ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 104 ฉันขอเตือนว่าทางที่ดีหุบปากซะ
สุนันท์โกรธจนลื่นตัวลงมานั่งบนโซฟา หายใจไม่สะดวกครึ่งค่อนวัน!
ทำไมเธอถึงมีลูกชายอย่างนี้ได้?
เชอร์รีนเห็นเลอแปงจากไปก็สาวเท้าหนึ่งก้าวหมายจะตามไปด้วยความเป็นห่วง
ทว่าพึ่งก้าวเพียงหนึ่งก้าวก็ถูกออกัสจับข้อมือไว้ จึงต้องยืนกับที่แบบขยับไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว
ซึ่งเวลานี้เชอร์รีนก็ดึงสติกลับคืนมาได้ เธอเกือบวู่วามแล้วเชียว หากเธอตามไปตอนนี้จริงๆจะไม่เป็นผลดีต่อเลอแปงเอาเสียเลย
สุนันท์เพ่งมองมายังตัวออกัส เอ่ยปากพูดว่า“เห็นข่าวเด่นข่าวใหม่ของวันนี้หรือยัง?”
“อืม……” ริมฝีปากบางของออกัสกระตุกขึ้น
“ลูกไม่มีอะไรจะพูดกับแม่เหรอ?”
ออกัสพูดเสียงทุ้มต่ำอย่างเรียบๆ“สื่อชอบทำข่าวให้เป็นที่สนใจครับ เขียนหัวข้ออย่างนั้นก็ไม่แปลกอะไรครับ”
ได้ยินคำนี้ เชอร์รีนพลันเอียงหน้ามองผู้ชายด้านข้างอย่างจดจ่อ
สุนันท์ชะงักงัน รีบกล่าวว่า“แม่คำนวณเวลาอย่างละเอียดก็พบว่า คืนนั้นตรงกับวันเกิดของลูก เธอหาข้ออ้างว่าปวดท้องจะกลับก่อน แต่ทำไมถึงมีผู้ชายอุ้มเข้าห้องกลางดึกได้?”
นัยน์ตาออกัสหรี่ขึ้นเล็กน้อย ทว่าถ้อยคำที่เปล่งออกมายังคงเย็นชาดุจเดิม
“หลังทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราก็ไปร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลต่อครับ เพราะมีงานเลี้ยงกะทันหัน ผมเลยไม่มีเวลา เลยให้นายตำรวจองค์ชายพาเธอกลับบ้านก่อนครับ แล้วผมก็ไปรับเธอทีหลังครับ ผู้ชายคนนั้นก็คือนายตำรวจองค์ชายครับ นักข่าวก็จับภาพระหว่างทางแน่ๆครับ จากนั้นก็เขียนพาดหัวข่าวที่ดึงดูดใจ ผมจะจัดการเรื่องนี้เองครับ ……”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเชอร์รีนฟังคำเหล่านี้ของเขาก็รู้สึกอยากหัวเราะอย่างแปลกประหลาด ซึ่งความเป็นจริงเธอก็ยกมุมปากโค้งขึ้นจริงๆ
หางตาของเขาเห็นสีหน้าอันเฉยเมยของเธอไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้น ทว่ากลับยกมุมปากขึ้น ลำคอของออกัสก็ขยับเล็กน้อย ก่อนจะจับฝ่ามือเธอไว้แน่นขนัด
“แล้ววันนี้ล่ะ? ตอนแม่ไปหาเธอที่โรงเรียน เธอกลับนั่งกินข้าวเที่ยงกับผู้ชายในข่าว พูดคุยกันจนยิ้มหน้าบานเชียว”
ออกัสขมวดคิ้วมุ่น เผยความไม่พอใจอย่างเลือนรางหลายส่วน ทว่าก็ไม่ได้เปิดเผยในที่สุด “แม่ไปที่โรงเรียนเหรอครับ?”
สุนันท์พยักหน้าหงึก“ใช่ ไม่งั้นจะเห็นภาพแบบนั้นได้ยังไง?”
