คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 69 เรื่องตลกร้ายของชายหญิง
ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังทอดถอนใจว่าชีวิตคนเราช่างไม่เที่ยง ป้ายเข้าประลองเป็นตายที่ศิษย์ทำธุระให้มาก็สว่างวาบขึ้น นางหยิบออกมาดู คิดไม่ถึงว่าจะดูแลนางเป็นพิเศษไม่ต้องเป็นฝ่ายร้องขอก็ช่วยนางจัดการเรื่องการประลองเสร็จสรรพ
“ไม่จริงน่า หลี่เอ้อร์เกินเพิ่งตายก็ถึงรอบข้าลงประลอง” จินเฟยเหยาพึมพำอย่างไม่พอใจ ยัดป้ายเข้าประลองเป็นตายใส่ลงในกระเป๋าเก็บของ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ เหตุใดสำนักเฉวียนเซียนจึงฉุดลากคนในสำนักไปต่อแถวเข้าลานประลองเป็นตาย หรือคิดว่าคนที่กินอยู่เปล่าๆ มีมากเกินไปดังนั้นจึงฆ่าคนที่กินเยอะ?
จินเฟยเหยานึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ หลี่เอ้อร์เกินกินเยอะเกินไป อีกทั้งยังเป็นฝ่ายขอลงประลองเอง ตนเองไม่ได้ขอลงประลองสักนิด กลับจัดให้ลงประลองทันที ต้องเป็นเพราะวันหนึ่งตนเองกินเท่าคนสิบกว่าคนกิน
วันที่สอง จินเฟยเหยากินข้าวหลายถังอย่างดุร้ายเตรียมทำให้สำนักเฉวียนเซียนมีโทสะตาย กินจนหนังท้องตึง จึงมาถึงลานประลองเป็นตาย นางเดินเข้าไปในหอน้อยจากด้านข้างดังเดิม ผู้รับใช้ที่งดงามด้านในพานางไปนั่งข้างหน้าต่าง แล้วส่งอาหารนานาชนิดให้อย่างว่องไว นางได้แต่นั่งมองถนนด้านนอกลานประลองเป็นตายอยู่ในหอน้อย บางทีคงเกรงว่าบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนจะเห็นฉากนองเลือดดังนั้นจึงจงใจจัดการเช่นนี้
“นี่ เจ้าคือจินเฟยสินะ ตระกูลเจ้าเสนอเงินรางวัลก้อนใหญ่ให้กับคนที่ล่าสังหารเจ้าได้” ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังมองถนนอย่างเหม่อลอย ผู้บำเพ็ญเซียนแบกกระบี่คนหนึ่งก็เดินมาถึงเบื้องหน้านาง ปราณสังหารขุมหนึ่งแผ่ซ่านออกมา
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นี้ ไอสังหารอันเข้มข้นยิ่ง ท่าทางคนที่ตายใต้เงื้อมมือของเขาคงมีไม่น้อย ดังนั้นจึงเอ่ยถาม “ข้ารู้จักเจ้าหรือ?”
เสียงดังเคร้ง กระบี่ยาวที่ผู้บำเพ็ญเซียนแบกไว้ด้านหลังพลันบินออกมา ปักลงหน้าโต๊ะจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาเลิกคิ้ว “ผู้ฝึกกระบี่?”
