คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 51 โศกนาฏกรรมของหอเล็กสองชั้น
“อ๊บ…” พั่งจื่อนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ในเรือน ร่างถูกจินเฟยเหยาต่อยจนฟกช้ำดำเขียว บนพื้นด้านหน้าปากมีศิลาวิญญาณก้อนหนึ่ง ดวงตาโตเต็มไปด้วยน้ำตา ปากยังส่งเสียงร้องอ๊บอย่างไม่พอใจ
“เจ้าเสแสร้งเป็นน่าสงสารช้าไปแล้ว กล้าด่าข้าว่าโง่เขลา รนหาที่ตาย” จินเฟยเหยายืนอยู่หน้าประตูห้องหลอมยา ชูกำปั้นใส่พั่งจื่อด้วยใบหน้าบวมฟกช้ำ
เสียงดัง “ปัง” นางปิดประตูศิลาของห้องหลอมยาอย่างแรง โยนพั่งจื่อไว้ด้านนอกให้อยู่เป็นเพื่อนมดหนึ่งผลึก
เห็นจินเฟยเหยาปิดประตู พั่งจื่อนอนอยู่ครู่หนึ่ง จึงตะกายลุกจากพื้น กระอักเลือดออกมาอย่างกล้าหาญ ลากสังขารอันอวบอ้วนกระโดดเข้าไปในห้องฝึกบำเพ็ญ ครู่หนึ่งก็ลากถุงผ้าของกินใบหนึ่งออกมา เข้าไปนั่งเป็นรูปปั้นหินในเรือนแอบกินอาหาร
“เจ้าพั่งจื่อ ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ” จินเฟยเหยาลูบคลำใบหน้าแล้วแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวด ต่อให้หนังหนากว่านี้ก็ทนรับการโจมตีแบบนี้ไม่ได้ ดูแล้วสภาพไม่ได้ดีไปกว่าพั่งจื่อเท่าไหร่
พอนางมองเข้าไปในไฟพิภพ อ่างมายาจิ่งเทียนถูกไฟนรกเผาจนเป็นสีฟ้าจัด บางครั้งยังมีสีแดงเพลิงสายหนึ่งวาบผ่าน ต้องเป็นสีแดงจัดมิใช่หรือ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าจัดได้อย่างไร หรือเพราะไฟนรกแรงเกินไป? เห็นอ่างมายาจิ่งเทียนในไฟพิภพ จินเฟยเหยาก็ลูบศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
จินเฟยเหยาไม่เคยหลอมอาวุธมาก่อน ขนาดหลอมยาเพราะวัสดุมีราคาแพงจึงล้มเลิกกลางคันไปนานแล้ว นางที่ไม่เข้าใจอะไรเลยกลับกล้าอาศัยความรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ มากระทำการสะเปะสะปะ ไม่กลัวว่าจะทำ ‘พื้นที่มิติ’ เสียหายเลยสักนิด คิดว่าสีแดงจัดกับสีฟ้าจัดก็เหมือนๆ กัน ล้วนถูกเผาจนร้อนจัดทั้งคู่ จินเฟยเหยานำอุจจาระของพั่งจื่อที่เป็นภูเขาครึ่งลูกย่อมๆ เทใส่เข้าไปทั้งหมดอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง เห็นทรายสีดำสนิทในไฟพิภพ เพิ่งเข้าไปในไฟไม่นาน กลิ่นเหม็นขุมหนึ่งก็พุ่งเข้ามาปะทะหน้า เหม็นจนจินเฟยเหยาต้องปิดจมูกร้องตะโกน “พั่งจื่อที่น่าตาย ของสิ่งนี้พอเผาแล้วเหม็นยิ่งนัก ข้ายังนึกว่าเหมือนทรายจริงๆ ที่แท้ก็ซ่อนไว้ด้านใน”
ของสิ่งนี้เผาไหม้อย่างรวดเร็ว สามชั่วยามต่อมาก็เผาจนกลายเป็นของเหลวสีดำขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ไหลไปมานอกอ่างที่ถูกไฟนรกห่อหุ้ม
จินเฟยเหยารีบนำกระดาษสีเหลืองออกมา พบว่าด้านบนเขียนไว้แค่ทั้งสองสิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ได้เขียนไว้ว่าหลอมรวมอย่างไร คิดว่าผสมกันก็น่าจะเป็นหลอมรวมเข้าด้วยกัน นางจึงใช้ไฟนรกห่อหุ้มของเหลวสีดำส่งเข้าไปในอ่าง
