คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 6 อยู่ที่ทะเลสาบหมิงเป็นระยะเวลาสั้นๆ
ข้ามภูเขาลูกนี้ไปก็สามารถไปถึงสถานที่ที่ขื่อทะเลสาบหมิง ที่นั่นมีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เพราะมีทิวทัศน์งดงาม ถึงจะอยู่ห่างจากเมืองสักหน่อย พอถึงฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วงก็มีหลายครอบครัวมาพักร้อนพายเรือชมดอกบัวที่นี่
รอบทะเลสาบหมิงมีคนสร้างบ้านและโรงเตี๊ยมประปรายกลายเป็นตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลักๆ แล้วทำการค้าเพียงสองฤดู ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ ฤดูหนาวก็ขุดรากบัว ฤดูใบไม้ผลิก็เลี้ยงปลา ใช้ชีวิตอย่างมีรสชาติ
จินเฟยเหยาใช้เวลาหนึ่งวันจึงปีนข้ามภูเขาลูกนี้ได้ เดิมทีนางใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถเดินทางถึงยอดเขา สาเหตุนั้นง่ายดายยิ่ง เพราะมือของนางถูกผ้าพันไว้หลายชั้น พอไปลากกิ่งไม้หรือยกหินก็เห็นนางเจ็บจนต้องสูดลมหายใจ
“ข้าเลินเล่อเกินไปจริงๆ ไม่น่ายื่นมือเข้าไปโดยตรงเลย” จินเฟยเหยานั่งลงพักผ่อนอย่างห่อเหี่ยวบนหินเขียวขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง พอเห็นสองมือของตนเองก็ถอนหายใจ
คืนวันนั้นนางนึกว่าตนเองเข้าสู่ขั้นฝึกปราณแล้วจึงบังอาจยื่นมือเข้าไปในไฟนรก คิดจะหลอมกลั่นไฟนรก คาดไม่ถึงว่านางยังไม่บรรลุขั้นฝึกปราณ พอยื่นมือเข้าไปในไฟนรกโดยไม่มีการป้องกันก็ถูกไฟเผาจนได้รับบาดเจ็บ
ถึงแม้จะถูกเผาไม่สาหัสนัก ทว่าเพราะไม่มียารักษาอาการบาดเจ็บภายนอก จึงได้แต่พันผ้าปิดไว้ลวกๆ เส้นทางบนภูเขาเดินทางยากลำบาก นอกจากต้องใช้มีดตัดฟืนเบิกทางแล้ว สถานที่มากมายยังต้องใช้สองมือพยุงและฉุดดึงจึงสามารถปีนขึ้นไปได้ ต่อมามือทั้งสองก็เริ่มมีตุ่มน้ำขึ้นจนกลายเป็นหนอง สภาพบาดแผลยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที เจ็บจนนางสลบไปหลายรอบ
นางไม่มีทางเลือก หลังจากตรวจสอบแผนที่ที่ซื้อมา จินเฟยเหยาคิดจะหาเมืองใกล้ๆ ซื้อยารักษาแผลไฟไหม้ก่อน แล้วหาม้าตัวหนึ่งมาขี่แทนการเดิน ถ้ายังเดินในป่าต่อไป มือทั้งสองข้างอาจจะเน่า
ส่วนสถานที่ที่อยู่ใกล้นางที่สุดในแผนที่ก็คือเมืองเล็กๆ ที่ชื่อทะเลสาบหมิง จินเฟยเหยาเข้าไปในเมืองอย่างยากเย็น กลับพบว่าตอนนี้เป็นฤดูพักร้อน โรงเตี๊ยมใหญ่น้อยมีคนพักเต็มหมด ขนาดห้องราคาถูกห้องหนึ่งก็หาไม่ได้
บ้านเดี่ยวที่มีประตูเดียวและลานเรือนเดียวกลับยังมีอยู่บ้าง เพียงแต่นางจ่ายไม่ไหว อีกอย่างหนึ่งต่อให้นางมีเงินจำนวนนี้ก็ไม่โง่งมไปเช่าบ้านเดี่ยวที่อยู่ได้ยี่สิบสามสิบคนให้ตนเองอยู่คนเดียวหรอก
