คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย - บทที่ 80 มีสัมพันธ์นอกที่รโหฐาน
พลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายในตัวจินเฟยเหยาใช้ไปกับการเคลื่อนไหวในพริบตาแล้ว ตอนนี้นอกจากกำลังกายนางก็ไม่มีเวทมนตร์ที่ใช้ได้เหลืออยู่ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วถ้านางไม่เสี่ยงชีวิตก็คงไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย
นางแค่คิดจะเสี่ยงชีวิต แต่ก็รู้ว่าสำหรับตนเองที่ไม่มีพลังวิญญาณ แค่ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้ฝ่ามือฟาดเบาๆ ก็ทำให้ตนเองตายได้ ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋กลับไม่ได้หลบหลีกและไม่ได้ตอบโต้ ปล่อยให้จินเฟยเหยาใช้หมัดต่อยเข้าที่ใบหน้า ต่อยโดนแล้ว? จินเฟยเหยาตกตะลึง ฉวยโอกาสนี้ต่อยเขาอย่างแรงหลายหมัดทั้งยังใช้เท้าเตะหมื่นลูกข่างให้ลอยไป
ร่างไป๋เจี่ยนจู๋ร่วงกระแทกพื้น เช็ดเลือดตรงปากแล้วลุกขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง มือของเขาสั่นนิดๆ ใช้พลังวิญญาณจนเกินขนาด ร่างกายว่างเปล่า เทียบกับจินเฟยเหยาแล้วเขายังเหลือพลังวิญญาณอยู่บ้าง ทว่าไม่เพียงพอที่จะใช้เวทมนตร์ระดับสูง แต่เขารู้สึกว่าจะจัดการกับคนที่ไม่มีพลังวิญญาณสักคน พลังวิญญาณเล็กน้อยแค่นี้ก็เพียงพอและง่ายดายเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย
หมื่นป่าไผ่และไฟนรกของจินเฟยเหยายังต่อสู้พัวพันกัน ไป๋เจี่ยนจู๋ใช้มือข้างที่ว่าง หมื่นลูกข่างหดเหลือขนาดเท่านิ้วมือร่วงลงในมือเขา จากนั้นเขาก็กรอกเทพลังวิญญาณที่เหลือไม่มากลงในหมื่นลูกข่างทั้งหมด ปลายหมื่นลูกข่างแบนราบกระบี่ไผ่ที่มีแสงสีเขียวกระพริบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของไป๋เจี่ยนจู๋ ปกติไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญร่างกายมากนัก อย่างไรเสียคนอย่างจินเฟยเหยาก็มีน้อยเกินไป ทว่าวิชากระบี่ของเขากลับไม่เลว เขายกกระบี่หมื่นลูกข่างขึ้นฟัน
“อ๊า!”
จินเฟยเหยาร้องเสียงดังแล้วพุ่งเข้าใช้มือเปล่าต้านรับกระบี่หมื่นลูกข่างของไป๋เจี่ยนจู๋ กระบี่หมื่นลูกข่างอันคมกริบฟันมา นางกล้าใช้หมัดต้านทาน ไม่กลัวถูกฟันเลยสักนิด
ไม่เป็นอะไรมากจริงๆ หมื่นลูกข่างฟันร่างจินเฟยเหยา คิดไม่ถึงว่าจะส่งเสียงชี่ๆ แสบแก้วหูออกมาทิ้งรอยแผลตื้นๆ รอยหนึ่งไว้บนผิวหนังของจินเฟยเหยา
“เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นสตรี? ฟันข้าแบบนี้ จะไม่ทำให้ข้าเสียโฉมหรือ” จินเฟยเหยาต่อสู้พลางร้องคำราม บาดแผลเหล่านี้ถึงจะไม่ลึก สำหรับนางแล้วไม่ค่อยเจ็บปวดเท่าใด แต่ถ้าทั่วร่างถูกฟันจนเหมือนแหจับปลาไม่ว่าใครก็ไม่ยินยอม
ไป๋เจี่ยนจู๋กัดฟันแน่นไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ มิใช่เขาไม่อยากพูดแต่เกรงว่าพออ้าปากจะพ่นโลหิตสดออกมาหลายคำ เขาใช้กระบี่หมื่นลูกข่างฟันจินเฟยเหยานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ากายเนื้อของสตรีผู้นี้จะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ ไม่ใช่คนเลยสักนิด กระบี่หมื่นลูกข่างราวกับทำจากเต้าหู้ทำร้ายนางไม่ได้แม้แต่น้อย