เพราะมีความช่วยเหลือของไฟนรก ของเหลวสีดำจึงเข้าไปในอ่างสำเร็จ ฉาบทาสีดำสนิทลงบนอ่าง จากนั้นจินเฟยเหยาก็นั่งรอให้ของเหลวสีดำหลอมละลายเข้าไปในอ่างอยู่ด้านข้าง
การรอคอยครั้งนี้นานถึงสิบกว่าวัน ถึงแม้ของเหลวสีดำจะหลอมละลายเข้าไปในอ่างแล้ว ทว่าอัตราเร็วกลับเชื่องช้าอย่างผิดปกติ พั่งจื่อและจินเฟยเหยาคืนดีกันนานแล้ว หนึ่งคนหนึ่งตัวนั่งอยู่ในห้องหลอมยาอย่างเบื่อหน่าย ถึงบอกว่าสังเกตการณ์ขั้นตอนการหลอมรวมเข้าด้วยกัน ที่จริงแค่กินอาหารและนอนเหมือนศพอยู่ด้านข้างเท่านั้น
ตอนนี้พวกเขากำลังแย่งซาลาเปาเฉวียนเซียนกันอยู่ เป็นซาลาเปาไส้เนื้อที่มีเพียงห้องครัวของสำนักเฉวียนเซียนจึงสามารถทำได้ รสชาติอร่อยจนแม้แต่คนภายนอกยังต้องมาซื้อ ในถังที่วางอยู่เบื้องหน้าพวกเขาสองคนมีซาลาเปาเฉวียนเซียนหลายสิบลูกกองอยู่ ด้านข้างยังมีถังเปล่าที่กินหมดแล้ว
จินเฟยเหยาใช้ทั้งสองมือ มือหนึ่งถือซาลาเปาลูกหนึ่ง ซาลาเปาใบหนึ่งกินสองคำหมด ส่วนพั่งจื่อกลับกินซาลาเปาใบละหนึ่งคำ ทั้งสองคนแย่งชิงซาลาเปาในถังอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอ่างมายาจิ่งเทียนในไฟพิภพแม้แต่น้อย
“ตูม!”
ในห้องหลอมยาเกิดเสียงดังสนั่น จินเฟยเหยาและพั่งจื่อถูกระเบิดคว่ำลงกับพื้น ภายในห้องหลอมยามีปราณวิญญาณเข้มข้น พอเงยหน้าขึ้นมอง ไฟพิภพหยุดลงแล้ว ไฟนรกก็หายไป กลางอากาศมีอ่างมายาจิ่งเทียนสามสีดำแดงฟ้าลอยอยู่กลางอากาศ และที่ประหลาดคือ อ่างมายาจิ่งเทียนซึ่งเดิมทีว่างเปล่า ตอนนี้ด้านในดูเหมือนจะมีทราย
“ปราณวิญญาณอันเข้มข้นยิ่ง สิ่งของในโลกระดับเทพไม่ธรรมดาจริงๆ ให้ข้าหยิบฉวยได้อย่างราคาถูก” จินเฟยเหยาลุกขึ้น ยื่นมือไปรับอ่างมายาจิ่งเทียนอย่างช้าๆ แล้วลูบคลำอย่างยินดี อ่างมายาจิ่งเทียนในยามนี้พกพาปราณวิญญาณอ่อนจาง เปลี่ยนเป็นงดงามและใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนกับสิ่งของผุพังก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีทรายในอ่าง ใช้มือไปลูบกลับลูบไม่เจอแก่นแท้ของสิ่งของ ท่าทางจะเป็นเพียงภาพมายาชนิดหนึ่ง
“พั่งจื่อ พวกเรามาทดลองดูว่าจะสามารถเข้าไปในพื้นที่มิติได้หรือไม่ เจ้าตาโตกว่าข้า ยืนอยู่ด้านหน้าข้า ถึงตอนนั้นจับจ้องให้ดี ถ้าพบอันตรายก็พุ่งขึ้นไปก่อน” จินเฟยเหยาแสยะยิ้มมองพั่งจื่อ เอ่ยแบบซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้
จากนั้น จินเฟยเหยาใช้มือหนึ่งหยิบอ่างมายาจิ่งเทียน อีกมือหนึ่งคว้าขาหน้าของพั่งจื่อแน่น เริ่มถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในอ่างมายาจิ่งเทียน ไม่เกิดอะไรขึ้น เพียงแต่เบื้องหน้าสายตาพร่าเลือน พวกนางก็ปรากตัวขึ้นในสถานที่ใหม่แห่งหนึ่ง
