ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 123 ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เมื่อพูดถึงลูกสะใภ้ของตัวเอง คุณหญิงราตรีก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที หน้าตาของเธอบูดบึ้งถมึงทึง “เธอไม่รู้เหรอว่าหล่อนใช้เงินเก่งขนาดไหน ใช้เงินเหมือนบ้านตัวเองเป็นธนาคารอย่างนั้นแหละ วันหนึ่งๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าสามชุด ซื้อของไม่หยุด ไปช้อปปิ้งทุกวัน เห็นแล้วก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย”
เมื่อพูดไปเรื่อยๆ ก็ไปกระตุ้นให้ความไม่พอใจในใจสุนันท์ให้ปะทุขึ้นมาด้วย จึงถอนใจแล้วกล่าวว่า “บ้านเธอน่ะยังดีกว่าของบ้านฉันหลายเท่านะ”
“อะไรนะ” คุณหญิงราตรีแปลกใจขึ้นมา “ของบ้านเธอเป็นยังไงหรือ”
“ไม่มีมารยาท ทำตัวไม่เหมาะสม นิสัยก็ไม่ค่อยจะดี ฉันเข้าโรงพยาบาลแท้ๆ แต่หล่อนกลับไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจกันบ้าง ถึงขั้นหาเรื่องทะเลาะกับฉัน ฉันล่ะโมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก”
คุณหญิงราตรีอุทานอย่างตกใจ สีหน้าของเธอเริ่มโมโหตามไปด้วย “ได้ยินมาว่าครอบครัวหล่อนก็ธรรมดาทั่วไป แต่งเข้ามาในตระกูลสิริไพบูรณ์ได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเธอมากแล้ว แต่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณแถมยังมาทำตัวกร่างแบบนี้อีก!”
คำพูดประโยคนี้กระแทกเข้าหัวใจของสุนันท์อย่างจัง เธอจึงพยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด
“ลูกสะใภ้แบบนี้ เธอจะปล่อยปละละเลยไม่ได้นะ จะต้องสั่งสอนให้หล่อนรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามให้ได้” คุณหญิงราตรีแนะนำ
สุนันท์เริ่มสนใจความคิดนี้ขึ้นมา “จะสอนยังไงล่ะ”
“จะต้องเข้มงวดกับหล่อน จะปล่อยหล่อนตามใจไม่ได้ ตอนนี้แม่ยายร่างกายไม่แข็งแรง คนเป็นลูกสะใภ้ไม่มาดูแลอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือ”
คุณหญิงราตรีคอยยุแยงอยู่ข้างๆ “ตอนนี้เธอต้องใช้โอกาสที่ร่างกายไม่แข็งแรงสั่งสอนเธอให้เรียบร้อย นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก ทำให้แม่ยายอย่างเธอจะดูไม่ใจร้ายเกินไปแถมยังทำตามแผนได้อีกด้วย ยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ”
สุนันท์พยักหน้าด้วยความรู้สึกว่าเธอพูดถูกต้อง
“อ่อ จริงสิ ฉันเห็นหยาดฝนของเธอ ตอนนี้เด็กคนนั้นสวยขึ้นเยอะเลยแถมยังมีมารยาท ทำให้คนรู้สึกชอบเธอจากใจ ฉันอยากขอให้ลูกคนรองของฉันได้ไหม”
สุนันท์ได้ยินดังนั้นความโกรธก็ค่อยๆ เบาลง “สายไปแล้ว เธอมีเจ้าของแล้ว เด็กคนนั้นไม่เลวจริงๆ ฉันเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีเรื่องไหนน่าเป็นห่วงเลย”
“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้นฉันจะถูกชะตาได้ยังไง”
ช่วงเย็น
ขณะที่เชอร์รีนกำลังกินอาหารเย็นอยู่นั้น มือถือของเธอก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของป้าจันทร์ที่โทรมาจากบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
