คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 61 ทองคำเต็มไปหมด
เจ้าเยี่ยนหงโยนเหรียญทองในมือขึ้นฟ้า แสงสีทองเปล่งประกายกลางอากาศ สาดส่องลานประลองเป็นตายให้สว่างไสวดุจกลางวัน มีเสียงดังกริ๊งๆ ฝนเงินตกลงมาจากฟ้า เหรียญเงินที่ทำจากทองคำร่วงกระทบพื้นเวที วิบวับจนทำให้คนตาลาย
เขายังสวมชุดเลียนแบบนักพรตที่ทำจากผ้าไหมสีม่วง รัศมีทองม่วงวูบวาบทั้งตัว เข้ากับเหรียญเงินเหล่านั้น ดูเหมือนซั่นไฉถงจื่อ[1] จินเฟยเหยาหลบฝนเงินทั่วฟ้า พุ่งเข้ามาด้านหน้าเจ้าเยี่ยนหง ยกหมัดขึ้นต่อย
ได้ยินเสียงดัง ชุดนักพรตสีม่วงสาดแสงเจิดจ้า ดีดหมัดของจินเฟยเหยาออก ส่วนเจ้าเยี่ยนหงถูกต่อยจนถอยไปหลายก้าว
“ฮ่าๆๆ หมัดขั้นฝึกปราณของเจ้า จะเอาชนะการป้องกันของชุดนักพรตไหมม่วงได้อย่างไร” เจ้าเยี่ยนหงเห็นการป้องกันสำเร็จ ก็หัวเราะฮาๆ เสียงดัง ไม่มีการคุกคามของหมัดหนักๆ บุรุษเรี่ยวแรงสัตว์ป่าด้านตรงข้ามผู้นี้ก็ไม่มีความน่ากลัวใดๆ
เห็นจินเฟยเหยาเพียงแค่มองดูกำปั้น ทั้งยังมองชุดนักพรตไหมม่วงบนร่างเขา จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจ ไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่คาดไว้ เขารู้สึกไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ก้มหน้าลงมองร่าง ก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
บนชุดนักพรตไหมม่วงถึงกับมีแห่งหนึ่งถูกเผาเป็นรูขนาดเท่ากำปั้น เขาคิดอยู่หลายครั้งก็ไม่เข้าใจ รูนี้ถูกเผาขึ้นเมื่อใด ไม่เห็นจินเฟยเหยาปล่อยเวทเปลวเพลิงออกมาเลยสักนิด
ส่วนจินเฟยเหยาก็ไม่รู้ว่า เหรียญสีทองที่มีรูสี่เหลี่ยมทั่วท้องนภาและด้านล่างเหล่านี้มีประโยชน์อะไร นางถึงกับรับไว้สองเหรียญ ทั้งยังแอบใช้ฟันกัด เป็นทองแท้จริงๆ ด้วย
คิดไม่ถึงว่าจะสามารถต่อยชุดนักพรตไหมม่วงให้ขาดได้ เจ้าหมอนี่ทำอะไรกันแน่ ในใจเจ้าเยี่ยนหงรู้สึกหนาวเหน็บ หากให้เขาต่อยอีกหลายหมัด ชุดนักพรตไหมม่วงต้องเสียหายหมดแน่ ถึงตอนนั้นก็ต้องถูกต่อยตายทั้งเป็นเหมือนผู้บำเพ็ญเซียนก่อนหน้านี้ จินเฟยเหยาเก็บเหรียญเงินสองเหรียญลงในกระเป๋าเก็บของ ใช้นิ้วกดจนมีเสียงดัง เหยียบกองเหรียญที่ท่วมสูงเกินเข่า แย้มยิ้มชั่วร้ายแล้วพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยนหง
เจ้าเยี่ยนหงถอยหลังไปหลายก้าว มือทำมุทราร่ายเวท ปากท่องคาถาอย่างเร่งร้อน แสงสีทองในฝ่ามือกระพริบ เหรียญบนพื้นขยับเสียงดังรวมตัวกันเป็นยักษ์ทองคำสูงสามจั้งกว่าตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว ยกมือขัดขวางหมัดที่จินเฟยเหยาโจมตีมา