“ข้าคิดจะเตือนเจ้า คนที่อยากได้เงินค่าหัวของเจ้ามีมากมาย เหตุใดเจ้าต้องลำบากมาเข้าร่วมการประลองเป็นตายด้วย มิสู้ไปนอกเมืองกับข้ามอบชีวิตมาอย่างรวบรัดจะได้ไม่ต้องถูกจับเป็นไปมอบให้ตระกูลเจ้า ถึงตอนนั้นมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย สำนึกเสียใจก็สายเกิน” ผู้บำเพ็ญเซียนแบกกระบี่มีสีหน้ากระหยิ่มเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
จินเฟยเหยาตอบอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด “ขอบคุณสหายเซียนที่ห่วงใย เจตนาดีของเจ้าข้ามิอาจรับไว้ได้ ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปี จริงสิ กระบี่ของเจ้าขัดขวางการกินอาหารของข้า ช่วยเอาออกไปหน่อย”
นางยื่นมือไปจิ้มโต๊ะ ฟองอากาศสีฟ้าขนาดเท่าลูกเหอเถา[1]ฟองหนึ่งปรากฏขึ้นบนโต๊ะ ลอยอยู่บนโต๊ะเบาๆ พริบตามันก็ลอยไปถึงข้างกระบี่และสัมผัสคมกระบี่อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ลอยกลับมาที่มือของจินเฟยเหยา แลเห็นตรงที่กระบี่ยาวเล่มนั้นถูกฟองแสงนรกสัมผัสคิดไม่ถึงว่าจะเป็นรูโบ๋
ผู้บำเพ็ญเซียนแบกกระบี่มองกระบี่ยาวของตนเองอย่างตะลึงงันพลันตะโกนอย่างเดือดดาล “กระบี่วิญญาณของข้า เจ้าถึงกับทำลายกระบี่วิญญาณของข้า”
“ไสหัวไป ถ้ายังไม่ไปรายต่อไปก็คือเจ้า” จินเฟยเหยาเล่นฟองแสงนรกในมือเอ่ยยิ้มๆ อย่างอารมณ์ดี
ผู้บำเพ็ญเซียนแบกกระบี่มองฟองแสงนรกที่ลอยไปลอยมาในมือจินเฟยเหยา มีหน้าซีดเผือด ดึงกระบี่เวทบนโต๊ะชี้จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเดือดดาล “ฝากไว้ก่อน ถ้าเจอข้าในลานประลองเป็นตาย ข้าจะทำให้เจ้ามาได้กลับไม่ได้” เอ่ยคำพูดอันดุร้ายจบเขาก็เก็บกระบี่ยาว หมุนตัวด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เดินส่ายอาดๆ จากไป
“บ้าหรือเปล่า” จินเฟยเหยาส่ายศีรษะอย่างจนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนพวกนี้จริงๆ ส่วนฟองแสงนรกที่เรียกออกมา กระเด้งกระดอนอยู่บนศีรษะของนางราวกับสนุกสนานอย่างยิ่ง
“ท่านเซียน ได้เวลาแล้ว เชิญท่านเซียนขึ้นเวที” ผู้รับใช้คนหนึ่งเดินมาเชิญจินเฟยเหยาขึ้นเวทีด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า”
จินเฟยเหยายืนอยู่บนเวที หูได้ยินเสียงตะโกนว่าฆ่าราวกับคลื่นสาดซัด ไม่ได้มาไม่กี่วันบรรยากาศของที่นี่กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว คนที่ลงเดิมพันเห็นการเข่นฆ่าและการนองเลือดจนเคยชิน ถ้าแค่อัดให้สลบแต่ไม่ฆ่าให้ตาย เช่นนั้นเสียงร่ำร้องด่าทอทั่วลานประลองสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนเวทีจมน้ำลายตายได้
เบื้องหน้าจินเฟยเหยามีผู้บำเพ็ญเซียนเลือดท่วมตัวนอนอยู่ ส่วนหลังขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงเพราะหายใจลำบาก บนพื้นมีเศษซากอาวุธจำนวนไม่น้อยกระจายเกลื่อน ท่าทางเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมา
จินเฟยเหยามองดูผู้บำเพ็ญเซียนที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายบนพื้นคนนี้แล้วไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งไม่เท่าไร เหตุใดจึงอยากต่อสู้กับนางโดยเฉพาะ หรือว่าเพื่อเงินรางวัลของตระกูลเจ้าและศิลาวิญญาณกึ่งหนึ่งของเงินลงเดิมพัน ต่อให้มีศิลาวิญญาณมากมายก็ต้องมีชีวิตถึงจะได้ใช้ ไม่ใช่เสี่ยงชีวิตแล้วจะสู้ชนะได้
นึกถึงตอนเขาเพิ่งลงสนามยังตะโกนเสียงดังใส่ตนเองงอนิ้วนับจำนวนคนที่เคยฆ่าให้จินเฟยเหยาฟัง ขนาดผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงินตะโกนว่าเริ่มได้แล้วเขายังแนะนำคนที่เคยฆ่าอย่างน่ารำคาญ
จินเฟยเหยาดูแล้วขัดนัยน์ตา หรือหวังว่านางจะเกรงกลัวเป็นฝ่ายยอมแพ้เองจากนั้นติดตามเขาไปรับความตายที่ตระกูลเจ้า
ดังนั้นจินเฟยเหยาจึงพุ่งเข้าใส่ ประเคนหมัดชกใส่อกและศีรษะของเขาหนึ่งยกทำให้เขานอนอยู่บนพื้นได้อย่างสบายๆ อาวุธเวทที่ร่วงหล่นก็ถูกจินเฟยเหยาใช้สองเท้าที่พกพาแสงสีฟ้าเหยียบแตกเป็นเสี่ยงๆ
ยามนี้เสียงตะโกนว่าฆ่าทั่วลานประลองดังจนหูแทบหนวก ทำให้คนที่ได้ยินมีอารมณ์เดือดพล่าน จินเฟยเหยาก้าวเท้าเดินไปหาเขาอย่างหนักแน่น ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ดิ้นรนลุกขึ้นยืนตามเสียงก้าวเดินเข้าไปใกล้
จินเฟยเหยากำหมัดคิดจะโจมตีเขาเป็นครั้งสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าเขาจะลุกขึ้นแล้วคุกเข่าดังตุ้บเอ่ยวิงวอนขอร้อง “ข้าแพ้แล้ว เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ”
“เจ้ามีความกล้าหน่อยได้หรือไม่ มาอ้อนวอนทำไม จอมพลังวัชระไร้เทียมทานรีบกำจัดเขา ในลานประลองเป็นตายไม่มีบุรุษที่อ้อนวอนขอให้ละเว้นชีวิต”
ฆ่า พวกเราอยากเห็นเลือด อยากเห็นการฆ่า”
“ฆ่าเขาเสียๆๆ”
การวิงวอนของเขาทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนหอชมการประลองไม่พอใจ คนจำนวนมากยืดกายโผล่มาครึ่งท่อน ตะโกนด่าทออย่างสุดกำลัง จินเฟยเหยายืนสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่บนเวที ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างสูงใหญ่ยิ่งมายิ่งแรงกล้า
“ปล่อยข้าไปเถอะ ต่อไปข้าจะไม่มาแล้ว ขอร้องล่ะ” บุรุษผู้นั้นวิงวอนอย่างสุดชีวิต ท่าทางน่าสงสารอย่างยิ่ง
จินเฟยเหยาต่อสู้ตัดสินเป็นตาย ตอนแรกเริ่มเจ้าหมอนี่ยังคุยโวอย่างไม่ละอายจะทุบตีให้ถึงตายจึงหยุด เรื่องที่คนขี้ขลาดทำเช่นยอมแพ้หรือขอร้องเขาจะไม่ทำเด็ดขาด ตอนนี้กลับตรงกันข้ามเขาเริ่มวิงวอนขอร้อง จินเฟยเหยายืนอยู่อย่างลำบากใจ คนแบบนี้ฆ่าไปก็ไม่สนุก
