ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 13 งั้นเรามาเซ็นสัญญากันเถอะ
เดินไปตามถนนอันหนาวเหน็บ เชอร์รีนรู้สึกว่าหูตัวเองกำลังจะแข็ง วันนี้อากาศหนาวจนน่าตกใจ!
โทรศัพท์มือถือสั่น เป็นข้อความจากกนกอรแม เชอร์รีน่บอกว่าพวกเขากลับมาจากการเดินทางแล้ว รถไฟมาถึงตอนสิบโมง
เธอกดวางสายแล้วรีบร้อนไปที่โรงเรียนทันที เหตุการณ์เมื่อวานเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีการขอลาหรือบอกกล่าว แน่นอนว่าต้องจัดการกับผลที่ตามมา!
ซึ่งครูใหญ่ก็มีเหตุผลพอ แค่ตักเตือนเล็กน้อย หลังจากนี้ให้เธอใส่ใจขึ้นอีกหน่อย
ตกลงกันเรียบร้อย เธอขอลาหยุดอีกวัน ครูใหญ่ตอบตกลงโดยไม่ว่าอะไร
หลังจากทานอาหารเช้า เชอร์รีนรีบไปที่สถานีรถไฟ รถไฟล่าช้าชั่วคราว รออีกสี่สิบนาที ถึงได้เห็นร่างของสองคน
เดินเข้าไปใกล้ ได้ยินกนกอรบ่นว่า “รถไฟล่าช้าทุกครั้งเลย ฉันนั่งจนเจ็บเอวไปหมดแล้วตอนนี้”
จักรกฤษแค่ยิ้ม “ให้คุณนั่งรถไฟความเร็วสูง คุณปฏิเสธเอง ถ้าจ่ายเพิ่มอีกครึ่งการดูแลก็ต่างกัน รวดเร็ว สภาพแวดล้อมก็ดี แถมยังสะดวกสบาย”
เชอร์รีนเอากระเป๋าเดินทางจากมือจักรกฤษ และมือข้างหนึ่งก็ช่วยพยุงกนกอร “คุณพ่อคุณแม่คะ ไปที่ร้านเคเอฟซีข้างๆ นี่ก่อนนะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”
เรื่องบ้านเดิมทีเธอตั้งใจจะไม่บอกพ่อกับแม่ เพราะพวกเขาสูงอายุแล้ว ร่างกายไม่ค่อยดี กลัวว่าจะรับไม่ไหว
แต่ตอนนี้ไม่สามารถฝากความหวังไว้ที่ชารีฟได้เลย เธอคนเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ จึงได้แต่บอกความจริงเท่านั้น
หลังจากสั่งกาแฟไปสามถ้วย เชอร์รีนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะบอกเรื่องต่างๆ ที่ทับทิมทำแก่ทั้งสองคน
ทันทีที่ได้ยินว่าบ้านถูกขาย กนกอรได้รับผลกระทบจนตัวสั่นไหวเอน จักรกฤษที่อยู่ข้างๆ รีบจับเธอไว้ สีหน้าและลมหายใจหนักหน่วง
หลังจากนั้นไม่นาน จักรกฤษจึงพูดว่า “ขายแล้วก็ขายไป!”
“คุณพ่อ!” เชอร์รีนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“บ้านหลังนั้นเดิมทีก็เป็นสิ่งที่คุณปู่ของแกซื้อให้พี่ชายแก ใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ก็เขียนชื่อพี่ชายของแกด้วย เขาอยากจัดการยังไงก็ทำได้”
เชอร์รีนหายใจเร็วขึ้น “คุณพ่อคะ แต่นั่นเป็นฝีมือของทับทิมนะ! คุณพ่อไม่จัดการแล้วปล่อยเลยตามเลยเหรอคะ”
“ให้จัดการยังไง ลูกชายตัวเองตีได้ด่าได้ แต่นี่ลูกสะไภ้นะ” จักรกฤษถอนหายใจยาว “ตอนที่พี่ชายแกแต่งงานกับเธอฉันก็ไม่เห็นด้วย ปรากฏว่าทั้งคู่หนีตามกันไป ตอนนั้นจัดการยังไงก็จัดการไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับตอนนี้”
“ดังนั้น ก็จะแค่คิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเหรอคะ” เชอร์รีนรู้สึกว่ามันไร้สาระสิ้นดี!