แต่ยังมีห้องใหญ่นอนได้หลายคนสำหรับให้คนรับใช้อยู่ ทว่านางยังต้องฝึกปรือ จะเบียดอยู่บนเตียงเดียวกันกับคนเจ็ดแปดคนได้อย่างไร
เรื่องสำคัญตอนนี้คือรักษามือสองข้างก่อน จึงไม่ใส่ใจจะหาที่พัก จินเฟยเหยาหาร้านยาเพียงแห่งเดียวในเมืองพบ ท่านหมอชราประจำร้านถือว่ามีฝีมืออยู่บ้าง ฉีกผ้าที่สกปรกจนเละเทะออกหมด ใช้น้ำสมุนไพรล้างมือทั้งสองของนางจนสะอาด แล้วทายาขี้ผึ้งตำรับลับพิเศษที่ทำเอง
พอทายาขี้ผึ้งสีเขียวโปร่งใส มือทั้งสองข้างก็รู้สึกเย็นสบาย ความเจ็บปวดบรรเทาลงไม่น้อย
จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ท่านหมอ ยาขี้ผึ้งของท่านไม่เลวจริงๆ เพิ่งทาลงไปก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”
ท่านหมอชราหน้าตึง สีหน้าจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า มือทั้งสองจึงถูกไฟไหม้จนกลายเป็นแบบนี้ วิธีการรักษาหยาบถึงขีดสุด มือทั้งสองเกือบจะพิการแล้ว”
“แค่เกือบมิใช่หรือ ข้าขาดแคลนยา ได้แต่ทำเช่นนี้ แล้วข้าก็ไม่รู้วิชาแพทย์ด้วย จึงได้ใช้วิธีพันแผลแบบชาวบ้านก่อนอย่างไม่มีทางเลือก” จินเฟยเหยาเอ่ยถึงอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด อย่างไรเสียมือไม่พิการ สามารถรักษาหายได้ก็พอ
ท่านหมอชราทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เอ่ยว่า “ถ้ารักษาไม่ดี จะเหลือรอยแผลเป็น ต่อไปจะหาบ้านสามีได้อย่างไร”
“บ้านสามี…” จินเฟยเหยาจนคำพูดไปชั่วขณะ ถึงแม้ทะเลสาบหมิงในเดือนนี้จะมีคนมากมาย ทว่าโดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดเป็นคนธรรมดา ในสายตาของคนธรรมดา สตรีที่โตป่านนี้แล้วเช่นนางสามารถหาบ้านสามีได้แล้ว
“ท่านหมอ ข้าเป็นขอทาน ไม่มีใครแต่งงานกับข้าหรอก ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไม่เป็นอะไรหรอก ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับความสงสารจากคนอื่นมากยิ่งขึ้น สามารถขอเงินเพิ่มได้หลายเหวิน”[1]
ท่านหมอชราเงยหน้าขึ้นมองจินเฟยเหยา เสื้อผ้าบนตัวทั้งสกปรกทั้งขาดวิ่น ใบหน้าก็สกปรก ห่อผ้าใบใหญ่ที่วางไว้ด้านข้างตอนเข้าประตูมาก็ขาดเป็นรูมากมาย สามารถมองเห็นผ้าห่มนวมสกปรกที่ห่ออยู่ด้านในจากในรู
เช่นนี้พอพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด ดูเหมือนจะเป็นขอทานคนหนึ่งจริงๆ
หัวใจของท่านหมอชราแขวนค้าง เมื่อครู่ตนเองสนใจแต่บาดแผลที่สาหัส จึงนำยาขี้ผึ้งตำรับลับออกมา วัตถุดิบของเจ้าสิ่งนี้ราคาแพงยิ่ง ครั้งนี้ท่าทางจะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ แล้ว เห็นท่าทางของนางไม่มีเงินจะจ่ายสักเหวิน
พอในใจคิดเช่นนี้ ก็ลงมือหนักขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากมิใช่มีจรรยาบรรณแพทย์คอยค้ำจุนอยู่ คงเตะจินเฟยเหยาออกไปนานแล้ว