“อันนี้เป็นเรื่องสองผัวเมียของพวกเรานะครับ ผมจะสะสางเองครับ แม่ไม่ต้องเอาใจใส่ ไม่ได้สนใจครับ……” ออกัสลั่นวาจาเช่นนี้ออกมา “ยังมีอีกครับ ผมรู้ดีว่าเธอเป็นผู้หญิงยังไงครับ”
ทิ้งประโยคท้ายนี้ไว้แล้ว ออกัสก็พาเชอร์รีนออกจากบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ทันที ไม่ได้มองทั้งสองคนที่นั่งบนโซฟาอีก
เมื่อร่างของพวกเขาหายลับไปจากสายตา สุนันท์พลันหายใจหอบเร็ว จึงต้องใช้มือตบหน้าอก “ทำตัวงี่เง่ากันใหญ่แล้ว งี่เง่ากันหมดเลย!”
หยาดฝนละสายตากลับมา พลางยื่นน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้ว“พี่สะใภ้”
สุนันท์รับมาดื่มหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดว่า“อะไรที่เรียกว่าไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องสนใจ กำลังบอกให้ฉันอย่ามายุ่งชัดๆ เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลสิริไพบูรณ์อย่างนี้ จะไม่ให้ฉันยุ่งได้ยังไง?”
“ออกัสก็พูดมีเหตุผลนะคะ พี่สะใภ้ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องพวกนั้นหรอกค่ะ เอาเวลาไปเข้าคอร์สเต้นรำ ทำสปา ทำเสริมสวยผ่อนคลายจิตใจให้เป็นสุขจะดีกว่าค่ะ”
“เต้นรำ เสริมสวยมันทำให้สามีดู ปีหนึ่งฉันไม่ได้เจอหน้าสามีสักครั้งหนึ่ง ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
ได้ยินดังนั้น หยาดฝนก็ไม่พูดต่อ เธอกำลังใจฝ่อจึงพูดเสนอขึ้นมามากมาย
เธอยึดพี่ใหญ่เป็นจุดศูนย์กลางเกินไป ทุกลมหายใจ ทุกเรื่องราวก็ต้องเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่ หากวันใดพี่ชายยื่นใบหย่ากับเธอ ถึงเวลานั้นเกรงว่า ……
หลังจากนั่งรถยนต์แลนด์โรเวอร์สีดำเงางามแล้ว เชอร์รีนเอ่ยปากกล่าวว่า“รบกวนคุณส่งฉันกลับไปที่โรงเรียนด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ออกัสใช้หมัดทุบใส่พวงมาลัยรถ พลางกล่าวเสียงเคร่มขรึมและดุดัน“คุณหญิงเชอร์รีน เมื่อไหร่คุณจะเป็นปกติเสียที?”
“ตอนนี้ฉันก็ปกติดีมากทุกอย่างค่ะ” เธอเอ่ยปากพูดแบบไม่รู้สึกรู้สา
“……”ให้ตายเถอะ!ตอนนี้เขาอยากคร่อมเธอไว้บนเตียงเหลือเกิน จากนั้นก็จะย่ำยีเธอให้หนำใจ จะได้ทำลายใบหน้าเหมือนเห็นผีนี่ทิ้ง!
ออกัสทุบพวงมาลัยรถด้านขวา แววตาอันเคร่งขรึมของเขาเล็งมาที่เธอ พร้อมกับกล่าวทีละคำช้าๆชัดๆว่า “ไว้คืนนี้พวกเราค่อยคุยกันดีๆ!”
เชอร์รีนมองนอกหน้าต่างรถอย่างเกียจคร้าน ไม่สนใจใยดี เธอไม่คิดว่าระหว่างพวกเธอทั้งสองคนจะมีอะไรให้คุยกัน
ขณะนี้เอง เสียงมือถือก็ดังขึ้น ออกัสรับสาย เสียงผู้ช่วยเตโชอันเร่งรีบก็แว่วเข้าหู “ท่านประธานครับ เริ่มประชุมได้ครึ่งชั่วโมงแล้วนะครับ ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ?”
