คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 70 กบส่งเสียงเอะอะไปทั่วเรือน
จินเฟยเหยาผ่านวันเวลาไปได้ด้วยดี เพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ ยังมีอารมณ์กังวลและตึงเครียดในใจ ตอนรอไปลานประลองเป็นตายนางก็เริ่มเตรียมตัวปิดด่านกักตนแล้ว
มดหนึ่งผลึกตัวนั้นในอ่างมายาจิ่งเทียนเป็นมดราชินีจริงๆ ตอนนี้เริ่มออกไข่อย่างต่อเนื่อง มดหนึ่งผลึกสามตัวที่เหลือแต่ละวันยุ่งแทบตาย ขนย้ายไข่มดและดูแลมดราชินีไม่ได้หยุดหย่อนไม่เห็นถ่ายศิลาวิญญาณ
ถึงแม้มดราชินีจะนอนอยู่บนทรายสีดำ ทว่าไม่ให้มันกินรังของตนเอง ดังนั้นมดหนึ่งผลึกทั้งสามตัวนอกจากดูแลไข่มดยังต้องขนย้ายทรายสีดำมาป้อนมันด้วย จินเฟยเหยาทนดูมันกินทรายน้อยนิดไม่ได้ อีกทั้งภายในถ้ำยังมีมดหนึ่งผลึกจำนวนมากที่ยังไม่เกิดมาจึงซื้อน้ำผึ้งจำนวนไม่น้อยสาดตรงปากถ้ำมด
สาดพลางพูดไปเรื่อยเปื่อย “พวกเจ้าต้องกินเยอะๆ หน่อย กินจนอวบอ้วนจะได้ฟักมดหนึ่งผลึกออกมา ให้ข้าเงินทองไหลมาเทมาร่ำรวยกว่าทุกคนในโลกหนานซาน”
มีน้ำผึ้งแล้ว มดหนึ่งผลึกก็ไม่กินทรายสีดำขนย้ายน้ำผึ้งเข้าไปในถ้ำอย่างมีความสุข จินเฟยเหยามองแล้วรู้สึกว่าปกติตนเองใช่ไร้มนุษยธรรมเกินไปหรือไม่ ไม่เคยให้พวกมันมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นับจากนี้ไป ไม่กี่วันนางก็จะโยนน้ำผึ้งหรือเศษเนื้อไปนิดหน่อย เพิ่มมื้อพิเศษให้พวกมัน
นอกจากสงสารมดหนึ่งผลึกแล้วก็เพื่อให้พวกมันสุขภาพดี ไม่เช่นนั้นได้ยินว่ามดหนึ่งผลึกจะอยู่รอดไม่ได้
ใช้การรับรู้ตรวจสอบถ้ำมดดู จินเฟยเหยานับจำนวนพบว่ามดราชินีสามารถให้กำเนิดไข่มดที่มีขนาดเท่าไข่ไก่วันละห้าฟอง ตอนนี้ในถ้ำมดเต็มไปด้วยไข่มดนับร้อยใบทำให้มดหนึ่งผลึกสามตัวเหน็ดเหนื่อยแทบตาย ไข่มดที่ให้กำเนิดออกมาชุดแรกสุด เริ่มปรากฏให้เห็นรางๆ สามารถมองทะลุเปลือกอันโปร่งใสเห็นตัวอ่อนสีขาวด้านในได้ คาดว่าผ่านไปไม่กี่วัน กองทัพมดหนึ่งผลึกจะเพิ่มจำนวนขึ้นหลายเท่า
จินเฟยเหยาปล่อยให้มดหนึ่งผลึกเติบโตเอง นางเริ่มวางแผนจัดตารางเวลาให้ดี แต่ละวันใช้เวลาสามชั่วยามสร้างยันต์ เสียเวลาเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนหนึ่งชั่วยาม จากนั้นใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดฝึกบำเพ็ญ
จินเฟยเหยานั่งนิ่งอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญ เริ่มจัดวางอุปกรณ์สร้างยันต์ เตรียมวาดยันต์ ฝึกฝีมือครั้งแรกนางเริ่มจากยันต์ถ่ายทอดเสียง ของสิ่งนี้ใช้ในปริมาณมาก วัสดุมีราคาถูกอีกทั้งรูปแบบก็เรียบง่าย เป็นยันต์เบื้องต้นที่มือใหม่ต้องวาด
