คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 50 โจรกับนักต้มตุ๋น
ชายชราหยิบถุงเก็บของขึ้นมามองดูข้างใน แล้วไม่ยอมทันที “ศิลาวิญญาณชั้นล่างสองร้อยก้อน เจ้าจะปล้นกันหรือ”
“นี่เป็นสินค้าโหลมิใช่หรือ? เจ้าพูดเองนี่ว่ามีขายอยู่ทั่วไป ทั้งยังไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร ให้ศิลาวิญญาณเจ้าสองร้อยก้อนก็ไม่เลวแล้ว อีกทั้งสิ่งของของเจ้ายังเป็นสินค้ามีตำหนิ ข้าซื้อกลับไปก็อาจจะใช้ไม่ได้” จินเฟยเหยาเท้าเอวเอ่ยอย่างมีเหตุผลเต็มที่ ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขาดุจทวารบาล
“ข้าไม่ขายแล้ว เจ้านำศิลาวิญญาณคืนไป” ชายชราโยนถุงเก็บของไปที่เท้าจินเฟยเหยา โอบกอดอ่างในอ้อมอกแนบแน่น
จินเฟยเหยาส่งสายตาให้พั่งจื่อ พอดวงตาซึมเซาของพั่งจื่อกลอกไปมองชายชรา ราวกับชายชรารับรู้ได้ เขาจ้องมองพั่งจื่อแน่วนิ่ง มือโอบกอดอ่างแน่น พอพั่งจื่อขยับตัวนิดๆ ก็มีลมแรงพัดมา อ่างในมือชายชราก็หายไป
“อ่างของข้า!” ชายชรากระโดดผลุงร้องเหมือนสุกรถูกเชือด ใช้มือคว้าจินเฟยเหยาไว้แน่นด้วยอารมณ์ตกตะลึง ชายชราคว้าคอเสื้อจินเฟยเหยา น้ำลายแทบจะพ่นใส่ใบหน้านาง “คืนอ่างของข้ามานะ นั่นเป็นสิ่งของที่สืบทอดมาจากบรรพชนของข้า เจ้าบังคับให้ซื้อขายนี่นา”
“สหายเซียนท่านนี้ เจ้าสงบสติหน่อย ข้ายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ขยับเลยสักนิด ก็เห็นอ่างในอ้อมอกเจ้าหายไปแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่อยากขาย ทั้งยังซ่อนสิ่งของ ก็คืนศิลาวิญญาณข้ามา” จินเฟยเหยามองเขาด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ
ชายชราคิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะพูดเช่นนี้ อดมีโทสะพุ่งสูงสามจั้งไม่ได้ คว้าคอเสื้อนาง แอบรวมพลังวิญญาณไว้บนสองมือคิดจะทำให้นางล้ม คาดไม่ถึงว่ารูปร่างสูงใหญ่ของจินเฟยเหยาจะไม่ขยับเลยสักนิด ทั้งยังมองเขาด้วยสีหน้าเห็นใจ
พวกเขาสองคนทะเลาะกันเช่นนี้ดึงดูดให้ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยมาชมความครึกครื้น จินเฟยเหยาค้นพบแต่แรก คนเราต่อให้มีพลังการบำเพ็ญเพียรยอดเยี่ยมผิดธรรมดา ธรรมชาติของมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ตอนชมดูความครึกครื้น ทุกคนยังเป็นฝ่ายล้อมวงเข้ามา ถ้าไม่ไปดูสักนิดล้วนไม่ยินยอม
“เจ้า…เจ้าฝันไปเถอะ ข้าไม่คืนศิลาวิญญาณให้เจ้าหรอก เห็นเจ้าท่าทางแบบนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร ถึงกับคิดหลอกเอาสิ่งของของข้าไป” ชายชราตะโกนเสียงดังอย่างกระหืดกระหอบ ใช้มือแย่งถุงเก็บของบนพื้นมา ยัดเข้าไปในอกอย่างแรง
จินเฟยเหยายักไหล่ เอ่ยปลอบใจชายชรา “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่ท่านอายุเหลือน้อยแล้ว ศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนนี้ถือว่าเป็นค่าเดินทางส่งท่านกลับบ้านแล้วกัน สหายเซียน ต่อไปอย่าทำเรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นเช่นนี้อีก ท่านอายุปูนนี้แล้ว ไปตั้งตระกูลในโลกมนุษย์ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขจะดีกว่า เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ”