ท้องนภาสว่างเจิดจ้า ไม่มีเมฆและไม่มีดวงอาทิตย์ บางครั้งในท้องนภาสีครามยังปรากฏสีแดงเหมือนดวงอาทิตย์ตกดิน เพียงแต่ยึดครองตำแหน่งเล็กๆ ปรากฏขึ้นครู่หนึ่งก็หายไป
ไม่มีถ้ำเซียนอันใหญ่โตโอ่อ่า และไม่มีหญ้าวิญญาณอายุนับร้อยปีพันปีเต็มไปทั่ว แม้แต่น้ำพุวิญญาณก็ไม่มี ในพื้นที่มิติทั้งหมดมีขนาดหกหมู่ มีเพียงพื้นทรายสีดำผืนใหญ่ และที่ทำให้คนไม่สบายใจคือ ทรายสีดำเหล่านั้นเหมือนกับทรายที่พั่งจื่อถ่ายออกมาเปี๊ยบ จินเฟยเหยามีความรู้สึกเหมือนตกไปในหลุมส้วม
“ตาแก่บ้า ไม่เหมือนกับที่เขาพูดเลยสักนิด” จินเฟยเหยามองพื้นทรายสีดำหกหมู่ สงสัยอยู่บ้างว่าใช่เป็นเพราะตนเองใช้สิ่งของทดแทนหรือไม่ ดังนั้นถ้ำเซียน หญ้าวิญญาณ และน้ำพุวิญญาณเหล่านั้นล้วนถูกอุจจาระของพั่งจื่อกลบฝังไป
พอนึกถึงความเป็นไปได้นี้ จินเฟยเหยาจึงใช้เวทม้วนวายุขุดลงไปในทรายสีดำ ลมหมุนกวาดม้วนทรายสีดำขุดเป็นหลุมลึกทีละหลุมบนพื้น ขุดจนในพื้นที่มิติเป็นหลุมเป็นบ่อมากมาย กลับขุดไม่พบแม้แต่รากหญ้า เห็นพื้นที่มิติมีสภาพน่าอนาถจนแทบทนดูไม่ได้ ความรู้สึกแปลกใหม่ของจินเฟยเหยาก็ผ่านพ้นไป นางลูบจมูก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “ฮึ ไม่มีหญ้าวิญญาณก็ช่างเถอะ ทรายอุจจาระของกบผานอวิ๋นเต็มไปทั่วพื้น เลี้ยงมดหนึ่งผลึกพันตัวก็ไม่มีปัญหา ถ้าทิวทัศน์งดงามเกินไป ข้าอาจจะตัดใจเลี้ยงมดหนึ่งผลึกไม่ลง”
จินเฟยเหยาพาพั่งจื่อออกจากพื้นที่มิติไปโดยไม่อาวรณ์เลยสักนิด เตรียมลงมือเลี้ยงมดหนึ่งผลึก
ยังเหลืออีกสิบกว่าวันจึงจะถึงการประลองชิงยาสร้างฐาน ทว่าหลายวันนี้เริ่มลงชื่อสมัครแล้ว ตามกฎเกณฑ์ของตำหนักลั่วเซียน เพื่อให้จัดการประลองได้สะดวก จึงขอให้บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนต้องลงสมัครล่วงหน้าสามวันเป็นอย่างช้า
จินเฟยเหยาต่อแถวสองชั่วยาม จึงลงสมัคร ณ จุดรับสมัครแห่งหนึ่ง ได้ป้ายไม้ที่เขียนว่าหมายเลขหกพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่ จำนวนคนมากมาย ขนาดป้ายหยกตำหนักลั่วเซียนยังตัดใจนำออกมาไม่ได้ จึงนำไม้มาทำป้ายหมายเลขแทน
ลงชื่อสมัครเสร็จสิ้น นางก็ไปหามดหนึ่งผลึกที่ร้านสัตว์ภูติ พอถามดูจึงรู้ว่า มดหนึ่งผลึกจัดเป็นสัตว์ภูติชายขอบ นอกจากบางครั้งจะมีตัวสองตัวที่ถ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างได้ก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นเลย ความสามารถก็ไม่เท่าไร ปกติไม่มีผู้ใดซื้อ คนที่อยากเลี้ยงต้องไปจับเอง ดังนั้นนานๆ ครั้งร้านสัตว์ภูติจึงมีขาย
ส่วนสถานที่ซึ่งมดหนึ่งผลึกไปมาล้วนอยู่ในพื้นที่เหมืองศิลาวิญญาณ รอบเมืองลั่วเซียนไม่มีพื้นที่เหมืองศิลาวิญญาณ ถ้าไปจับเอง ต้องหาพื้นที่เหมืองศิลาวิญญาณให้พบก่อน ตอนนี้นางไม่มีเวลาว่าง