“เจ้าเศษสวะ ตอนอยู่ที่หอเซียนงามเจ้าบอกว่าจะช่วยซื้อชุดเส่าเสียอีให้ข้า ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เจ้าคนไร้ประโยชน์ต่อไปไม่ต้องมาหาข้าอีกนะ ข้ารู้สึกขายหน้า” บนหอน้อยข้างเวที มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสวมชุดสวยหยาดเยิ้มนางหนึ่งชี้ผู้บำเพ็ญเซียนบนเวทีอย่างหยิ่งผยองด่าทอเป็นชุด
ด่าจบก็ขยี้เท้าเอ่ยอย่างจงเกลียดจงชัง “เหตุใดเจ้าต้องยอมแพ้ด้วย ถ้าเจ้าตายเสียทรัพย์สมบัติในตัวของเจ้ายังตกเป็นของข้าได้ ตอนนี้พอเจ้ายอมแพ้ชุดเส่าเสียอีของข้าก็หมดกัน แม้แต่มรดกก็ไม่ได้ ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าหลายเดือนเปล่าๆ นะ”
บุรุษที่ตอนแรกคุกเข่าขอร้องอยู่บนพื้น หลังจากได้ยินสตรีของหอเซียนงามก่นด่าพลันลุกพรวดจากพื้นพุ่งไปยังด้านล่างเวที ฝีเท้าหนักแน่นราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บก้าวพรวดๆ เข้ามาในหอน้อยที่อยู่ด้านข้าง
จากนั้นเขาก็ตบหน้าสตรีผู้นั้นหลายฉาดด้วยความเร็วราวกับประกายไฟ ตบพลางเอ่ยด่าทอ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าสาปแช่งให้ข้าตาย? ถ้ามิใช่เพราะถูกเจ้าเป่าหูทั้งวันข้าจะมาเสี่ยงอันตรายที่นี่หรือ? ตอนนี้อยากให้ข้าตายเร็วๆ และปรารถนาสิ่งของของข้าอีก ข้าจะตบเจ้าให้ตาย”
ฉากนี้ทำให้ทุกคนจ้องมองอ้าปากค้าง นี่กำลังทำอะไรอยู่ ในขณะนี้เองผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ถูกตบก็ได้สติคืนมา ถึงผู้อื่นจะทำงานอยู่ในหอเซียนงามก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียร ดังนั้นจึงไม่ยอมแสดงความอ่อนด้อยพลิกมือตบกลับไป
ทั้งสองคนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าจะทั้งกัดทั้งเตะเหมือนมนุษย์ธรรมดา ต่อสู้กันจนกลิ้งตกลงมาจากหอน้อยแล้วมาสู้กันต่อบนสนามหญ้าด้านล่างเวที
จินเฟยเหยามองผู้บำเพ็ญเซียนที่ใกล้จะสิ้นใจเมื่อครู่อย่างหมดวาจา ตอนนี้อยู่บนสนามหญ้าอย่างฮึกเหิมต่อสู้กับสาวงามจากหอเซียนงามอย่างสนิทชิดเชื้อ นางคิดนิดหนึ่งแล้วมองผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงินที่รับหน้าที่ตัดสิน ผู้บำเพ็ญเซียนสวมหมวกสีเงินเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จินเฟย จอมพลังวัชระไร้เทียมทาน ชนะ”
หลังจากยืนยันว่าจินเฟยเหยาชนะ เขาก็กวักมือเรียกด้านล่างเวที มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณกลุ่มหนึ่งพุ่งมา ทุบตีคนทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอย่างรุนแรง หลังจากทุบตีคนทั้งสองจนลงไปกองกับพื้นจึงลากพวกเขาออกไป เรื่องหลังจากนี้รอจนลากไปถึงสถานที่ที่ไม่มีคนค่อยจัดการ