ส่วนตัวเขากลับถูกจินเฟยเหยาต่อยหลายหมัด อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ ในปากมีของเหลวเค็มๆ ไม่มีเจตนาจะพ่นออกมา ถ้าจะให้หมื่นลูกข่างใช้การได้ก็ต้องถ่ายเทพลังปกป้องร่างไปไว้ในกระบี่หมื่นลูกข่าง แต่ถ้าทำเช่นนี้จุดจบอาจจะเป็นยังไม่ได้ฟันจินเฟยเหยาให้ตายเขาคงถูกต่อยตายก่อน
ทั้งสองคนต่อสู้พัวพันกันอยู่นานยังไม่รู้แพ้ชนะ ทว่าหมื่นป่าไผ่และไฟนรกที่กลายร่างเป็นมหาสมุทร ต่อสู้เสมอกันจบลงด้วยการดับสูญไปพร้อมกัน
ยามนี้เสื้อผ้าของคนทั้งสองขาดรุ่งริ่ง จินเฟยเหยามีคราบเลือดทั่วร่างราวกับถูกจับด้วยแหจับปลา ริมฝีปากของไป๋เจี่ยนจู๋บวม เบ้าตาเขียวช้ำ ตรงที่มองไม่เห็นใต้เสื้อผ้ายิ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว
ตอนนี้พวกเขาสองคนล้มลงบนไหล่เขา สู้กันอย่างไม่ยอมแพ้
ไป๋เจี่ยนจู๋นอนอยู่บนพื้น สองมือกุมด้ามกระบี่หมื่นลูกข่างแน่นถ่ายเทพลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายลงในนั้นทั้งหมด แสงสีเขียวของตัวกระบี่เสียดแทงนัยน์ตาฟันลงบนคอของจินเฟยเหยาอย่างช้าๆ พอกระบี่ที่พกพาพลังวิญญาณเต็มเปี่ยมฟันลงไป ต่อให้ผิวหนังของจินเฟยเหยาหนาก็ต้องตายสถานเดียว
ส่วนจินเฟยเหยาที่คร่อมอยู่บนร่างเขาใช้สองมือจับตัวกระบี่ของกระบี่หมื่นลูกข่างแน่นกดคมกระบี่ลงบนคอของไป๋เจี่ยนจู๋อย่างสุดแรง ทั้งสองคนผลักคมกระบี่ไปมาคุมเชิงกันอยู่เช่นนี้
ยามนี้กระบี่หมื่นลูกข่างถูกพลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายของไป๋เจี่ยนจู๋กรอกจนเต็ม กระบี่ไผ่เปลี่ยนเป็นคมกล้าสุดเปรียบปาน เนื่องจากจินเฟยเหยาจับคมกระบี่อยู่ตลอดเวลาดังนั้นคมกระบี่จึงบาดลึกลงบนมือทั้งสองข้างของนาง นางกัดฟันไม่สนใจคมกระบี่ที่เฉือนเข้าเนื้อพยายามกดกระบี่หมื่นลูกข่างลงไปอย่างสุดกำลัง ทว่าโลหิตสดกลับไหลมาตามกระบี่หมื่นลูกข่างหยดลงบนร่างของไป๋เจี่ยนจู๋
“เจ้าอย่าดิ้นรนเลย รับความตายแต่โดยดีเถอะ” จินเฟยเหยากดคมกระบี่ลงด้วยใบหน้าดุร้ายเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมา
ยามนี้ไป๋เจี่ยนจู๋เองก็เส้นโลหิตปูดโปนไม่เข้าใจว่าทำไมเรี่ยวแรงของยายนี่จึงมหาศาลขนาดนี้ เขาผลักคมกระบี่ที่เข้ามาใกล้ตนเองออกไปอีกครั้งอย่างไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ เอ่ยปากเย้ยหยัน “สองมือจะพิการอยู่แล้ว ยังกล้าคุยโวอย่างไม่ละอาย ข้าว่าคนที่รับความตายแต่โดยดีน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า”
“น่าขำ อาศัยกระบี่ไผ่ผุๆ ของเจ้าเล่มนี้คิดจะฟันกระดูกของข้าให้หัก ไปฝึกบำเพ็ญมาอีกห้าร้อยปีเถอะ” จินเฟยเหยากล่าวโจมตีไป๋เจี่ยนจู๋ด้วยน้ำเสียงอหังการ
“พูดจาโอหังก็ต้องเอาชีวิตมาจ่ายเป็นค่าตอบแทน เจ้าคนไร้ยางอาย” ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ถูกคำพูดของนางทำให้จิตใจสับสน ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องยึดมั่นและทุ่มอย่างสุดกำลัง ต้องคงสติไว้
จินเฟยเหยาพลันยิ้มชั่วร้ายอย่างกะทันหัน มองเขาแล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “ข้าไร้ยางอายจริงๆ นั่นแหละ ข้าอยากจะถามวิญญูชนที่แท้จริงของสำนักชิงซวีอย่างเจ้าสักหน่อย เจ้าถูกสตรีคนหนึ่งคร่อมไว้ใต้ร่างกลางวันแสกๆ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
“เจ้า!”
ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้มาตลอด ยามนี้พอจินเฟยเหยาเอ่ยถึงจึงพบว่าท่าทางของตนเองอเนจอนาถอย่างยิ่ง น่าเกลียดจนทนดูไม่ได้ เขามีโทสะจนลืมหายใจ ด่าคำว่าเจ้าออกไปคำเดียวเรี่ยวแรงก็ลดลงนิดหน่อย จินเฟยเหยาฉวยโอกาสยืมแรงกดคมมีดลงบนคอของเขา
“รนหาที่ตาย” ดวงตาของไป๋เจี่ยนจู๋เปล่งประกายดุร้าย ใช้เข่ากระแทกหลังจินเฟยเหยาอย่างแรง กลับรู้สึกเหมือนกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็ก
เขากระแทกแผ่นเหล็กแต่เนื่องจากจินเฟยเหยาไม่มีพลังปกป้องร่างอวัยวะภายในจึงได้รับความกระทบกระเทือน เจ็บจนนางต้องแยกเขี้ยวร้องลั่น นางพลันอ้าปากเผยให้เห็นฟันขาวแน่นขนัดกัดลงไปตรงไหล่ของไป๋เจี่ยนจู๋
“อ๊า! เจ้าเดรัจฉาน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้” ไป๋เจี่ยนจู๋เจ็บจนร้องด่าทอลั่นพลันเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ที่แท้พอสตรีบันดาลโทสะก็สามารถทำได้ทุกเรื่อง
ในขณะนี้เองบนร่างของคนทั้งสองพลันสว่างวาบ แสงสองสายยิงมาจากท้องนภากระทบลงบนร่างพวกเขา เพียงพริบตาบนไหล่เขาว่างเปล่าไร้สิ่งใด ไกลออกไปมีลำแสงแต่ละสายยิงลงมา ถึงเวลาปิดดินแดนลึกลับลั่วเซียนแล้ว
บนแท่นมองฟ้าในเมืองลั่วเซียนมีผู้คนแน่นขนัด ผู้อาวุโสของแต่ละสำนักกำลังรอศิษย์ของตนถูกส่งตัวออกมา ตามธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต ไม่ว่าตอนส่งตัวเข้าไปจะเป็นสถานที่ใดสถานที่ที่ออกมาล้วนเป็นบนแท่นมองฟ้า
มองหินผลึกขนาดยักษ์แปดก้อนนอกดินแดนลึกลับลั่วเซียนส่งเสียงดังวิ้งๆ ทุกคนต่างพร้อมใจกันมองไปบนเวทีว่างเปล่ากลางแท่นมองฟ้า สายตาเต็มไปด้วยความวาดหวัง หญ้าวิญญาณด้านในส่วนมากใช้หลอมยาสร้างฐาน ถ้าเก็บเกี่ยวได้ไม่เลวก็จะสามารถหลอมยาได้หลายเตา
แสงสีขาวสายแรกกระทบลงบนแท่นมองฟ้า มีผู้บำเพ็ญเซียนที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำปรากฏขึ้น เขามองกลุ่มคนรอบด้านแล้วระบายลมหายใจโล่งอก เห็นสำนักของตนเองเบียดอยู่ด้านหลังกลุ่มคนจึงยิ้มโบกมือให้แล้วเดินไปหา ถัดจากเขา ผู้บำเพ็ญเซียนก็ถูกส่งตัวออกมาทีละคน คนที่มีสำนักก็เดินกลับไปท่ามกลางเสียงทักทายของบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้อง จากนั้นก็ไปหาผู้อาวุโสส่งมอบสิ่งของที่ได้มา
หลังส่งตัวออกมามีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจำนวนไม่น้อย ใบหน้าเรียบเฉย ตีหน้าเย็นชาหายตัวไปท่ามกลางฝูงชน ส่วนคนในตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนที่อาศัยอยู่ในเมืองลั่วเซียน หลังออกมาก็มีพี่ป้าน้าอาห้อมล้อมถามสารทุกข์สุกดิบ บนแท่นมองฟ้าเสียงดังเอะอะราวกับตลาดสด
สยงเทียนคุนก็ถูกส่งตัวออกมา เขายืนอยู่บนแท่นมองฟ้ามือถือกระบี่ดอกจวี๋สังหาร กลิ่นอายฆ่าฟันที่สะกดไม่อยู่ลอยคละคลุ้งทั่วแท่นมองฟ้า ตั้งแต่หัวจรดเท้าทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยโลหิตสด คนตาบอดยังมองออกว่าก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวมาต้องสังหารคนในนั้นไปไม่น้อย