“สวัสดีค่ะป้าจันทร์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ” เธอเอ่ยปากอย่างประหลาดใจ เพราะปกติแล้วป้าจันทร์ไม่ค่อยจะโทรมาหาเธอเท่าไหร่
“คุณหญิงกลับบ้านแล้วและบอกว่าอยากกินโจ๊กที่ถนนคนเดิน เลยขอให้เธอแวะซื้อระหว่างทางกลับมาที่นี่สักถุง”
“ออกมาจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เที่ยงวันนี้จ้ะ”
เมื่อวางสายลง เธอกลับมากินข้าวต่อ กนกอรที่ได้ยินบทสนทนาจึงเอ่ยว่า “แม่ยายป่วยเป็นอะไรล่ะ”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ หายแล้ว” เชอร์รีนตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“อย่างนั้นก็ดี หรือว่าแม่ต้องซื้อของไปเยี่ยมกับลูกสักหน่อยดี” ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้เรื่องแล้วไม่ไป จะถือว่าเสียมารยาทเกินไปหน่อย
“ไม่ต้องไปหรอกค่ะ เธอไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะอยากกินโจ๊กที่ถนนคนเดินได้ยังไงคะ”
เชอร์รีนกล่าว อันที่จริงแล้วเธอไม่อยากให้กนกอรไปที่นั่นมากกว่า
สุนันท์นิสัยใจคอเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเธอย่อมรู้ดี หากเธอไป ผลลัพธ์ที่ตามมาคงไม่สวยอย่างแน่นอน
“เด็กคนนี้!” กนกอรจ้องเธออย่างไม่พอใจ “ลูกไม่อยากให้แม่ไปเพราะกลัวจะขายหน้าใช่ไหม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ คุณผู้หญิงกนกอรสวยสง่าขนาดนี้ ส่งเข้าประกวดนางงามยังได้ แล้วจะขายหน้าคนอื่นได้ยังไงคะ”
พอเห็นอย่างนี้ กนกอรจึงยกมือขึ้นตบหลังลูกตัวเองเบาๆ “ลูกคนนี้นับวันยิ่งต่อปากต่อคำ นิสัยเริ่มดื้อขึ้นทุกวันแล้วนะ”
เชอร์รีนได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้ม โดยไม่เอ่ยอะไร เพียงก้มหน้ากินโจ๊กต่อไปเท่านั้น
“แสดงว่าแม่ยายลูกกำลังรอให้ลูกซื้อโจ๊กกลับไปฝากใช่ไหม อย่างนั้นอย่ามัวแต่กินอยู่เลย รีบกลับไปเถอะ” กนกอรกล่าวเร่ง
เชอร์รีนกลับไม่ได้มีท่าทางรีบร้อนอะไร “ถ้ารอหนูกลับไปไม่ไหว เดี๋ยวเธอก็หาทางอย่างอื่นแทนเองแหละค่ะ บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์มีพ่อครัวตั้งเยอะแยะ ทำไมจะต้องมาทรมานรอโจ๊กถุงเดียวด้วย”
“เพี๊ยะ” เสียงฝ่ามือกระทบหลังเชอร์รีนเข้าอย่างจัง กนกอรหยิบตะเกียบออกมาจากตรงหน้าของเธอ “นับวันก็ยิ่งดื้อขึ้นเรื่อยๆ รีบไปเดี๋ยวนี้”
“หนูเริ่มสงสัยแล้วนะคะว่าจริงๆ แล้วหนูเป็นลูกแม่จริงๆ รึเปล่า แม่ลงมือไม่เคยปราณีหนูเลยนะคะ”
กนกอรเหลือบตาไปจ้องเธอเขม็ง “ยังไม่ยอมไปอีก”
“ไปก็ไปค่ะ นี่ก็กำลังจะไปอยู่นี่ไงคะ” เชอร์รีนตอบรับอย่างขอไปทีก่อนจะกลับไป
เธอนั่งแท็กซี่ไปยังถนนคนเดิน มองปราดเดียวก็เห็นร้านขายโจ๊กร้านนั้น แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือหน้าร้านมีคนต่อแถวรอคิวยาวมาก
โจ๊กร้านนี้ขายดีถึงขนาดนี้เลยเหรอ
ทำไงได้ เชอร์รีนได้แต่ไปต่อแถวรออยู่ด้านหลังเพื่อรอคิว
เธอรอไปเกือบหนึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็ถึงคิวของเธอ เธอกลัวว่าโจ๊กจะเย็นเลยให้พนักงานใส่กล่องเก็บอุณหภูมิให้เธอ