ถึงแม้จะงุนงงกับบทสรุปเช่นนี้อยู่บ้างทว่าจินเฟยเหยาก็ยังยินดียิ่ง ถึงแม้จะไม่ได้สิ่งของของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น ทว่าเงินลงเดิมพันทั้งหมดมีจำนวนถึงห้าหมื่นสามพันกว่าศิลาวิญญาณ จินเฟยเหยาได้มาสองหมื่นหกพันกว่าก้อน บวกกับศิลาวิญญาณสองพันก้อนที่ลงเดิมพันข้างตนเอง การเก็บเกี่ยวครั้งนี้นับว่าไม่เลว
เหตุใดการประลองเป็นตายต้องใช้วิธีควักกระเป๋าจ่ายศิลาวิญญาณให้กับผู้บำเพ็ญเซียนที่ต่อสู้ จินเฟยเหยาไม่สนใจจะยุ่งเกี่ยว อย่างไรเสียสิ่งที่พวกเขามีคือศิลาวิญญาณ ขอเพียงตนเองได้ศิลาวิญญาณ แก้ปัญหาภารกิจบังคับของสำนักเฉวียนเซียนและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เป็นสามเรื่องมงคลมาถึงประตูบ้าน[2]จริงๆ
จินเฟยเหยาหยิบกระเป๋าเก็บของที่บรรจุศิลาวิญญาณไว้จากมือผู้รับใช้ทันที แล้วคว้าศิลาวิญญาณกำมือหนึ่งให้ผู้รับใช้อย่างใจกว้างถือเป็นรางวัลที่รับใช้นาง จากนั้นแวะไปร้านสัตว์ภูติในเมืองลั่วเซียนรอบหนึ่ง
เดิมทีคิดจะ ผูกสัมพันธ์กับสาวน้อยตู้สุ่ยหลันที่ในตระกูลมีทรัพยากรมหาศาลสามารถช่วยหามดหนึ่งผลึกให้ตนเองได้ คิดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนั้นกลับเป็นคนประหลาด สุดท้ายแผนการล่ม นางตามหาในเมืองลั่วเซียนอีกรอบหนึ่ง ยังหามดหนึ่งผลึกไม่พบสักตัว
จินเฟยเหยากลับถึงเรือนอย่างผิดหวัง พอเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนพบว่ามดหนึ่งผลึกสี่ตัวยังไม่ออกมากินอาหาร จินเฟยเหยาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง นี่มันเรื่องอะไรกันหรือว่าตายแล้ว หลังใช้การรับรู้ตรวจสอบภายใต้ทรายสีดำ กลับทำให้นางตกตะลึงไม่เบา
มดหนึ่งผลึกตัวหนึ่งมีท่าทางแปลกประหลาด ท้องขยายใหญ่ขึ้น ยาวถึงห้าฉื่อเต็มๆ ตลอดร่างหนักอึ้งนอนอยู่ในถ้ำที่สร้างขึ้นจากทรายสีดำ ส่วนมดหนึ่งผลึกอีกสามตัวกำลังขนย้ายทรายสีดำอย่างสุดกำลังคิดจะขยายพื้นที่ถ้ำ
“นี่คงมิใช่มดราชินีหรอกนะ? วิวัฒนาการเองหรือเดิมทีเป็นมดราชินีตัวหนึ่ง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ผอมมาก หรือกินอยู่ที่นี่จนอ้วนขึ้น?” จินเฟยเหยาใช้การรับรู้กวาดมองไปมาบนร่างมดหนึ่งผลึกตัวที่สงสัยว่าเป็นมดราชินีไม่หยุด ไม่แน่ใจว่ามันเป็นมดราชินี
ถ้ามดหนึ่งผลึกตัวนี้เป็นมดราชินี เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องตามหามดหนึ่งผลึกไปทั่วอีกต่อไป ขอเพียงมดราชินีเริ่มให้กำเนิดอยากได้มดหนึ่งผลึกเท่าใดก็มีให้เท่านั้น ถึงตอนนั้นเลี้ยงหนึ่งพันตัว หนึ่งหมื่นตัว แต่ละวันก็จะผลิตศิลาวิญญาณราวกับฝนตก จะหลอมยาสร้างอาวุธอะไรอยากใช้จ่ายเท่าไรก็ไม่มีปัญหา
จินเฟยเหยานึกถึงว่าต่อไปทรายสีดำหกหมู่จะกลายเป็นศิลาวิญญาณหกหมู่ นั่นต้องมีศิลาวิญญาณจำนวนเท่าใดกัน เกรงว่าในโลกหนานซานคงไม่มีใครร่ำรวยกว่านางแล้ว จะไม่หัวเราะได้หรือ
[1] เหอเถา คือ วอลนัต
[2] สามเรื่องมงคลมาถึงประตูบ้าน หมายถึง มีเรื่องดีๆ เข้ามาพร้อมกัน