พอมือจินเฟยเหยาเจ็บ นางก็รีบเอ่ยว่า “ท่านหมอ เบาหน่อย ข้าไม่ติดค้างค่ายาหรอก” พอคำพูดนี้ออกมา ใบหน้าของท่านหมอชราก็ไม่น่าดู ไม่ใส่ยาอย่างระมัดระวังอีก ถูทาอย่างฉับไว นำผ้าขาวออกมาพันให้จินเฟยเหยา จากนั้นก็ยื่นส่งยาขี้ผึ้งที่เหลือให้นาง แล้วล้างมือนั่งรอให้นางจ่ายเงินอยู่ด้านข้าง
“ทำความสะอาดบาดแผล พันแผล ยังมียาขี้ผึ้งอีกครึ่งกล่อง ทั้งหมดสองตำลึง[2]ห้าเฉียน”[3] ลูกจ้างในร้านที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ด้านข้างมาตลอดตั้งแต่จินเฟยเหยาเข้าประตูมาก็แจ้งราคา นางไม่มีศิลาวิญญาณ ทว่าเงินกลับมีอยู่หลายตำลึง จินเฟยเหยาล้วงในอก หยิบถุงปักเล็กๆ ที่ฝีมือการปักย่ำแย่สุดๆ ออกมา เทเศษเงินหลายก้อนออกมาจากด้านใน คุ้ยเงินสองตำลึงห้าเฉียนให้ลูกจ้างในร้าน แล้วนางก็ยกห่อผ้าขาดๆ เดินออกจากร้านยา
สัมภาระสกปรกนิดหน่อย ทว่ายังไม่ถึงเมืองลั่วเซียน ถ้าโยนทิ้งคงไม่มีสิ่งห่มกาย
จินเฟยเหยาตัดสินใจหาสถานที่พักใกล้ๆ ทะเลสาบหมิง รอจนเข้าสู่ขั้นฝึกปราณ หหลอมกลั่นไฟนรกได้แล้วค่อยไปเมืองลั่วเซียน ไม่เช่นนั้นด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรในตอนนี้ จะสามารถอยู่รอดจนถึงเมืองลั่วเซียนได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา ใช้เงินไปยี่สิบเหวินกินบะหมี่น้ำหลายชามในแผงเล็กๆ นางหิ้วห่อผ้าเริ่มค้นหาสถานที่ที่สามารถอาศัยอยู่ได้ ต้องเงียบสงบ และต้องอยู่คนเดียว เช่นนี้จึงสะดวกในการฝึกปรือ หากไม่ต้องใช้เงินได้จะดีที่สุด
เรื่องที่ดีขนาดนี้ไหนเลยจะถึงรอบของนาง ในเมืองไม่มีสถานที่ที่ดีเช่นนั้นเลยสักนิด นางจึงได้แต่เดินออกจากเมือง หาพื้นที่แถวริมทะเลสาบหมิง น่าเสียดายที่ทะเลสาบหมิงไม่ได้อยู่บนภูเขา หาไม่พบแม้แต่รอยแตกหินสักรอย วัดร้างก็ไม่มีสักหลัง จินเฟยเหยาได้แต่อาศัยอยู่ข้างต้นอ้อแถบหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองไม่ไกลนัก รอบด้านเป็นต้นอ้อที่สูงกว่าคนทั้งหมด สามารถบดบังได้บ้าง อีกทั้งยังลงทะเลสาบหมิงจับปลาได้ น่าจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร
ยังถือว่าดี นางไม่ใช่คุณหนูบอบบางในหอห้อง ลงมีดไม่กี่ครั้งก็ตัดต้นอ้อออกมาได้กองหนึ่ง ใช้เวลาไปครึ่งวัน ก็สร้างกระท่อมหยาบๆ ได้หลังหนึ่ง
กระท่อมสูงกว่าคนเล็กน้อย เพียงพอให้นางฝืนยืนตรงได้พอดี สมมติถ้ามีชายฉกรรจ์คนหนึ่งมาก็ได้แต่ต้องก้มตัวเข้าไป ถึงแม้ทุกอย่างจะสร้างขึ้นจากต้นอ้อ แต่ขอเพียงฝนไม่ตกหนักก็น่าจะไม่เปียกถึงด้านใน