สามารถซื้อได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น จินเฟยเหยาไปร้านสัตว์ภูติทั้งหมดรอบเมืองลั่วเซียนจึงซื้อมดหนึ่งผลึกได้สามตัว จากนั้นยังซื้อลำไม้ไผ่และแผ่นไม้กลับไปทำเครื่องเรือน
พอกลับถึงบ้าน นางก็หยิบอ่างมายาจิ่งเทียนออกมา พาพั่งจื่อเข้าไป จากนั้นชี้ตรงมุมหนึ่งตามสบาย ให้พั่งจื่อไปจัดการธุระส่วนตัวทางนั้น แล้วโยนมดหนึ่งผลึกสามตัวไว้บนพื้นทราย จากนั้นนางก็ง่วนอยู่บนพื้น
จินเฟยเหยาคิดจะสร้างบ้านเล็กๆ ในพื้นที่มิติ ข้อสำคัญคือไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัย ทว่าใช้เก็บสิ่งของ นางเอาลำไม้ไผ่มาตัดทำเป็นรั้วอย่างง่ายๆ ที่นี่ไม่มีดิน วันหน้าต้องยกกระถางดอกไม้เข้ามาสักหลายกระถาง ปลูกต้นไม้ประดับรั้วหน่อย
ล้อมพื้นที่ครึ่งหมู่เสร็จ นางก็ให้สถานที่ที่เหลือแก่มดหนึ่งผลึก นางหยิบกระดานไม้ขึ้น เริ่มก่อสร้างห้องอย่างเชี่ยวชาญ ทั้งตอกทั้งทุบดังโป๊กเป๊ก นางที่มีเรือนร่างสูงใหญ่กำยำ ใช้เวลาเพียงสองวันก็สร้างหอเล็กๆ สองชั้นเสร็จ
“พั่งจื่อ มานี่เร็ว เจ้าดูสิ บ้านที่ข้าสร้างหลังนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จินเฟยเหยายืนอยู่ในลานเรือนเล็กๆ ที่กั้นด้วยรั้ว มองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองอย่างกระหยิ่มยินดี
พั่งจื่อเบิกดวงตากบกลมกว้าง มองสิ่งที่เรียกว่าหอเล็กสองชั้นเบื้องหน้า รู้สึกสับสนงุนงง
จินเฟยเหยาชี้ไปที่หอเล็กแล้วเอ่ยว่า “เจ้าดูสิ ชั้นหนึ่งมีห้องนั่งเล่น ข้ายังทำชั้นจำนวนมากไว้บนกำแพงโดยเฉพาะ สามารถวางสิ่งของได้มากมาย ด้านนี้มีบันไดสามารถขึ้นชั้นสองได้ ชั้นสองข้ากั้นไว้สองห้อง ห้องใหญ่เป็นของข้า ห้องเล็กเป็นของเจ้า ต่อไปห้ามเจ้าแย่งเตียงข้านอนอีก”
เห็นห้องเล็กๆ ที่ยาวครึ่งจั้งกว้างครึ่งจั้ง พั่งจื่อถอยหลังไปสองก้าวคิดจะมองดูให้ละเอียดขึ้น ในดวงตากบของมัน เบื้องหน้ามีเพียงกองไม้ที่สุมกันเป็นขยะกองหนึ่ง มองไม่เห็นหอเล็กอะไรทั้งสิ้น แผ่นไม้ที่สุมเข้าด้วยกันเอียงโย้เย้ ไม่มีแม้แต่พื้นที่ราบ ที่นี่ไม่มีลม ไม่เช่นนั้นถ้าลมพัดมาต้องพังแน่นอน
พั่งจื่อมองหอเล็กหลังนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า สายตาจับจ้องไปยังสถานที่ซึ่งได้ยินว่าเป็นห้องของตนเอง ไม่ส่งเสียงออกมาสักนิด
“ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่ก็นับว่าข้าทำเอง ข้านี่ร้ายกาจจริงๆ” ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง พั่งจื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เห็นมันเงยหน้าอ้าปากร้องเสียงดังไม่หยุด ดูเหมือนมีโทสะอย่างยิ่ง ทำให้จินเฟยเหยาที่อยู่ด้านข้างตกใจ จากนั้นก็เห็นลิ้นของพั่งจื่อทุบทำลายหอเล็กอย่างวุ่นวายราวกับสายฟ้าแลบ
“ไม่นะ!”