มือซ้ายของนางหยิบกระดาษยันต์หยาบๆ ขึ้น มือขวายกพู่กันเทพประทับจุ่มหมึกยันต์ ค่อยๆ ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในพู่กัน เปรียบเทียบกับวิธีวาดยันต์ที่ซื้อมาแล้ววาดลงบนกระดาษยันต์หยาบๆ อย่างตั้งใจ
จินเฟยเหยาจดจ่อเกินไป ขนาดขีดหยาบละเอียดในแบบยันต์ก็ลอกเลียนแบบอย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะมีอะไรไม่เหมือน เพราะคิดจะวาดยันต์ให้เหมือนเปี๊ยบเกินไปดังนั้นจึงหยุดกลางคันหลายครั้ง แล้วจุ่มหมึกยันต์วาดเติมเข้าไป กระดาษยันต์หยาบๆ ใบหนึ่งก็ถูกนางวาดจนเละเทะ อนาถเกินจะทนดูได้
รอจนจินเฟยเหยาวาดลวดลายเสร็จสิ้น ยันต์ไม่ได้ส่องแสงกระพริบอย่างที่คาดไว้ เห็นได้ชัดว่าวาดสำเร็จ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นขยะใบหนึ่ง ขนาดพลังวิญญาณก็ถ่ายเทไม่สำเร็จ ล้มเหลวถึงขีดสุด
นางคิดเตรียมไว้แต่แรก โยนยันต์ขยะใบนี้ทิ้งไปแล้วหยิบกระดาษยันต์หยาบๆ ใบใหม่ขึ้นมา จุ่มหมึกยันต์แล้ววาดอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหมึกยันต์สีน้ำตาลผสมกับผงแร่อะไร วาดลวดลายแต่ละเส้นลงบนกระดาษยันต์หยาบๆ
เสียงดัง “ตูม” พลันมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งส่งออกมาจากกระดาษยันต์ ทำให้ใบหน้าจินเฟยเหยาดำมิดหมี ครั้งนี้ถ่ายเทพลังวิญญาณสำเร็จ เพียงแต่ยันต์รับพลังวิญญาณไม่ไหว เพิ่งวาดยันต์ไปได้ครึ่งเดียวก็ระเบิดก่อน
จินเฟยเหยาใช้มือปาดเช็ดใบหน้า โยนยันต์ในมือทิ้งอย่างไม่ยินยอม นางไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถวาดยันต์ใบหนึ่งออกมาได้ นางปิดประตูไม่รับแขกจมอยู่ในโลกแห่งยันต์ไม่ถามไถ่เรื่องราวภายนอก
นางไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณของสำนักเฉวียนเซียนแต่ละวันล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัวตามการต่อสู้ตัดสินเป็นตายที่ยิ่งมายิ่งรุนแรงขึ้น ผู้บำเพ็ญเซียนเดนตายที่อาศัยอาชีพนี้หากินโดยเฉพาะ วิธีการยิ่งมายิ่งอำมหิต พวกเขาละทิ้งวิธีการสง่างามไปนานแล้ว ลงมืออย่างรวบรัด การโจมตีแต่ละครั้งล้วนมุ่งเอาชีวิต ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียนที่ไม่ยอมขึ้นเวที ยังไม่ได้ประลองก็ขลาดเขลา ร่วงหล่นราวกับใบไม้ร่วงกลางสายลมสารทไปจำนวนไม่น้อย ทำให้เกิดความอกสั่นขวัญแขวนในสำนักเฉวียนเซียน
ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยความร่าเริงเตรียมเข้าร่วมการประลองเป็นตายหาเงินก้อนใหญ่ก็เริ่มทยอยกันออกจากสำนักเฉวียนเซียน ทว่าเท้าข้างหนึ่งของพวกเขาเพิ่งก้าวออกจากสำนักเฉวียนเซียนขาอีกข้างหนึ่งก็ถูกลานประลองเป็นตายคว้าจับไว้ ถ้าก่อนหน้านี้ลงชื่อแล้วก็ขอให้ชดใช้เงินรางวัลสองเท่าของเงินที่ลงเดิมพัน ไม่เช่นนั้นก็ต้องประลองรอบนี้ให้เสร็จจึงจากไปได้
โดยพื้นฐานแล้วผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดต่างจ่ายเงินก้อนนี้ไม่ไหวสุดท้ายจึงถูกบังคับให้ขึ้นลานประลองเป็นตาย คนที่สามารถจากไปอย่างปลอดภัยมีจำนวนน้อยนิดแม้แต่คนของเรือนสี่สิบสี่ก็ลดจำนวนลงมาก คนที่แอบหนีไปก็มีจำนวนไม่น้อย ตอนนี้จึงเงียบเหงาว่างเปล่า
เรื่องเหล่านี้จินเฟยเหยาไม่รู้แน่ชัด นางกำลังขังตนเองอยู่ในวังวนของการวาดยันต์ไม่ยอมเลิกรา ไม่เคยเห็นคนที่ห่วยขนาดนี้มาก่อน วาดยันต์ได้หนึ่งใบล้มเหลวหนึ่งใบ แม้แต่ยันต์ถ่ายทอดเสียงเบื้องต้นก็ไม่มีปัญญาวาดออกมาได้ เพราะเหตุนี้นางจึงมีโทสะอยู่หลายครั้ง โยนความผิดทั้งหมดลงบนร่างกายที่หยาบหนาและนิ้วมือไม่เล็กละเอียดพอ
เวลาในแต่ละวันผ่านไปเช่นนี้ สุดท้ายจินเฟยเหยาจึงมีความก้าวหน้าในด้านยันต์บ้าง ยันต์หนึ่งร้อยใบมีความสำเร็จประมาณสิบใบ ถ้าเทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่เคยฝึกวาดยันต์ ความสำเร็จของนางนั้นถึงกับต้องขายกางเกงเอาเงินมาชดใช้เลยทีเดียว อัตราความสำเร็จที่น้อยนิดจนน่าสงสารนี้นางต้องใช้ศิลาวิญญาณไปหลายหมื่นก้อนจึงทำออกมาได้
“ฝึกสร้างยันต์เป็นเรื่องที่ทำให้ตระกูลล่มจมจริงๆ ไม่รู้ว่าหลอมยาและหลอมสร้างอาวุธจะใช้เงินมากกว่านี้หรือไม่” จินเฟยเหยามองดูยันต์ที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ในมือ ทอดถอนใจอย่างยิ่ง ตนเองไม่มีพรสวรรค์ในการสร้างยันต์จริงๆ
นางเข้าร่วมการประลองเป็นตายทั้งหมดสามรอบ เพราะคนที่เจาะจงอยากสู้กับนางมีมากมายเกินไป ดังนั้นจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ละปีขอเพียงประกาศล่วงหน้าว่าจะมีการต่อสู้ของนาง ก็จะมีคนนับไม่ถ้วนลงเดิมพันข้างนางอย่างบ้าคลั่ง ชื่อเสียงของจอมพลังวัชระไร้เทียมทานเป็นคนดังที่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงเล่นในการประลองเป็นตายจำได้อย่างขึ้นใจนานแล้ว
จินเฟยเหยาได้รับความนิยมเช่นนี้ หลักๆ เป็นเพราะคนที่ต่อสู้กับนางทั้งหมดเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่ดุดันอำมหิตซึ่งชนะการประลองมาหลายสิบรอบ ดังนั้นนอกจากละครตลกฉากนั้นในปีแรก สองครั้งต่อมานางล้วนใช้วิชาที่คาดไม่ถึงทำให้คนที่ลงเดิมพันต้องชดใช้อย่างรวดเร็ว