ชายชราถูกนางฉีกหน้า ใบหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวแดงก่ำ ไม่ทราบว่ามีโทสะหรือร้อนใจ สองมือสั่นสะท้าน พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน ดูแล้วเหมือนนักต้มตุ๋นถูกคนเปิดโปง จินเฟยเหยาถอนหายใจอย่างผิดหวัง ตบพั่งจื่อ ทอดถอนใจพลางเบียดออกจากฝูงชนไป “เฮ้อ นี่เรียกว่าอะไร สังคมทุกวันนี้แย่ลงทุกที จิตใจคนไม่เหมือนเมื่อก่อน”
นางพูดกับตนเอง พาพั่งจื่อเดินหายลับไปในฝูงชนอย่างช้าๆ
“เจ้าหนู เจ้านี่จริงๆ เลย สามารถบังคับซื้อได้ถึงขั้นนี้ นับเป็นผู้มีความสามารถ” ชายชรามองจินเฟยเหยาที่จากไป ปากพึมพำเบาๆ
ชายชราปัดฝุ่นบนตัว แล้วหมุนตัวแทรกเข้าไปในกลุ่มคนจากไปโดยไม่มีผู้ใดสนใจ มุมปากของเขามีรอยยิ้มเยาะ เจ้าโง่คนนี้ อ่างผุๆ ใบหนึ่งยังใช้ศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนบังคับซื้อไป ไม่รู้ว่าหลังจากกลับไปแล้ว ถ้าเขาทดลองหลอมดูจะมีโทสะจนเป็นเช่นใด
ชายชรายิ้มอย่างกระหยิ่ม นึกถึงสถานที่ที่ตนเองเช่าพักอาศัย ตรงมุมนอกห้องยังมีอ่างผุๆ และชามพังๆ โยนทิ้งไว้อีกจำนวนไม่น้อย ก็คิดจะไปหยิบมาอีกใบ เปลี่ยนสถานที่แล้วขายอีกครั้ง เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ กระบวนท่าเปิดเผยธาตุแท้ออกมาโดยบังเอิญนี้ เป็นวิธีที่ทำให้คนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทั้งยังใช้ได้ผลจริงๆ บวกกับสิ่งที่ตนเองได้ยินมาจากบรรพชน ภายใต้การแต่งเรื่องของเขา ก็หลอกคนที่นึกว่ามองของเป็นได้
เพียงแต่คนที่น่าไม่อายที่สุดคือผู้บำเพ็ญเซียนรูปร่างใหญ่โตคนนี้ บังคับซื้อของแล้วป้ายความผิดให้ผู้อื่น ต้องการทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่ว่าอ่างผุๆ ใบหนึ่ง บวกกับกระดาษเก่าเหลืองใบหนึ่งก็สามารถแลกศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนได้ หาเงินได้ก้อนใหญ่จริงๆ
กระดาษที่บรรพชนนำมาจากโลกระดับเทพชนิดนี้ เป็นไพ่ตายใบหนึ่ง ถ้าไม่มีกระดาษสีเหลืองสักหลายใบ เกรงว่าคงขายสิ่งของไม่ได้ง่ายดายขนาดนี้ ชายชราฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี เดินเข้าไปในฝูงชนอย่างเอ้อระเหย วางแผนว่าอีกครู่หนึ่งจะไปหลอกเจ้าโง่ที่ไหนดี
จินเฟยเหยาที่นึกว่าเอาเปรียบได้สำเร็จ ก็รีบพาพั่งจื่อกลับไปอย่างตื่นเต้นยินดี คิดจะซ่อม ‘พื้นที่มิติ’ ให้เป็นดังเดิม
กลับไปถึงในเรือน ยืนอยู่หน้ากองทรายสีดำสูงกว่าตัวคน นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจขนย้ายจำนวนครึ่งหนึ่งไปซ่อมพื้นที่มิติ นำเอากระเป๋าเก็บของที่ว่างออกมาบรรจุอุจจาระของพั่งจื่อกึ่งหนึ่ง นางโยนมดหนึ่งผลึกออกมา ให้มันไปหากินเอง
มดหนึ่งผลึกถูกปล่อยออกมา พลันพบว่าเบื้องหน้าตนเองมีกบผานอวิ๋นขนาดยักษ์ตัวหนึ่งยืนอยู่ ตัวใหญ่เกินไป ในใจของมันขลาดกลัวจึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า มองซ้ายมองขวา พลันพบว่าด้านข้างมีทรายสีดำกองหนึ่งดึงดูดสายตาของมันอย่างมาก
