้าเรื่องแมวบินได้เถอะ เจ้าใช้สัตว์ภูติตัวนี้ดีที่สุด มีมัน ถ้าเจ้าอยากซื้อแมวบินได้ก็เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วย?” จินเฟยเหยารับถุงสัตว์ภูติมามองดูด้านใน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางหิ้วถุงขึ้นสั่น มดตัวใหญ่สีดำเป็นประกายยาวหนึ่งฉื่อตัวหนึ่งก็ร่วงลงบนโต๊ะ หนวดบนหัวมดขยับ พบว่ากบผานอวิ๋นนั่งเหมือนรูปปั้นอยู่ด้านตรงข้าม
ไม่รอให้จินเฟยเหยาได้สติคืนมา มันก็พุ่งไปถึงเบื้องหน้าพั่งจื่อ อ้าปากงับหนังท้องพั่งจื่อไว้ ดวงตาของพั่งจื่อที่ไม่ขยับอยู่นานกลอกลงมา จับจ้องมดตัวใหญ่ที่งับหนังท้องมัน พลันมีฝ่ามือลอยมา ฟาดตบมดตัวใหญ่ให้ลอยไปกระแทกพื้น จากนั้นดวงตาก็กลับคืนที่เดิม เหม่อลอยต่อไป
มดตัวใหญ่ถูกฟาดก็มีโทสะ พุ่งขึ้นมาบนโต๊ะอีก เข้ามากัดท้องของพั่งจื่ออีกครั้ง ครั้งนี้พั่งจื่อไม่ให้มันเข้าใกล้ตัว รีบใช้ลิ้นที่ว่องไวดุจสายฟ้าฟาดราวกับห่าฝนจนมดตัวใหญ่ยากจะคืบหน้าสักก้าว
จินเฟยเหยาไม่สนใจพวกมันสองตัวปล่อยให้พวกมันทะเลาะกันไป ตีหน้าขรึมเอ่ยกับหวาซี “เจ้าจงใจนำเจ้าตัวน่าเกลียดนี่มาให้ข้าโดยเฉพาะใช่หรือไม่”
หวาซีเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะดูสิ่งของไม่เป็น นี่เป็นมดหนึ่งผลึกอันล้ำค่า มันถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณ”
“พรวด” จินเฟยเหยาเกือบจะพ่นน้ำใส่หน้าหวาซี นางชี้มดตัวใหญ่ที่ยังพัวพันกับพั่งจื่อ เอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าหลอกใคร ในสำนักเจ้ามีสัตว์สะท้านฟ้าที่มีขนเป็นทองคำ เจ้าให้ข้าได้แค่มดที่ถ่ายเป็นศิลาวิญญาณตัวเดียว ข้าจะไม่ติดกับเจ้าเด็ดขาด เอามดของเจ้าไสหัวไปเสีย ครั้งนี้ข้ามีโทสะจริงๆ แล้ว”
“ฮา คิดไม่ถึงว่ามดหนึ่งผลึกตัวนี้จะถูกกบผานอวิ๋นทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้ น่าขำยิ่งนัก” ด้านข้างมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้นคนหนึ่งเดินผ่านมา พอดีเห็นฉากนี้บนโต๊ะ จึงอดยิ้มไม่ได้
จินเฟยเหยาร่ำร้องแล้วยืนขึ้น เรือนร่างสูงใหญ่ดุจกำแพงมนุษย์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขา นางใช้มือโอบผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ แขนที่หยาบหนารัดคอเขาแน่น ทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลัง กลับพบว่าแขนข้างนี้แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าและไม่ขยับเลยสักนิดภายใต้การดิ้นรนของเขา
“สหายเซียนท่านนี้ ข้ามีเรื่องเล็กน้อยอยากจะสอบถามเจ้าหน่อย” จินเฟยเหยาลดเสียงเบา พยายามทำให้น้ำเสียงของตนเองแหบห้าว
ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ใบหน้าบวมแดง เอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ “ไม่ทราบว่าสหายเซียนคิดจะถามอะไร?”