ถึงแม้จินเฟยเหยาจะหาเงินได้มหาศาล ทว่าก็ชนะได้อย่างยากเย็น ครั้งที่สามพบกับคนที่ตึงมืออย่างยิ่ง หากพั่งจื่อไม่ได้เลื่อนขั้นหลายวันก่อนการต่อสู้พอดีนางจะชนะได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา
หลังจากพั่งจื่อเลื่อนขั้นร่างกายก็โตขึ้นสองเท่าเต็มๆ ตอนนี้ถ้าใช้ร่างกายขนาดปกติปรากฏตัวมันจะสูงกว่าจินเฟยเหยาหนึ่งเท่า ตอนมองมันจินเฟยเหยายังต้องเงยหน้า ต่อมาจึงรู้ว่ามันยังสามารถหดตัวเล็กลงได้ดังเดิม เพียงเพื่อล้อนางเล่น มันจึงจงใจยืนอยู่ในสวนดุจทวารบาลทุกวัน
เทียบกับเมื่อก่อน ร่างของมันดูเหมือนศีรษะอันล้านเลี่ยนสีเขียวบนตัวหลุดไปไม่น้อย ตอนนี้มองอย่างไรก็เหมือนกบขี้เรื้อนตัวหนึ่ง ทำให้จินเฟยเหยาคาดเดาอยู่ตลอดว่าต่อไปพั่งจื่อจะกลายเป็นสีขาวหิมะหรือไม่
ลายเมฆบนหน้าอกของพั่งจื่อก็มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ถ้ายังโตด้วยอัตราเร็วเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าคงเลื่อนขั้นจนมีขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ และความคิดแรกในสมองจินเฟยเหยาคือกบผานอวิ๋นที่ตัวใหญ่โตแบบนี้กินเก่งมาก ต่อไปตนเองจะเลี้ยงอย่างไรไหว
เพราะใช้ศิลาวิญญาณและยาอย่างเต็มกำลังดังนั้นพลังการบำเพ็ญเพียรของจินเฟยเหยาจึงเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว ท่าทางผู้ฝึกบำเพ็ญไม่มีการแบ่งแยกคุณสมบัติอะไรหรอก ก็แค่แบ่งว่ามีศิลาวิญญาณมากหรือน้อยเท่านั้น
“อ๊บๆ”
“อ๊บ…”
“อ๊บๆๆ”
ยามนี้จินเฟยเหยากำลังพยายามวาดยันต์ซ่อนกายอยู่ในห้องฝึกบำเพ็ญ รอบกายมียันต์ขยะกระจายญ็ ญฐ็ญเกลื่อนพื้น ส่วนข้างหูมีเสียงร้องของกบดังไม่หยุด ร้องจนนางจิตใจสับสนว้าวุ่น พู่กันในมือสั่นน้อยๆ ควันสีเขียวส่งออกมาจากยันต์ กระดาษยันต์หนังสัตว์ดีๆ ใบหนึ่งก็หมดกัน
ยันต์ซ่อนกายระดับสี่ไม่อาจใช้กระดาษยันต์หยาบๆ ชั้นต่ำสุดได้ นางจึงเปลี่ยนเป็นกระดาษยันต์ที่ทำจากหนังสัตว์นานแล้ว ราคาสูงกว่ากระดาษยันต์หยาบๆ หลายเท่าตัว จินเฟยเหยาโยนยันต์ขยะในมือทิ้งแล้วหอบหายใจด้วยความเดือดดาล ลุกขึ้นพุ่งไปด่าทอใส่ด้านนอกตรงประตูห้องฝึกบำเพ็ญ “พวกเจ้าสองตัวทำอะไรกัน ถ้าจะรักกันอย่างหวานชื่น ก็ไสหัวไปในอ่างมายาจิ่งเทียนสิ”
“อ๊บ”
กบผานอวิ๋นขนาดยักษ์สองตัวนั่งอยู่ในเรือน ตัวหนึ่งสูงครึ่งตัวคน อีกตัวหนึ่งด้านหลังมีถุงผ้า มีขนาดสูงเกือบเท่าคนสองคน กบผานอวิ๋นตัวเล็กและตัวใหญ่นั่งจ้องตากัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ได้ยินเสียงอ๊บๆ ไม่หยุดหย่อน