ตัวมันเองก็ไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดทรายสีดำกองหนึ่งจึงดูน่ากินกว่ากบผานอวิ๋น ดังนั้นจึงพุ่งขึ้นไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
จินเฟยเหยาเห็นมดหนึ่งผลึกนอนอยู่หน้ากองทรายสีดำแล้วกินคำโตๆ อย่างเอร็ดอร่อย ก็รู้สึกงุนงง ถึงตนเองจะมีความคิดเช่นนี้ ทว่าเป้าหมายสุดท้ายคือคิดจะให้มันอดตาย ทว่าเจ้านี่ก็รู้มากเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายกินอย่างเบิกบานแทน
ทรายสีดำไม่ต้องใช้เงินซื้อ กินหมดแล้วให้พั่งจื่อถ่ายออกมาก็พอ จินเฟยเหยาจึงไม่สนใจมันอีก
“พั่งจื่อ เอาอ่างมาให้ข้า” จินเฟยเหยาเดินมาถึงเบื้องหน้าพั่งจื่อแล้วเตะก้นมันหนึ่งที พั่งจื่อนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น ไม่ขยับเลยสักนิด และไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องแกล้งตาย รีบคายออกมาให้ข้าเร็ว” จินเฟยเหยาเตะมันเต็มแรงอีกหลายที พั่งจื่อส่งเสียงแหวะ คายอ่างมายาจิ่งเทียนออกมาจากในปาก
จินเฟยเหยาหยิบมายาจิ่งเทียนขึ้น เอ่ยพึมพำอย่างไม่พอใจ “ข้าก็ใจอ่อนเกินไป หากรู้แต่แรกตอนนั้นเหยียบเจ้าให้ตายเสียก็ดี ตอนเล็กๆ ยังแสร้งทำท่าน่ารักมาประจบเอาใจทั้งวัน ตอนนี้ตัวใหญ่แล้ว ความกล้าก็มากขึ้นตามไปด้วย ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด ถ้ายั่วโทสะข้าเมื่อไหร่ ข้าจะไล่เจ้าออกไปเสีย”
“อ๊บ” พั่งจื่อยังคงนั่งไร้อารมณ์อยู่ที่เดิม ร้องอย่างไม่ถูกกาลเทศะ จินเฟยเหยาชะงักฝีเท้า หยิบก้อนหินเล็กๆ ข้างแปลงยาขึ้นมาก้อนหนึ่งหมุนตัวไปขว้างใส่หัวพั่งจื่อ ดวงตาพั่งจื่อกลอกมา พออ้าปาก ก็มีเงาสายหนึ่งวาบผ่านกลางอากาศ จินเฟยเหยาถูกลิ้นของมันชกอย่างแรง
“เจ้าฟังให้ดีนะ ทุกอย่างที่เจ้ากินและอาศัยอยู่ล้วนเป็นของข้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าต่อยข้า เจ้าอย่านึกว่าเจ้าออกไปแล้วจะอยู่ด้วยตนเองได้นะ ด้วยความกินเก่งของเจ้า ผ่านไปไม่กี่วันก็ถูกทุบตีจนตายในฐานะตัวหายนะแล้ว”
จินเฟยเหยาด่ามันอย่างสาดเสียเทเสีย ส่วนพั่งจื่อกลับไม่สนใจเลยสักนิด ยื่นลิ้นตวัดไก่ย่างตัวหนึ่งออกมาจากในถุงเก็บของบนหลัง แสร้งทำเป็นลิ้มรสอย่างช้าๆ
“คร้านจะสนใจเจ้า ทางที่ดีขอให้เจ้ากินจนท้องแตกตาย” ครึ่งปีกว่ามานี้ การทะเลาะกันแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพียงแต่ด่าทออย่างไร พั่งจื่อก็ไม่มีปฏิกิริยา เหมือนกำลังด่ารูปปั้นหินตัวหนึ่ง ดังนั้นจินเฟยเหยารู้สึกว่าการที่ตนเองด่าทอมัน มองอย่างไรก็เหมือนตัวโง่งม
นางเดินเข้าไปในห้องหลอมยาอย่างมีโทสะ ปิดประตูอย่างแรง
จินเฟยเหยาคิดอย่างเรียบง่าย หินอุจจาระสามารถใช้ทรายอุจจาระของกบผานอวิ๋นแทนได้ เช่นนั้นเพลิงแท้ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ย่อมสามารถใช้ไฟพิภพธรรมดาแทนได้ ถ้ากำลังไฟไม่เพียงพอ ก็เพิ่มไฟนรกเข้าไป
หลังจากเปิดไฟพิภพ นางจึงโยนพื้นที่มิติที่เหมือนอ่างธรรมดาเข้าไป รออยู่นาน ก็ไม่เห็นอ่างมายาจิ่งเทียนจะเป็นเหมือนที่บอกในกระดาษสีเหลือง ทั้งอ่างถูกเผาจนร้อนแดง
“เป็นของดีจริงๆ ใช้ไฟพิภพเผานานขนาดนี้ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด” จินเฟยเหยาเอ่ยชมอย่างยินดี
นางครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก็โยนไฟนรกหลายดวงใส่ในไฟพิภพ ไฟนรกเข้าไปในไฟพิภพ ห่อหุ้มอ่างทั้งใบ เห็นไฟนรกไม่ได้หายไป ตรงกันข้ามกลับห่อหุ้มอ่างไว้แล้วเผาไหม้ต่อ จินเฟยเหยาจึงวางใจ
นางเฝ้าอยู่ในห้องหลอมยารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง จึงปล่อยให้อ่างถูกไฟพิภพและไฟนรกเผา ส่วนตนเองเปิดประตูออกมาสูดอากาศ เวลาของผู้บำเพ็ญเซียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จินเฟยเหยาเดินวนในห้องหลอมยาหนึ่งรอบ ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว
นางยืนบิดขี้เกียจอยู่ด้านนอก กลับพบว่าพั่งจื่อไม่อยู่ข้างนอก เจ้านี่ต้องหนีไปนอนที่ห้องชั้นบนแน่ จินเฟยเหยาจนวาจา ตนเองเลี้ยงเจ้านายอะไรกันเนี่ย
หางตาเหลือบมองภูเขาทรายโดยไม่ได้ตั้งใจ นางพบว่ามดหนึ่งผลึกยังกำลังกินอยู่ มีอะไรผิดไปหรือไม่ กินหลายชั่วยามแล้ว เดิมทีคิดจะปล่อยให้มันกินจนท้องแตกตาย พลันพบว่าในทรายทางด้านหลังของมดหนึ่งผลึกมีอะไรบางอย่างส่องแสงวิบวับอยู่ด้านล่างไฟถนนหินแสงราตรีในเรือน
ไม่จริงน่า…
จินเฟยเหยาเดินไปอย่างกังวล นำสิ่งที่ส่องแสงวิบวับก้อนนั้นออกมาจากในทราย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นศิลาวิญญาณจริงๆ เห็นศิลาวิญญาณก้อนนี้ จินเฟยเหยาก็งุนงงไปหมด มดหนึ่งผลึกถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณจริงๆ?
นางตรวจดูศิลาวิญญาณในมืออย่างละเอียดแบบไม่อยากจะเชื่อ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นศิลาวิญญาณธรรมดาก้อนหนึ่ง ทดลองดูดซับพลังวิญญาณด้านในก็เหมือนกับศิลาวิญญาณก้อนอื่นๆ
จินเฟยเหยาครุ่นคิดอยู่นาน ก็ใส่ศิลาวิญญาณลงในกระเป๋าเก็บของ ฮึ ไม่เป็นไร ใช้ปนกับศิลาวิญญาณก้อนอื่นๆ ก็ได้ ศิลาวิญญาณก้อนนี้เป็นสิ่งที่มดหนึ่งผลึกถ่ายออกมาหรือไม่ พรุ่งนี้ก็รู้ ถ้าวันหนึ่งสามารถถ่ายศิลาวิญญาณได้หนึ่งก้อน หนึ่งปีก็เท่ากับสามร้อยหกสิบห้าก้อน ถ้าเลี้ยงเกินร้อยตัว หนึ่งปีก็จะเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้สามหมื่นกว่าก้อน
นางทางหนึ่งคำนวณ อีกทางหนึ่งเดินไปห้องชั้นบน เตะพั่งจื่อที่นอนพุงยื่นอยู่บนเตียงลงมา จากนั้นก็นอนยิ้มกริ่ม
เช้าวันที่สอง จินเฟยเหยาไม่สนใจเรื่องอื่น พุ่งตรงไปยังด้านหลังของมดหนึ่งผลึกแล้วคุ้ยศิลาวิญญาณออกมาก้อนหนึ่ง เห็นศิลาวิญญาณในมือกับมดหนึ่งผลึกที่กินไม่หยุด นางก็หัวเราะเสียงดังออกมา หัวเราะจนตัวงอ หัวเราะจนน้ำตาเล็ด
นางปาดน้ำตาไปพลาง เอ่ยยิ้มๆ ไปพลาง “เจ้าโง่เหล่านี้ มิน่าเล่ามดหนึ่งผลึกที่พวกเขาเลี้ยงจึงถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณไม่ได้ ที่แท้มดหนึ่งผลึกต้องกินอุจจาระของกบผานอวิ๋นจึงจะถ่ายออกมาเป็นศิลาวิญญาณ กินกบผานอวิ๋นทั้งตัวย่อมถ่ายออกมาไม่ได้อะไร ข้าจะรวยแล้ว จะรวยยกใหญ่แล้ว”
ในปากของพั่งจื่อเคี้ยวอะไรบางอย่าง กระโดดออกมาจากในเรือน มองจินเฟยเหยาที่หัวเราะเสียงดังราวกับเป็นบ้า มุมปากกระตุกเหมือนเหยียดหยาม จากนั้นก็ร้องออกมา “อ๊บๆ”
เพิ่งสิ้นเสียงอ๊บ ศิลาวิญญาณในมือจินเฟยเหยาก็ลอยมากระแทกบนกรามล่างของมันอย่างแม่นยำ