“พี่ชายแกฟังแต่ทับทิม ตอนนี้ทับทิมขายบ้านแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่แม้แต่จะส่งเสียงออกมาสักแอะ”
จักรกฤษมองเชอร์รีน “ทับทิมมีนิสัยแบบไหน ทำไมพ่อจะไม่รู้ บอกตามตรง พ่อไม่ได้กะเกณฑ์ให้เธอมาดูแลพ่อกับแม่แกตอนแก่ ตราบใดที่เธอไม่ถุยน้ำลายใส่ชามข้าวเราก็ดีเท่าไรแล้ว! ตอนนี้ขายบ้านไปแล้ว เงินเธอก็เอาไปแล้ว จากนี้ก็ใช้ชีวิตแค่เราสามคน ปล่อยพวกเขาสองคนไปเถอะ พี่ชายแกแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ทำให้ฉันคาดหวังอยู่แล้ว……”
เชอร์รีนโกรธจนจิกเล็บเข้าเนื้อในฝ่ามือ แต่เธอเหรอจะมีทางเลือก
ตราบใดที่เงินเข้ามือทับทิมแล้ว ก็อย่าคิดเอามันออกมาอีกเลย!
“คุณพ่อ คุณสัญญากับฉัน บ้านน่ะฉันสามารถหาได้ แต่ฉันมีเงื่อนไขข้อนึง!”
“เชอร์รีน พูดมาสิ”
“ทับทิมต้องกลับมาอีกแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าเธอกล้าเข้าบ้านแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะตบเธอให้ฟันร่วง พวกคุณใครก็ห้ามเข้ามาขวาง ใครก็ห้ามปกป้องเธอ!” เธอกัดฟันพูดเค้นทีละคำ
จักรกฤษกับกนกอรพากันพยักหน้า แสดงท่าทางว่าต่างเชื่อฟังเธอ
แล้วจึงระงับเปลวเพลิงที่พลุ่งพล่าน เชอร์รีนโทรหาครูญาณินที่โรงเรียน ขอให้เธอช่วยหาห้องชุดให้
ใครจะรู้ว่ามันเป็นการโทรที่เหมาะเจาะ ครูญาณินบอกว่าห้องข้างๆ มีให้เช่า เธอจะโทรไปถามเจ้าของห้องให้
เชอร์รีนเคยไปห้องของครูญาณิน โดยธรรมชาติแล้วจึงรู้ชัดเจนในลักษณะ ขนาด และการคมนาคมขนส่ง ดังนั้นจึงตกลงทันที
เพียงครู่เดียวก็ต่อรองราคาเรียบร้อย เหลือแค่เซ็นสัญญาและจ่ายเงินก็เสร็จ
ให้พ่อแม่ไปย้ายของก่อน เธอไปพบเจ้าของห้องกับครูญาณิน เพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ที่เหลือ
หลังจากที่ครูญาณินลาหยุด ก็รีบไปร้านกาแฟที่เชอร์รีนรออยู่
“ครอบครัวพวกคุณมีบ้านไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมรีบร้อนหาเช่าบ้านล่ะ หรือว่าคุณอยากย้ายออกมาใช้ชีวิตอยู่เอง”
เชอร์รีนยิ้มขมขื่นพลางส่ายหน้า บอกเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบแก่นลิน
หลังจากฟัง นลินตระหนักได้โดยทันที โกรธพฤติกรรมของทับทิมมาก แต่ก็เข้าใจอย่างมากว่ามันทำอะไรไม่ได้ ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาของตัวเอง!