แสงหลากสีกระพริบวูบวาบ เงินบินว่อน หมัดของจินเฟยเหยาต่อยทะลุฝ่ามือของมันเป็นรูใหญ่หนึ่งจั้งครึ่ง ต่อยจนเหรียญร่วงหล่นเต็มพื้น เหรียญกลิ้งบนพื้นหลายตลบ แล้วลอยกลับมาที่ฝ่ามือยักษ์อุดรูโหว่จนเต็มอีกครั้ง
เจ้าเยี่ยนหงกระโดดขึ้นบนไหล่ยักษ์ มองจินเฟยเหยาด้วยท่วงท่าสูงส่งและดูแคลน ใช้นิ้วชี้นางแล้วร่ำร้องด้วยใบหน้าดุร้าย “ทุบตีหนักๆ ต่อยมันให้เละ”
ยักษ์ยืดแขนสองข้างทำการสยบด้วยกำลัง ตลอดร่างห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณสีทอง ก้าวยาวๆ เข้าหาจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาพุ่งขึ้นรับอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักนิด ใช้ความได้เปรียบด้านรูปร่างหลบหลีกการจู่โจมของยักษ์ทองคำแล้วต่อยไปที่เท้าหลายหมัด ขาข้างหนึ่งของยักษ์ก็ถูกต่อยหัก ขาอีกข้างหนึ่งถูกจินเฟยเหยาเตะจน ร่างเอียงกระแทกพื้น
เหรียญสีทองแสบตากระจายทั่วพื้น น่าเสียดายที่ยักษ์แตกไปแค่ครึ่งเดียว เหรียญก็บินกลับมาซ่อมแซมยักษ์ให้เหมือนเดิมอีกครั้ง ดูแล้วถ้าไม่โจมตีตัวเจ้าเยี่ยนหง โจมตีแต่ยักษ์ทองคำไปก็ไม่มีประโยชน์ ทว่าเจ้าเยี่ยนหงหลบอยู่บนร่างยักษ์จนต่อยเขาไม่ได้
“ตูม” เวทเปลวอัคคีบดขยี้ลงมาจากกลางอากาศ เจ้าเยี่ยนหงยืนอยู่เบื้องบนอย่างไร้ยางอาย ปล่อยเวทมนตร์โจมตีจินเฟยเหยาด้วยท่าทางสาแก่ใจ
“สารเลว เจ้าคนต่ำช้า” พอจินเฟยเหยาสะบัดมือ แสงสีทองสายหนึ่งก็ยิงใส่เจ้าเยี่ยนหง เจ้าเยี่ยนหงยื่นมือไปคว้าแสงสีทองสายนี้ พอมองดูอย่างละเอียดที่แท้เป็นเหรียญทองคำสองเหรียญ “เจ้าโง่หรือเปล่า คิดไม่ถึงว่าจะใช้สิ่งของของข้ามาลอบโจมตี”
เพิ่งสิ้นเสียง เจ้าเยี่ยนหงก็รู้สึกว่าก้นเจ็บปวด ราวกับถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทง
เขาสีหน้าเปลี่ยนแปลงรีบลูบคลำก้น กลับคลำไม่พบอะไร ไม่มั่นใจว่าถูกซ้อนแผนหรือไม่ เขาอับอายจนกลายเป็นโทสะ ใช้มือเดียวกดบนหัวยักษ์ พลังวิญญาณไหลทะลักเข้าไปอย่าบ้าคลั่ง
“พายุเหรียญทอง” เขาตะโกนเสียงดัง เหรียญบนร่างยักษ์แยกตัวออกมาส่วนหนึ่ง หมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่กลางอากาศ เหรียญที่ดูเหมือนธรรมดาเหล่านี้ หลังจากมีการหมุนวนของปราณวิญญาณก็กลายเป็นเครื่องจักรสังหารทั่วท้องนภาบินเข้าใส่จินเฟยเหยาอย่างบ้าคลั่ง