จินเฟยเหยาห้ามไม่ทัน ได้แต่เบิกตามองหอเล็กสองชั้นพังถล่มลงมาเสียงดังสนั่น นางทรุดลงคุกเข่าเบื้องหน้าหอที่พังลงมา คำรามด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “เจ้าทำอะไรน่ะ ต่อให้น่าเกลียดไปหน่อย เจ้าไม่ต้องพังก็ได้ เจ้าตัวดีที่รู้จักแต่กิน ถ้ามีความสามารถเจ้าก็มาสร้างสิ” เห็นจินเฟยเหยานอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางจงเกลียดจงชัง พั่งจื่อดูเหมือนจะรู้สึกสบายใจ ตวัดซี่โครงเนื้อชิ้นหนึ่งจากในถุงผ้าด้านหลังออกมากินอย่างอารมณ์ดี
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะต้องตัดถุงผ้าใบนั้นของเจ้าให้ได้เลย” จินเฟยเหยาถลึงตาใส่มันอย่างชิงชัง เค้นคำพูดนี้ลอดไรฟันออกมา
หอเล็กถูกพังลงมา แผ่นไม้กองอยู่ในรั้ว จินเฟยเหยาถูกโจมตีครั้งนี้ก็ไม่คิดจะสร้างบ้านเองอีก บ้านที่แม้แต่กบยังดูแคลน เห็นได้ชัดว่าห่วยแตกขนาดไหน เอาแผ่นไม้ใส่กระเป๋าเก็บของ จินเฟยเหยาก็นำพั่งจื่อที่น่าชังเดินเข้าไปร้านช่างไม้แห่งหนึ่งในเมืองลั่วเซียน
หลังจากอธิบายให้เจ้าของร้านฟังอยู่นาน นางก็ได้พิมพ์เขียวที่น่าพอใจแผ่นหนึ่ง จ่ายค่ามัดจำ ร้านช่างไม้ก็เริ่มงานในเรือนของตนเอง ช่วยลูกค้าประหลาดคนนี้สร้างหอเล็กๆ หลังหนึ่ง ไม่เคยเห็นข้อเรียกร้องเช่นนี้มาก่อน สร้างบ้านที่ไม่ได้สร้างบนฐานพื้นดิน กลับขอให้หลังจากสร้างเสร็จแล้วต่อไปสามารถเคลื่อนย้ายได้
เพื่อให้สะดวกในการใช้กระเป๋าเก็บของเคลื่อนย้าย ทั้งยังขอให้ห้องต้องสามารถถอดออกและประกอบเข้าด้วยกันใหม่ได้ ถึงจะรู้ว่าชิ้นส่วนบ้านจะสามารถบรรจุในกระเป๋าเก็บของได้ ทว่าหากไม่มีฐาน พอแตะนิดหนึ่งบ้านนี้ก็พังลงมาแล้ว
ทว่าพวกเขาไม่กล้าล่วงเกินผู้บำเพ็ญเซียน ผู้อื่นจ่ายศิลาวิญญาณ เพียงทำตามที่บอกก็ใช้ได้แล้ว จะไปสนใจทำไมว่าเขาใช้ทำอะไร