กบผานอวิ๋นที่สูงเท่าคนสองคนย่อมต้องเป็นพั่งจื่อที่เลื่อนขั้นเป็นสัตว์ภูติขั้นสอง ส่วนกบผานอวิ๋นอีกตัวที่มีรูปร่างเหมือนมันก่อนหน้านี้เป็นกบตัวเมียที่ไม่มีบ้านให้กลับซึ่งพั่งจื่อเก็บกลับมา
หลังจากจินเฟยเหยาประลองรอบที่สาม ตอนกลับบ้านเดินผ่านสระบัวในเมืองแห่งหนึ่ง พั่งจื่อพบว่ามีงูภูติตัวหนึ่งกำลังจับกบผานอวิ๋นตัวเล็กที่อยู่ในสระบัว พั่งจื่อเห็นพวกเดียวกันจะถูกฆ่า มันจะกอดอกยืนมองอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร จึงใช้ขาหน้าฟาดเบาๆ หนึ่งที ช่วยเหลือกบผานอวิ๋นฝูงหนึ่งจากปากงูภูติได้
มันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ากบฝูงนี้ราวกับกบเทพลงมาจากสวรรค์ พริบตาก็ถูกฝูงกบถือเป็นเทพเจ้า จากจิตวิญญาณที่นับถือผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้ากบผานอวิ๋นฝูงนี้จึงยอมสยบแทบเท้าพั่งจื่อ โดยเฉพาะกบตัวเมียเล็กๆ น่ารักตัวหนึ่ง ตกหลุมรักพั่งจื่ออย่างบ้าคลั่งออกจากบ้านมาตามลำพัง ติดตามจินเฟยเหยามาจนถึงบ้าน
ต่อมาจินเฟยเหยาเลี้ยงดูกบตัวเมียตัวนี้เอาไว้ อย่างไรเสียต่อไปพั่งจื่อก็ต้องหาเมีย กบตัวเมียตัวนี้น่าประทับใจเพียงใด เพื่อชายที่รักถึงกับกระโดดออกตามหา จินเฟยเหยาไม่มีสุนทรียศาสตร์อย่างยิ่ง จึงตั้งชื่อเชยๆ ให้กบตัวเมียว่า ต้านิว[1]
ภายใต้ประสิทธิผลของน้ำแกงยาวิญญาณของจินเฟยเหยา ต้านิวก็เริ่มตัวใหญ่ขึ้นทว่ากลับไม่ได้เลื่อนขั้นเหมือนที่คาดไว้ หลังจากร่างกายเติบโตได้ประมาณหนึ่งก็หยุดเติบโต ส่วนอ่างมายาจิ่งเทียนจินเฟยเหยาก็มอบให้มันไปจัดการ มันสวมผ้ากันเปื้อนบนเอวทั้งวันเหมือนภรรยาวัยกลางคน
หน้าที่ของต้านิวในอ่างมายาจิ่งเทียนคือเก็บศิลาวิญญาณมาวางไว้ในหอน้อยที่สร้างเสร็จแล้ว จากนั้นทุกสามวันก็ให้ต้านิวสาดน้ำผึ้งและเศษเนื้อให้บรรดามดหนึ่งผลึก เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ใช้สมองน้อยๆ ของมันก็เพียงพอ เห็นมันเคลื่อนไหวอยู่บนทรายสีดำอย่างงุ่มง่าม ใช้ขาหน้าหยิบศิลาวิญญาณขึ้นมาทีละก้อนๆ จินเฟยเหยาก็มีความรู้สึกอยากจะกระอักโลหิต
ภายใต้การเร่งเร้าของศิลาวิญญาณและยา จินเฟยเหยาใกล้จะถึงขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอเพียงถึงอย่างสมบูรณ์นางก็จะสามารถทะลวงถึงขั้นสร้างฐานได้ พอถึงขั้นสร้างฐานก็จะถูกสำนักเฉวียนเซียนรับไปอยู่บนเกาะลอยได้ไม่ต้องทำภารกิจบังคับอะไรนี่อีก ชีวิตที่มีความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม
[1] นิว หมายถึง เด็กผู้หญิง