เธอไม่ชักช้าร่ำไร นั่งรถมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ทันที
ในห้อง
สุนันท์นอนอยู่บนเตียง โดยมีคุณหญิงราตรีกำลังนั่งกินกาแฟอยู่เป็นเพื่อน
เมื่อเชอร์รีนเดินเข้ามาก็เรียกแม่ตามมารยาทอย่างห่างเหิน จากนั้นจึงมองไปทางคุณหญิงราตรีแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ”
คุณหญิงราตรีอมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ ท่าทีในตอนนี้แตกต่างจากคนเมื่อครู่นี้ราวคนละคน เชอร์รีนจึงเอากล่องไปวางไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “แม่คะ โจ๊กที่แม่อยากกินนะคะ”
สุนันท์เหลียวมองสองทีก่อนจะเบนสายตากลับมาอย่างไร้อารมณ์ “จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากกินขึ้นมา วางไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน”
คุณหญิงราตรีที่อยู่ข้างๆ จึงยิ้มและกล่าวสมทบ “แม่ของหนูรอมาตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว รอแล้วรอเล่าหนูก็ไม่มาสักที ก็เลยกินน้ำเต้าหู้ไปแล้ว ตอนนี้เลยไม่รู้สึกหิวน่ะ”
พอได้ยินดังนั้น เชอร์รีนก็ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่กล่าวว่า “มีลูกค้ามาซื้อโจ๊กเยอะมากเลยค่ะ ต้องรอเป็นชั่วโมง ก็เลยเสียเวลาไปมากหน่อย”
สุนันท์พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นช่วยไปอุ่นนมให้แม่หน่อย”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ” เชอร์รีนตอบรับ จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป
หลังจากเธอออกไปพ้นสายตา สุนันท์เดิมทีที่มีสีหน้าท่าทางเหมือนคนป่วยจู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นสดใส และถามคุณหญิงราตรีว่า “เมื่อกี้ฉันแสดงดีไหม”
“ดีมาก เราไม่ได้ผลักความผิดไปให้เธอ ไม่ได้มีท่าทางเหมือนตั้งใจจะหาเรื่องเธอ โจ๊กถ้วยเดียวรอตั้งชั่วโมงนึง เกือบจะหิวตายอยู่แล้ว จะให้อารมณ์ดีได้ยังไง” คุณหญิงราตรียังคงยุแยงต่อไป
สุนันท์พยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “ก็ใช่”
ไม่นานหลังจากนั้น เชอร์รีนก็เดินถือนมที่อุ่นร้อนมาเรียบร้อยเข้ามาในห้อง นมสีขาวยังมีควันลอยกรุ่นขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หยาดฝนก็เดินเข้ามาเช่นกัน ในมือของเธอถือจานผลไม้ที่หั่นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วยื่นจานผลไม้ที่หั่นเอาไว้แล้วให้คุณหญิงราตรี
“ไม่ได้เห็นหน้าหนูหยาดฝนมาหลายปีแล้ว หนูยิ่งโตก็ยิ่งสวยนะ”
คุณหญิงราตรียิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา “แถมยังเป็นงานเป็นการอีก ตอนนี้หนูทำงานอะไรอยู่หรือจ๊ะ”
สีหน้าของหยาดฝนสดใสแล้วอมยิ้มเล็กน้อย “เป็นเลขาของประธานออกัสที่อำเภอซีซ่าค่ะ”
“เก่งจริงๆ เลย ตอนเด็กเรียนก็เก่ง ถ้าขยันมากกว่านี้อนาคตต้องยิ่งประสบความสำเร็จกว่านี้แน่” คุณหญิงราตรีกล่าวชมไม่ขาดปาก
หยาดฝนยังคงอมยิ้มเช่นเดิมก่อนจะกล่าวว่า “คุณหญิงราตรีชมเกินไปแล้วค่ะ”