จินเฟยเหยาชี้ไปที่มดตัวใหญ่ที่พยายามจะไปกัดพั่งจื่ออย่างไม่ยอมแพ้ ทว่ากลับถูกพั่งจื่อสะกดเอาไว้ เคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่น้อยได้แต่ถูกทุบตีฝ่ายเดียวแล้วเอ่ยถามว่า “สหายเซียน เจ้ารู้จักมดชนิดนี้?”
“ใช่ ข้ารู้จัก” เขารีบพยักหน้า
“เจ้าไม่ต้องกลัว บอกมาให้ข้าฟัง มันถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณจริงหรือไม่”
เห็นจินเฟยเหยาไม่ได้หาเรื่องเขาเพราะเขาหัวเราะที่สัตว์ภูติสองตัวนี้ทะเลาะกัน เขาก็โล่งอก รีบพยักหน้าเอ่ยตอบ “จริง มดหนึ่งผลึกสามารถถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกตัวที่สามารถทำได้ มีคนเคยเลี้ยงมดหนึ่งผลึก ในหนึ่งหมื่นตัวจะมีเพียงหนึ่งหรือสองตัวที่สามารถถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณได้ หนึ่งปีสามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้สองสามก้อน เพียงแต่ไม่ได้กำหนดตายตัว ปกติถ่ายครั้งสองครั้งก็ไม่ถ่ายแล้ว ตอนนี้ไม่มีคนสามารถตรวจสอบสาเหตุได้”
ที่แท้เป็นเรื่องจริง บนโลกนี้มีสัตว์ภูติที่ผลิตศิลาวิญญาณแบบนี้จริงๆ ได้คำตอบแล้ว จินเฟยเหยาก็วางผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ลง ทั้งยังช่วยเขาจัดแจงคอเสื้ออย่างสนิทสนม
ถูกคนตัวหยาบใหญ่จัดแจงคอเสื้อ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็ตกใจจนไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย เกรงว่าจินเฟยเหยาคิดจะฉวยโอกาสนี้บีบคอเขาให้ตาย
ละครตลกฉากนี้จบลงทันที ไม่มีการทุบตี ผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านล้วนเก็บสายตากลับมา แล้วเริ่มพูดคุยเรื่องของตนเอง
“ฮ่า ที่แท้นี่เป็นเรื่องจริง” จินเฟยเหยานั่งลงที่เดิม ยิ้มให้หวาซีที่มองนางอย่างเงียบงันมาตลอด ไม่รู้สึกสงสัยถึงเจตนาร้ายของผู้อื่นสักนิด
ใบหน้ามุทะลุดุดันแย้มยิ้ม ทำให้หวาซีรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ จินเฟยเหยาเบาเสียงของตนเอง ถ้าไม่รู้จักนางก่อนหน้านี้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจดจำคนในตอนนี้ออกว่าเป็นสตรี
การแสดงออกของจินเฟยเหยาเมื่อครู่ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหลายคนที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่านางเป็นคนไม่เลว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่านางมีอานุภาพน่าเกรงขามสุดเปรียบปาน ดอกท้อหลายดอกเบ่งบานมาที่นาง จินเฟยเหยาไม่รู้สึกตัว ยังเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหลายนางนั้น ทั้งยังยิ้มตอบด้วย
“เจ้ากำลังทำอะไร รีบหุบยิ้มเลย” หวาซีทนดูต่อไปไม่ได้ ใช้มือฉุดดึงนางแล้วด่าทอ
จินเฟยเหยาสะบัดมือของเขาทิ้งอย่างไม่พอใจ ทั้งยังยิ้มอย่างเจิดจรัสให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีหลายนางนั้น จึงเอ่ยกับหวาซี “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนี้ข้าได้รับความนิยมอย่างยิ่ง คนที่ไม่ได้ถูกสตรีชมชอบอย่างเจ้า อย่าอิจฉาข้าสิ”
“ข้า…เอาเถอะ ขอให้เจ้าจงมีลักษณะเช่นนี้ไปชั่วชีวิต” ในที่สุดหวาซีก็อดไม่ไหวด่าทอขึ้นมา