มีเหรียญหนึ่งกรีดผ่านข้างกายจินเฟยเหยาอย่างฉับไว ด้วยความเร็วในการหมุนและปราณวิญญาณที่บรรจุ พริบตาก็กรีดร่างจินเฟยเหยาเป็นแผล เหรียญทองซัดมาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้ คิดจะเชือดเฉือนนางให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฟองแสงนรก” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว รู้ว่าตนเองใช้หมัดเอาชนะไม่ได้อีก ต้องใช้เวทมนตร์แทน
สองมือโบกเบาๆ ฟองไฟนรกที่แฝงพลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือนาง ความเคลื่อนไหวของนางในยามนี้อ่อนโยน งดงาม สะบัดฟองปราณสีฟ้าจำนวนมากบนเวทีราวกับกำลังร่ายรำ ถึงแม้ความเคลื่อนไหวของนางจะงดงาม ทว่าเมื่อประกอบเข้ากับใบหน้าผู้ชายและร่างกายกำยำ ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนหอชมการประลองเกิดความรู้สึกขยะแขยง ต้องถ่มปิ่งเป็นตายออกมา
ทุกคนมีเพียงความปรารถนาเดียว เจ้าเยี่ยนหงจะจู่โจมสังหารเจ้าวิปริตน่าขยะแขยงคนนี้ได้หรือไม่ ใกล้จะทำให้ผู้คนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ
ภายใต้แสงสีทองของยักษ์ทองคำและหินแสงราตรี ฟองแสงนรกอันน้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วเวทีเปลี่ยนเป็นมีสีสันในจินตนาการทำให้รู้สึกว่างดงามเป็นพิเศษ
ในใจผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนมีเพียงความคิดเดียว ถ้าคนที่ใช้เวทมนตร์เป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่เรือนร่างมีเสน่ห์ จะสมบูรณ์แบบสักเพียงใด เหตุใดต้องเป็นบุรุษแบบนี้ด้วย ต้องเป็นต้วนซิ่ว[2]แน่นอน ไม่เช่นนั้นจะมีบุรุษที่ไหนฝึกเวทมนตร์ที่อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนี้
ตอนนี้จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร ตั้งอกตั้งใจควบคุมฟองแสงนรกจำนวนนับพัน ของสิ่งนี้ไม่ใช่แค่โยนออกมาก็พอ ต้องใช้การรับรู้และพลังวิญญาณควบคุมอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองฝ่ายใช้พลังหมดไปมหาศาล
ส่วนเจ้าเยี่ยนหงก็ใช้เหรียญเงินเหล่านี้โจมตีอย่างยากลำบาก สิ้นเปลืองพลังวิญญาณและการรับรู้เช่นกัน ภายใต้การควบคุมของเขาเหรียญทองหลีกเลี่ยงการโจมตีของฟองแสงนรกเข้าโจมตีจินเฟยเหยาราวกับมีชีวิต หากถูกนางหลบเลี่ยงได้เหรียญทองก็จะไม่ปักลงบนเวทีทว่าเปลี่ยนทิศทางไล่จู่โจมจินเฟยเหยาใหม่
ในขณะที่เห็นได้ชัดว่าเจ้าเยี่ยนหงเป็นฝ่ายได้เปรียบ ฟองแสงนรกก็เริ่มเคลื่อนเข้าหาเป้าหมาย ส่วนหนึ่งไปสกัดทิศทางการเคลื่อนไหวของเหรียญล่วงหน้า ส่วนที่เหลือลอยไปหาร่างยักษ์ทองคำทั้งหมด เหรียญเงินบางอันพุ่งเข้ามาในฟองแสงนรกทันที มีเสียงฟองแตกดังมาเบาๆ เหรียญเงินถูกห่อหุ้มไว้ในฟองแสงนรก พริบตาก็ถูกไฟนรกในฟองเผาจนไม่เหลือเศษซาก