“ไปเถอะ เราไปดูห้องกัน”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เชอร์รีนตรวจดูอย่างละเอียดทั่วทุกพื้นที่หลายรอบ ไม่มีรอยแตกและร่องรอยความเสียหาย
เจ้าของห้องยืนอยู่ข้างหลังเธอ “คุณผู้หญิงวางใจได้ ห้องนี้ดีไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะรีบไปต่างประเทศเพื่อดูแลลูกชาย คงจะไม่มีทางปล่อยเช่า!”
เธอพยักหน้าและหันไป “งั้นเรามาเซ็นสัญญากันเถอะค่ะ”
เซ็นสัญญาและจ่ายเงินเรียบร้อย จักรกฤษกับกนกอรก็ขนของมาพอดี
แล้วทั้งสี่คนก็ยุ่งกับการทำความสะอาดห้อง จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จสิ้นก็หกโมงแล้ว ปกติวันในเดือนสิบสองนั้นสั้น เวลานี้จึงมืดแล้ว
กนกอรทำอาหารเสร็จเรียบร้อย จะเป็นจะตายก็จะให้นลินอยู่ทานข้าวด้วยกัน ไม่สามารถปฏิเสธได้ นลินจึงยิ้มตกลง
เพิ่งนั่งลงบนโต๊ะอาหาร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นมือถือของนลิน เธอหยิบขึ้นมา “ฮัลโหล?”
ฉับพลันนั้นไม่รู้ว่าอีกฝั่งพูดอะไร สีหน้าของเธอซีดไร้สีเลือดในทันที ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่มือที่ถือตะเกียบยังสั่นเล็กน้อย
เห็นท่าทางของนลิน คิ้วของเชอร์รีนขมวดอัตโนมัติ ในใจเป็นห่วงเล็กน้อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“คุณลุงคุณป้าคะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องด่วนต้องไปก่อน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของพวกคุณค่ะ”
เพิ่งสิ้นเสียง นลินก็ลุกขึ้นเตรียมจะไป แต่เชอร์รีนรีบดึงมือเธอไว้ และลุกขึ้นด้วย “ไปด้วยกัน”
นลินลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
กระทั่งนั่งบนรถแท็กซี่ เธอถึงได้ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมสีหน้าคุณแย่ขนาดนี้”
นลินใช้สองมือกุมใบหน้าพร้อมกับค่อยๆ พูดออกมา “น้องชายของฉันเมาแล้วก่อความวุ่นวายในบาร์ ตอนนี้กำลังมีเรื่องกับคนอื่นอยู่”
ไม่น่าแปลกใจ เชอร์รีนให้คนขับรถแท็กซี่ขับรถเร็วขึ้น จากนั้นโทรไปหาเลอแปง เกรงว่าวันนี้คงไปสอนไม่ได้แล้ว
ครู่ต่อมา โทรศัพท์มือถือถูกเชื่อมต่อ เธอพูดไปตามตรง “เลอแปง ขอโทษนะ วันนี้เกรงว่าคงไปสอนไม่ได้แล้ว เธอไม่ต้องรอนะ”
“ชีวิตส่วนตัวของคุณครูเชอร์รีนค่อนข้างยุ่งจังนะ…….” ในตอนท้าย เสียงทั้งกดต่ำและหนักมาก นำพามาซึ่งเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอันเป็นเอกลักษณ์อย่างชายที่เป็นผู้ใหญ่
เธอชะงัก หัวใจเต้นเร็วขึ้นฉับพลัน อดไม่ได้ที่จะเม้มปากแห้งผากเล็กน้อย ก่อนจะพูดจบในหนึ่งลมหายใจ “คุณออกัส รบกวนบอกเลอแปงให้ฉันด้วย ถ้ายังไงฉันวางสายก่อน!”
เธอวางสายแล้วสูดหายใจเข้าลึก อัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างเร็วเกินไป