ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 110 วีรบุรุษช่วยหญิงงามของคุณออกัส
ผู้ชายสี่คนบีบให้เธอขยับเข้าใกล้มุมมุมหนึ่ง ปากคาบบุหรี่เอาไว้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร
“คนสวย จะรีบไปไหนกัน? ไปอยู่ที่นั่นก่อน ดีไหม?”
ชายคนนั้นพ่นควันบุหรี่ออกมา ทำให้เห็นฟันสีเหลืองอยู่เต็มปาก หรี่ตาเล็กน้อย และหยิบเอามีดเล่มหนึ่งออกมา ทั้งใสทั้งคม เต็มไปด้วยกลิ่นข่มขู่
ร่างแนบชิดติดกำแพง เชอร์รีนไม่ได้ลนลาน ท่าทางตกใจแต่มีสติ มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กดบีบอะไรบางอย่างเบา ๆ ส่วนปากก็เอ่ยดังต่อไปนี้
“พวกแกต้องการอะไรกันแน่?”
“เธอคิดว่าพวกเราต้องการอะไรล่ะ?”
“ถ้าหากพวกนายต้องการทรัพย์สิน ฉันสามารถบอกกับพวกนายได้อย่างชัดเจนว่า ในกระเป๋าฉันมีเงินสดอยู่สองพันห้าและบัตรกดเงินสด เงินในบัตรไม่เยอะ มีเพียงหนึ่งหมื่น
ฉันจะบอกรหัสให้พวกแก แต่ฉันจะไม่แจ้งตำรวจอย่างแน่นอน ถือเป็นการใช้เงินล้างเคราะห์ เงินบอกนั้นเพียงพอให้พวกแกกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญตลอดทั้งคืน”
เธอทำใจดีสู้เสือ พูดจาชัดเจน มีเหตุมีผล
ได้ยินดังนั้น ชายทั้งสี่คนก็มองตาซึ่งกันและกัน พวกเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้มาก่อนเลย ใช้ได้เลยทีเดียว!
ชายคนที่เดิมทีตะโกนเสียงดังคนนั้นจู่ ๆ ก็ยิ้มออกมา และทิ้งก้นบุหรี่ลงไปบนพื้น:
“แต่ว่า มีโรงแรมแล้วแต่ยังขาดเรื่องสนุกอยู่ คนสวยไปเล่นกับพวกเรา ไปเล่นสนุก ดีไหม? ทรัพย์สิน พวกเราชิงจริง ๆ ส่วนกาม พวกเราก็จะเอาเหมือนกัน พวกเราผู้ชายสามคนตอบสนองคนสวยคนเดียวทั้งคืน จะต้องให้เธอมีความสุขแน่”
ในระหว่างที่พูด สายตาอนาจารของเขาก็ได้เลื่อนผ่านส่วนล่างของร่างกายของเธอ จากนั้นก็หยุดลงที่บางตำแหน่ง
เมื่อพูดจบก็ไม่ได้ใส่ใจเชอร์รีนอีก ชายที่เป็นผู้นำยิ้มอย่างลามก ยื่นมือออกมาและลูบผ่านเอวของเชอร์รีน
ในขณะเดียวกันนั้น พรรคพวกที่รีบร้อนเหมือนลิงก็ไปดึงเสื้อผ้าของเธอ สองสามครั้ง ก็ได้ถอดเสื้อนวมขนสัตว์ของเธอออก
เชอร์รีนต่อต้านอย่างเต็มแรง แต่ก็ไม่เป็นผลอะไร ผู้หญิงตัวคนเดียวสู้ผู้ชายสี่คน มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด ผู้ชายหนึ่งในนั้นได้ยื่นมือออกไปกระชากกางเกงของเธอ บ้าคลั่งทั้งป่าเถื่อน
ความหวาดกลัวภายในใจได้เลื่อนขึ้นมาราวกับเถาวัลย์ เธอยื่นมือออกไปป้องกันจุดที่สำคัญที่สุดเอาไว้ และถีบเท้าทั้งสองข้างอยู่ไม่หยุด
ในที่สุดพวกผู้ชายก็โมโห จึงยกเท้าของเธอขึ้นมา วางเธอลงข้างกำแพง ผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนขาของเธอ มือใหญ่ที่สกปรกของเขาสอดเข้าไปใต้เสื้อซับของเธอ และดึงเสื้อในของเธอออก: “ว้าว นังนี่นมใหญ่ไม่เบา มีเนื้อดีนี่ สัมผัสไม่เลวเลยจริง ๆ”
“ฉันดูออกตั้งนานแล้วว่านังนี่หุ่นดีไม่เบา ดูก้นของเธอสิ ทั้งกลมทั้งเด้ง เอามือฟาดลงไปนะ นายว่ามันจะให้ความรู้สึกสยิวขนาดไหน!”
สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดไปภายในชั่วพริบตา เชอร์รีนขัดขืนแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ร่างกายสั่นสะท้านในสายลมอันเหน็บหนาว เธอสั่นอยู่ไม่หยุด ในเวลานี้ เธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
การเคลื่อนไหวของชายพวกนั้นป่าเถื่อนขึ้นเรื่อง ๆ ถึงขึ้นยื่นมือกระชากกางเกงในของเธอ เธอร้อนรน เธอก้มตัวลง และกัดข้อมือของผู้ชายคนนั้นอย่างแรง ไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งได้กลิ่นเลือดอ่อน ๆ ก็ยังไม่ปล่อย
ชายคนนั้นเจ็บจนร้องโอดโอย และตบข้าไปที่หน้าของเชอร์รีนอย่างจัง เนื่องจากใช้แรงมากเกินไป เธอถูกตบจนใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย หน้าช้า เวียนหัวหน้ามืด
จากนั้น ในตอนที่พวกเขากำลังตื่นเต้นดีใจอยู่นั่นเอง เสียงฝีเท้าก็ได้ดังลอยมา ทุกคนต่างหันไป มองไปตามเสียง
ร่างกำยำสูงโปร่งของออกัสได้เดินเข้ามา สีหน้าทั้งเคร่งขรึมทั้งดำคล้ำ โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ยิ่งเยือกเย็นจนทำให้คนหวาดผวา……
ผู้ชายพวกนั้นจ้องมองซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะถูกรัศมีของเขากดทับอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา พวกเขาสี่คน จะสู้คนคนเดียวไม่ได้หรือยังไง?
“นี่ แก แกอยากจะทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงามหรือไงห๊ะ? เห็นแนะนำว่าให้แกไสหัวไปไกล ๆ ซะ วีรบุรุษช่วยหญิงงามไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นได้หรอกนะ พวกแก ว่าไหม?”
คนพวกนั้นหัวเราะออกมาออกเหยียดหยาม: “คิดจะเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายบ้างเหมือนกัน อย่าฝืนตัวเองเลย!”
“ให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย รีบไสหัวไปซะ ไม่อย่างนั้นละก็ สุดท้ายต้องพบกับผลลัพธ์แบบไหน พวกเราก็ไม่สามารถรับรองได้หรอกนะ!”
แต่ทว่า ออกัสไม่ได้ใส่ใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของพวกเขาเลยสักนิด ขายาว ๆ เก้าเดินออกไป ไม่พูดมาก และเตะเข้าไปที่ผู้ชายที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
ไม่มีการป้องกันใด ๆ ผู้ชายถูกเตะจนลงไปนอนกองอยู่บนพื้น ศีรษะชนเข้ากับกำแพงเต็ม ๆ ร้องโอดโอยออกมา
เป็นธรรมดาที่พวกที่เหลือไปไม่นั่งมองพรรคพวกของตัวเองถูกรังแก ทันทีทันใด จึงได้ปล่อยมือจากเชอร์รีนและลุกขึ้น ทั้งหมดต่างกระโจนเข้าหาออกัส ปากก็บ่นด่าอยู่ไม่หยุด
“มึง อยากตายหรือไงวะ!”
“พวกเราลงมือ อัดให้มันลุกไม่ขึ้นไปเลย!”