นางวางสิ่งของที่ยุ่งเหยิงในห่อผ้าไว้ภายในกระท่อม แล้วไปยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมมองผ้าห่มขาดที่ปูอยู่ด้านในอย่างประณีต จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในที่สุดก็มีสถานที่พักอาศัย แถมยังไม่ต้องใช้เงินสักนิด อีกทั้งรอบด้านยังมีพลังวิญญาณที่ไม่ถือว่าเข้มข้นเกินไป ให้มือใหม่อย่างนางใช้ก็เพียงพอแล้ว
ที่พักก็มีแล้ว ตอนนี้แค่สงบจิตใจฝึกบำเพ็ญก็พอ
วันเวลาหลังจากนั้น นางสงบใจฝึกวิชาในกระท่อมทุกวัน รอจนมือเกือบจะหายดีแล้ว ตอนพักผ่อนนางจะดำลงในทะเลสาบหมิงไปจับปลาจับกุ้ง อย่างไรเสียก็เป็นคนที่เคยฝึกบำเพ็ญ คนอื่นพายเรือจับปลา นางกลับใช้มือเปล่าจับปลา ทั้งยังจับได้มากมายทุกครั้ง
กินปลาในทะเลสาบจนเบื่อ จินเฟยเหยาอยู่ว่างก็เอาไปขายในเมือง นางไม่สนใจเงินในโลกมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นจึงขายถูกมาก ของที่หิ้วไปครู่เดียวก็ขายหมด ตอนกลับมายังซื้อเนื้อพร้อมทานอย่างเช่นไก่ย่างและไส้กรอกมา กินจนอ้วนท้วนกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
ในกลางดึกวันหนึ่งของสามเดือนต่อมา จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ชักนำพลังวิญญาณในร่างโคจรแบบเสี่ยวโจวเทียน[4]สิบรอบ
ทันใดนั้นนางก็ลืมตา มีแสงวาบผ่านในดวงตา ความรู้สึกแจ่มใสกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
จินเฟยเหยามีสีหน้ายินดี ในที่สุดนางก็ย่างเข้าสู่ขั้นฝึกปราณแล้ว ตรวจสอบร่างกายอีกรอบ พบว่านอกจากการมองเห็นจะดีขึ้น หัวสมองรู้สึกแจ่มใส อื่นๆ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ภายในจุดตันเถียน กลุ่มปราณวิญญาณขนาดเท่าปลายเข็มที่หลอกให้นางเผาตนเองได้รับบาดเจ็บมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองแล้ว กลุ่มพลังปราณเข้มข้นขึ้นไม่น้อย เทียบกับปราณวิญญาณที่เหมือนหมอกควันก่อนหน้านี้ตอนนี้ดูเหมือนน้ำแกงข้นๆ แล้ว จินเฟยเหยารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง รู้แต่แรกน่าจะฉีกเคล็ดพลังวิเศษของลูกพี่ลูกน้องมาสักหลายหน้า จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้ตอนนี้ไม่มีทั้งอาวุธเวทและเวทมนตร์ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
นึกถึงไฟนรกศพมารที่น่าตายขึ้นมาได้ นางก็เกิดความคิดจะหลอมกลั่นขึ้นมาอีก
แต่ว่าความรู้สึกเจ็บปวดที่เสียดแทงใจยังประทับอยู่ในสมองของนางอย่างลึกล้ำ ตอนนี้หวนนึกขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าสองมือเหมือนจะเจ็บปวดอีก
คิดคำนวณอยู่นิดหนึ่ง จินเฟยเหยาพบว่าสภาพของตนเองน่าขัดเขินยิ่ง เพิ่งเข้าสู่ขั้นฝึกปราณ ไม่มีอาวุธเวทสักชิ้น มีเพียงศิลาวิญญาณชั้นล่างสามก้อน ไม่มีเวทมนตร์ ไม่มีที่พึ่งพา ไม่มีสัตว์ปิศาจขั้นต่ำรอบทะเลสาบหมิงที่มีค่าสักตัว ต่อให้มีนางก็ไม่มีความสามารถจะไปฆ่ามัน
สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้วสัตว์ปิศาจที่สามารถฆ่าได้ตอนฝึกร่างกาย นอกจากกินก็ไม่มีประโยชน์อื่นๆ
หากคิดจะอาศัยการฆ่าไก่จิ่นกวนแลกศิลาวิญญาณ ต่อให้ได้ห้าร้อยก็ยังแลกศิลาวิญญาณชั้นล่างได้ไม่ถึงหนึ่งก้อนเลย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่ซอมซ่อที่สุดในแผ่นดินคงจะเป็นนางแล้ว
และถ้าไปเมืองลั่วเซียนโดยตรง ผู้คนที่นั่นซับซ้อนยิ่ง คนเลวก็มีมาก ถ้าไม่มีความสามารถในการป้องกันตัว ผู้บำเพ็ญเซียนหน้าใหม่เช่นนางหากถูกคนบังคับลักพาตัวไปขายให้หอเตาหลอมมนุษย์จะทำเช่นไร จินเฟยเหยานึกถึงหอเตาหลอมมนุษย์ที่เคยได้ยินมาก็รู้สึกว่าตรงไปเมืองลั่วเซียนเลยนั้นอันตรายเกินไป
ก่อนหน้านี้นางเคยได้ยินตอนพวกศิษย์พี่ในสำนักเหิงเจินพุดคุยกันว่า หอเตาหลอมมนุษย์เป็นสิ่งที่มีเฉพาะในเมืองผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนมากล้วนมีสำนักบำเพ็ญเซียนควบคุมอยู่เบื้องหลัง พวกเขาซื้อผู้บำเพ็ญเซียนสตรีมา จากนั้นก็ขังไว้ข้างในให้ผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษหาความสำราญโดยเฉพาะ ขอเพียงท่านจ่ายศิลาวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขั้นสร้างฐานล้วนมีให้ท่านเลือกหา
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีทั้งหมดล้วนถูกหลอกหรือแย่งชิงมาโดยตรง ส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ อย่างไรเสียผู้บำเพ็ญเซียนสตรีล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าในสำนัก ขนาดแบ่งกันในสำนักยังไม่พอ จะให้พวกนางถูกลักพาตัวไปอยู่ในหอเตาหลอมมนุษย์ได้อย่างไร
แต่ว่าก็มีข้อยกเว้น เหมือนบางสำนักที่ถูกกำจัดทิ้ง ศิษย์สตรีที่หนีไม่ทันจะถูกจับตัวไว้ คนที่มีคุณสมบัติดีก็เอาไว้ คนที่มีคุณสมบัติแย่ก็ขายให้หอเตาหลอมมนุษย์ คนหนึ่งมีราคาหลายศิลาวิญญาณ
ต่อให้ตีจินเฟยเหยาให้ตายนางก็ไม่ยอมไปสถานที่เช่นนั้น คิดไปคิดมา ได้แต่หลอมกลั่นไฟนรกศพมาร เห็นรอบด้านไร้ผู้คน นางจึงเข้าไปในกระท่อม พอนำไฟนรกออกมา รอบด้านก็กลายเป็นเย็นเยียบถึงขีดสุด ฉวยโอกาสหลอมกลั่นกลางดึกดีกว่า แต่ว่าก่อนหน้านั้นต้องฝึกเคล็ดวิชาที่จำเป็นให้คุ้นเคยก่อน จะได้ไม่เกิดเรื่องถูกไฟเผาบาดเจ็บอีก
[1] เหวิน คือ เงินเหรียญทองแดง เป็นเงินที่มีค่าน้อยที่สุด
[2] ตำลึง คือ น้ำหนักของเงิน โดย 16 ตำลึงจะนับเป็น 1 ชั่ง (1 ตำลึงมีค่าประมาณ 31.25 กรัม)
[3] เฉียน คือ น้ำหนักของเงิน โดย 10 เฉียนจะนับเป็น 1 ตำลึง (1 เฉียนมีค่าประมาณ 3.125 กรัม)
[4] เสี่ยวโจวเทียน คือ การโคจรพลังปราณในร่างกายไปตามเส้นชีพจรเริ่นและชีพจรตูหนึ่งรอบ