ผู้อาวุโสของแต่ละสำนักเห็นท่าทางมารร้ายสังหารคนของเขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เป็นห่วงว่าศิษย์ของตนจะสิ้นชีวิตในดินแดนลึกลับใต้เงื้อมมือคนผู้นี้ สำนักที่เหล่าศิษย์ไม่ออกมายิ่งมองพินิจเขาอย่างเลวร้าย ราวกับแน่ใจว่าศิษย์ของตนเองที่ไม่ถูกส่งตัวออกมาต้องตายใต้เงื้อมมือของเขาแน่นอน
เห็นตนเองยืนอยู่บนแท่นมองฟ้า สยงเทียนคุนก็เก็บกระบี่ดอกจวี๋สังหารกลับเข้าในห้วงการรับรู้ กวาดตามองในฝูงชนรอบหนึ่งไม่พบเห็นเงาร่างของจินเฟยเหยา ยังนึกว่าต่อให้ยายคนนี้ออกมาก็ต้องหลบไปนานแล้วจึงตีสีหน้าเย็นชาเดินไปทางสำนักอวิ๋นซาน
บรรดาศิษย์พี่ของสยงเทียนคุนออกมาเร็วกว่าเขาเพียงแต่จำนวนคนดูเหมือนจะลดลงไปสองคน คนอื่นๆ ก็ได้รับบาดเจ็บ เขาคร้านจะสอบถามว่าผู้ใดสังหารสองคนนั้น ในเมื่อออกมากันหมดแล้วยืนอยู่ที่นี่ไปก็ไร้ความหมายจึงไปจากแท่นมองฟ้าก่อน
หลายสำนักยินดีหลายสำนักเศร้าเสียใจ ส่งเสียงดังเอะอะ ส่วนหอชิงซวีไม่มีผู้อาวุโสมา มีเพียงศิษย์ไม่กี่คนยกมือไพล่หลังรอคอยอย่างสงบนิ่ง ไป๋เจี่ยนจู๋ยังไม่ออกมา
ในขณะนี้เอง ลำแสงสองสายก็กระทบลงบนแท่นพร้อมกัน มีคนสองคนปรากฏขึ้น บนแท่นมองฟ้าซึ่งเดิมทีส่งเสียงเอะอะพลันเงียบลงอย่างกะทันหัน ทุกสายตาพร้อมใจกันจับจ้องมองคนทั้งสอง อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าประหลาดใจโดยเฉพาะบรรดาศิษย์สตรี หลังจากจำคนหนึ่งในนั้นได้ก็มีคนหลุดปากร้องอุทานออกมา
คนทั้งสองบนแท่นมองฟ้า เสื้อผ้าขาดวิ่น ยามนี้กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันโดยไม่สนใจสายตาของทุกคน อีกทั้งด้านบนยังเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรี น่าไม่อายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องโสมมเช่นนี้ในดินแดนลึกลับลั่วเซียน ถูกส่งตัวออกมาภายนอกแล้วคิดไม่ถึงว่ายังกอดจูบกันอีก
ตอนไป๋เจี่ยนจู๋ถูกส่งตัวมาก็นิ่งงัน เห็นผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านมีสีหน้าตกตะลึงก็รู้ว่าชื่อเสียงของตนเองจบสิ้นแล้ว
“ศิษย์น้อง เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบแยกกันอีก” ศิษย์พี่ของไป๋เจี่ยนจู๋ได้สติคืนมาจากอาการตกตะลึง แม้แต่ฝันเขายังคาดไม่ถึง ศิษย์น้องไป๋จะทำเรื่องมีสัมพันธ์นอกที่รโหฐานในดินแดนลึกลับลั่วเซียนออกมาได้ ถ้ายังไม่แยกกัน สำนักจะเอาหน้าไปไว้ไหน จึงอดด่าทออย่างเดือดดาลไม่ได้
ไป๋เจี่ยนจู๋เห็นดาวช่วยชีวิต รีบร้องลั่น “ศิษย์พี่ รีบดึงนางออกไป ข้าขยับไม่ไหวแล้ว”
“ขยับไม่ไหว?” ศิษย์พี่ของไป๋เจี่ยนจู๋สีหน้าเปลี่ยนแปลง ไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องสกปรกโสมมอะไร มองศิษย์น้องคนอื่นๆ อย่างลนลาน จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “ศิษย์น้องเฟิง นำผ้าบังฟ้าของเจ้าออกมา ศิษย์น้องไป๋อาจจะลุกไม่ได้ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเราพาพวกเขาสองคนไปสถานที่ที่ไม่มีคนก่อนแล้วค่อยแยกออกจากกัน”