ส่วนฟองแสงนรกหลังจากเผาเหรียญแล้ว ไฟนรกด้านในก็หายไป เหลือเพียงฟองแสงนรกอันงดงามลอยไปลอยมากลางอากาศดังเดิม ค้นหาเป้าหมายถัดไป
เหรียญทองคำกำลังเสียหาย ส่วนฟองแสงนรกยังมีปริมาณเท่าเดิม ร่างยักษ์ทองคำของเจ้าเยี่ยนหงกำลังถูกฟองแสงนรกกลืนกิน สภาพการณ์ซับซ้อนสับสน ราวกับรอว่าผู้ใดจะใช้พลังวิญญาณและการรับรู้หมดเกลี้ยงก่อน ผู้นั้นก็จะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
บนเวทีมีแสงหลากสีและแสงสีทองสาดส่องอย่างต่อเนื่อง การกลืนกินและถูกกลืนกินปรากฏขึ้นไม่หยุดหย่อน เจ้าเยี่ยนหงมองความสามารถของฟองปราณสีฟ้าเหล่านั้นอย่างตกตะลึง ตระหนักว่าพลังวิญญาณของตนเองกำลังแห้งเหือดไปอย่างรวดเร็ว ภายนอกร่างกายจินเฟยเหยายังปกคลุมด้วยฟองแสงนรกที่ใหญ่กว่าซึ่ง เหรียญทองคำไม่สามารถโจมตีฝ่าฟองแสงนี้ได้ ศีรษะของเขาเริ่มเจ็บปวดเพราะการรับรู้ไหลหายไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าเยี่ยนหงคลำหายาเสริมพลังเม็ดหนึ่งโยนเข้าปากมุมปากยิ้มขมขื่น รู้แต่แรกเขาจะนำยาเสริมพลังชั้นสูงกว่านี้มา อาศัยกำลังทรัพย์ของตนเองสามารถกินยาวิญญาณอย่างล้างผลาญได้
มองจินเฟยเหยาที่ไม่ได้เสริมยาวิญญาณและมีสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง เขาจึงหยิบยาเสริมพลังอีกเม็ดหนึ่งออกมาค่อยๆ ใส่ปากราวกับยั่วโทสะแล้วมองจินเฟยเหยาด้วยหางตาอย่างดูแคลน คิดจะทำให้จิตใจนางหวั่นไหวและดิ้นรนด้วยความขมขื่น
ทว่าเขากลับเห็นจินเฟยเหยายิ้มชั่วร้ายขึ้นอย่างกะทันหัน ดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
เจ้าเยี่ยนหงจิตใจลนลานอยู่บ้าง นึกถึงความเจ็บปวดที่ก้นเมื่อครู่ขึ้นได้ จึงรีบแบ่งการรับรู้ไปตรวจสอบภายในร่างกาย พอตรวจดูอย่างไม่จริงจัง ก็ทำให้เขาตกใจจนหน้าเขียวคล้ำทันที พลังวิญญาณรั่วไหล การรับรู้สับสน เหรียญทองคำเริ่มควบคุมไม่ได้บินสับสนวุ่นวาย บางอันยังโจมตีบนร่างยักษ์ทองคำด้วยซ้ำ
“เจ้าถึงกับกล้าสังหารข้าจริงๆ?” เจ้าเยี่ยนหงมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ จ้องมองจินเฟยเหยาที่ยิ้มอย่างเจิดจรัสอย่างหวาดกลัว ริมฝีปากสั่นสะท้านพูดออกมาอย่างยากลำบาก
พอคำพูดนี้ออกมา ก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ หนามแหลมสีเทายาวประมาณสามฉื่ออันหนึ่งชอนไชออกมาจากอกซ้าย ทะลุร่างของเขาทันที เจ้าเยี่ยนหงก้มหน้าดูทรวงอก ร่วงลงมาจากร่างยักษ์ทองคำกระแทกลงบนพื้นเวที