ไม่มีคำพูดใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ออกัสชายตามองพวกนั้นอย่างเย็นชา ดวงตาที่ลึกซึ้งเคร่งขรึมขึ้นมา ใบหน้าราวกับสายน้ำลึก
ทั้งห้าคนพัวพันกันอยู่แบบนั้น ภายใต้ค่ำคืนที่เงียบสงบเช่นนี้ มีเพียงเสียงต่อสู้และเสียงร้องครวญคราง รวมทั้งเสียงก่นด่าที่ดังขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง
ผมยาวของเชอร์รีนยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายสั่นสะท้านในลมหนาว กัดฟันแน่น เธอหยิบเอาโทรศัพท์ออกมากระเป๋าด้วยมือสั่น ๆ กดเบอร์โทรแจ้งความ แต่กลับไม่ส่งเสียงใด ๆ
สถานการณ์ในตอนนี้นั้นร้ายมากกว่าดี ถ้าหากในเวลานี้ให้พวกระยำนั่นรู้ว่าเธอแจ้งตำรวจ เกรงว่าจะทำให้พวกมันโมโห พอถึงเวลานั้นจะลงมืออย่างป่าเถื่อนมากกว่าเดิม
ส่วนออกัสถึงแม้จะไม่มีท่าทีใด ๆ บนใบหน้า แต่เปลวไฟในดวงตาของเขาได้เปิดเผยความโกรธของเขาในเวลานี้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นมือ หรือเท้า การเคลื่อนไหวของเขาทั้งเร็ว ทั้งแม่นยำ ทั้งโหดเหี้ยม โดนจุดสำคัญทุกครั้ง ไม่ได้ออมมือเลยสักนิด
ทั้งสี่คนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้สองเขาเลยด้วยซ้ำ ต่างถูกอัดจนหน้าบวมจมูกช้ำ มือกุมตำแหน่งที่เจ็บเอาไว้ ร้องครวญคราง โอดโอย ขณะเดียวกันนั้น ต่างก็มีน้ำโหขึ้นมา และหยิบเอามีดที่แวววับแทงตาออกมาจากกระเป๋า
พวกเขาไม่มีท่วงท่าใด ๆ เลยสักนิด เพียงแค่ทิ่มแทงอย่างมั่วซั่ว ตามอำเภอใจ
ต้องคอยระวังด้านหน้า ทั้งต้องคอยระวังข้างหลัง ในตอนที่เผลอ ปลายมีดที่แหลมคมกรีดผ่านแขนของเขาไป เลือดสด ๆ ไหลออกมาในทันที การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เห็นดังนั้น หัวใจของเชอร์รีนก็ตกลงไปอยู่ตาตุ่ม หัวใจบีบรัดแน่น มองเขาด้วยความเป็นห่วง
ผ่านไปอีกสักระยะ เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา และเปิดเสียงไซเรนรถตำรวจขึ้นมา แล้วโยนออกไปไกล ๆ จากนั้นก็หยิบเอาท่อนไม้ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา และฟาดลงไปทางผู้ชายคนหนึ่งอย่างเต็มแรงด้วยมือที่สั่นสะท้าน
เมื่อได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจดังลอยมา คนพวกนั้นก็ร้อนรนขึ้นมาตาม จ้องมองตา และส่งสายตาให้กัน เป็นสัญญาณว่าให้รีบหนีไป
ในตอนที่พวกเขาหมุนตัวนั่นเอง เงาร่างสูงโปร่งของออกัสก็ได้พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จู่โจมโดนจุดสำคัญของพวกเขา ทำให้พวกเขาล้มลงไปกองบนพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นได้
ผ่านไปอีกสักระยะ เสียงไซเรนรถตำรวจก็ได้ดังขึ้น เสียงไฟกะพริบ รถตำรวจได้หยุดลง ตำรวจกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากรถ
เดินมาที่ด้านหน้าออกัสก่อนเป็นอันดับแรก แล้วทักทาย: “คุณออกัสครับ”
“อืม……” ตอบรับอย่างเฉยเมย ออกัสไม่ได้สนใจพวกเขา แต่ได้หันหลัง ถอดเสื้อคลุมสีดำที่อยู่บนร่างออก และคลุมให้กับเชอร์รีน ช่วยเธอจัดให้มิดชิด และกอดเธอเข้ามา น้ำเสียงทุ้มต่ำเป็นกังวล: “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”