“หยุดประชุมครึ่งชั่วโมง” เขาสั่งการเสียงขรึมหนึ่งประโยค จากนั้นก็วางสายทิ้ง
ก่อนประชุมจะเริ่มขึ้น เขาเห็นเลขาซ่อนหนังสือพิมพ์ไว้ด้านหลัง ประกอบกับผู้อำนวยการโรงเรียนโทรมาพอดี เลขาเลยถามเขาว่าจะรับสายไหม
ซึ่งมาสาเหตุเดียวที่ผู้อำนวยการจะโทรหาเขา นั่นก็คือเรื่องของคุณหญิงเชอร์รีน ……
เขากลัวเธอจะเกิดเรื่องขึ้นจึงรับสาย ทว่าเมื่อรับสาย อีกฝ่ายก็เริ่มถามอาการของคุณหญิงสุนันท์ทันที
เขารู้สึกข้องใจเล็กน้อย ผู้อำนวยการจึงอธิบายว่าตอนบ่ายคุณหญิงสุนันท์โทรมาบอกเขาว่าไม่สบาย เลยขอลาให้กับลูกสะใภ้หน่อย
จากนั้น เขาก็โยงใยถึงหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น จึงได้รู้แจ้งกระจ่างจริง
ดังนั้นเขาไม่สนใจประชุมที่ใกล้จะเริ่มขึ้น ขับรถกลับบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์โดยตรง
“ดูเหมือนคุณมีธุระเร่งด่วนนะคะ ให้ฉันลงข้างทางนี้เลยค่ะ ฉันจะโบกรถไปเองค่ะ” นัยน์ตาเชอร์รีนเย็นชา นิ้วชี้ไปยังข้างทาง
ความหงุดหงิดหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งอีกครั้ง เขาจ้องเขม็งเธอ“หุบปาก!”
“ฉันเรียกรถแท็กซี่ตรงนี้ได้ค่ะ” เธอยืนกรานต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาอารมณ์เสียมาก เสียงแหบแห้งของเขาแจ้งเตือนด้วยรังสีอันตรายอย่างเต็มเปี่ยม นัยน์ตามืดครึ้มเพ่งมองริมฝีปากแดงฉ่ำของเธอ “ถ้าคุณพูดอีกเพียงคำเดียว ผมก็มีวิธีทำให้คุณเงียบได้!”
เชอร์รีนดูออกว่าแววตาของเขากำลังสะท้อนแววตักเตือน เธอจึงไม่ได้พูดอะไร ชำเลืองสายตาอันเรียบเฉยไปมองนอกหน้าต่างรถ
ริมฝีปากออกัสเม้มเป็นเส้นตรงจนรถจอด ใบหน้าหล่อทั้งเคร่มขรึมและเย็นยะเยือก
เธอไม่สนใจสีหน้าของเขา ถือวิสาสะเดินเข้าโรงเรียน หางตาเหลือบเห็นรถยนต์สีดำเงางามกลับรถ จากนั้นก็หายลับจากสายตาในชั่ววูบเดียว
สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เชอร์รีนยื่นปรับอารมณ์สักพัก จากนั้นก็ยกเท้าเดินเข้าโรงเรียนต่อ
การสอนช่วงบ่าย เธอพบว่าที่นั่งแถวสุดท้ายริมหน้าต่างนั้นว่างเปล่า ซึ่งเจ้าของที่นั่งคือเลอแปงนั่นเอง
นึกถึงเรื่องตอนเที่ยง ความวิตกกังวลก็ผุดขึ้นกลางใจเธอ
ยังมีอีก ปกติที่นั่งสองแถวหลังสุดจะไม่มีคนนั่ง ทว่าวันนี้กลับมีนักเรียนหญิงหน้าใหม่ทั้งหมดมานั่งตำแหน่งนั้น
เธอเลิกคิ้วอย่างฉงนสนเท่ห์ เธอเหมือนไม่เคยได้รับคำสั่งจากผู้อำนวยการว่าเทอมนี้จะมีนักเรียนย้ายห้องเลย
เธอถามนักเรียนหญิงแปลกหน้าด้วยความสงสัย“เหมือนหนูจะไม่ใช่นักเรียนห้องพวกเรานะคะ”
นักเรียนหญิงกระพริบตาปริบๆ“หนูเด็กห้องทับสิบค่ะ”