จิตวิญญาณดั้งเดิมสีเหลืองดวงหนึ่งหนีออกมาจากในร่างเขา คิดจะหนีออกไปด้านนอกอย่างเลอะเลือน แทรกเข้าไปในฟองแสงนรกฟองหนึ่งที่ผ่านมาพอดี เสียงดังชี่ๆ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเยี่ยนหงก็ถูกไฟนรกในฟองแสงนรกเผาจนสิ้น
เห็นฉากนี้ จินเฟยเหยาก็เอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “นี่เจ้าเข้ามาใกล้เองนะ ข้าไม่ได้จงใจเผาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า”
ขณะที่เจ้าเยี่ยนหงถูกแทงทะลุหัวใจ ยักษ์ทองคำและเหรียญทองทั่วท้องนภาก็หยุดนิ่ง ตอนนี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกเผาจนหมดสิ้น เหรียญทองคำเหล่านี้จึงสูญเสียการควบคุม ทั้งหมดร่วงลงบนเวที ส่วนยักษ์ทองคำก็แตกกระจายเกลื่อนเวทีราวกับคลื่นทองคำ
เห็นเจ้าเยี่ยนหงตายแล้ว ในคันฉ่องจันทราวารีก็ปรากฏผลสรุปทันที จินเฟยเหยาที่ใช้ชื่อปลอมได้รับชัยชนะ
บนหอชมการประลองมีบางคนยินดีและมีบางคนเศร้าใจ คนที่แพ้ก็ด่าทอเจ้าเยี่ยนหงอย่างสาดเสียเทเสีย แม้แต่ตระกูลเจ้าก็ยังลากลงน้ำด้วย คำพูดระคายหูต่างๆ นานา ปลิวว่อนไปทั่วลานประลองเป็นตาย
คนตระกูลเจ้าที่กำลังนั่งอยู่ในหอแขกผู้มีเกียรติด้านหน้า เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเยี่ยนหงถูกทำลาย ก็เดือดดาลอย่างที่สุด บรรดาผู้อาวุโส ยังสงบนิ่งชั่วคราวเพราะศักดิ์ฐานะ ทว่าบรรดาผู้เยาว์รุ่นหลังต่างตบโต๊ะด่าทออย่างโกรธแค้นไปนานแล้ว “คิดไม่ถึงว่าจะกล้าสังหารคนตระกูลเจ้า รำคาญในการมีชีวิตแล้วสินะ ไม่รู้เสียบ้างว่าพวกเราเป็นใคร”
“ท่านอา พวกเราไปหาเขาเถอะ ฟาดเขาให้ตายคาลานประลองเป็นตายเลย แก้แค้นให้พี่น้องของพวกเรา”
ผู้อาวุโสตระกูลเจ้ายังคิดจะพูดอะไรเพื่อทำให้โทสะของผู้เยาว์สงบลง ให้พวกเขาอย่าได้หุนหัน กลับเห็นจินเฟยเหยาบนเวที นำกระเป๋าเก็บของออกมา เริ่มกวาดกองเหรียญทองบนเวที เพราะเหรียญทองมีมากมายเกินไป นางยังใช้เวทม้วนวายุด้วย ท่าทางเหมือนจะนำเหรียญทองคำบนเวทีไปทั้งหมด
“รังแกกันเกินไปแล้ว ลงไปสับเจ้าเด็กนี่เป็นหมื่นชิ้นเดี๋ยวนี้” ผู้อาวุโสตระกูลเจ้าผู้นี้ตบโต๊ะอย่างหนักหน่วงแล้วลุกขึ้นยืน โต๊ะน้ำชาสลักลวดลายที่อยู่ด้านข้างแตกละเอียดร่วงลงพื้นในพริบตา
[1] ซั่นไฉถงจื่อ หรือ สุธนกุมาร ตอนเขาเกิดมาก็มีทรัพย์สมบัติผุดขึ้นมามากมาย ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า ซั่นไฉ แปลว่า โชคดี
[2] ต้วนซิ่ว หมายถึง ชายรักร่วมเพศ