ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 140 คุณออกัสอาลัยอาวรณ์ฉันเหรอ
ความประหลาดใจของออกัสก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเชอร์รีนเลย คิ้วหนาขมวด แววตาเคร่งขรึม “คุณมาได้ยังไง?”
หยาดฝนยิ้มตอบ“ได้ยินคุณยายบอกว่าพวกคุณมาที่นี่ ฉันก็เลยอยากมาดูบ้าง ได้ยินว่าที่นี้วิวสวยตลอดปีเลย”
ได้ยินดังนั้น เชอร์รีนก็ยกยิ้มมุมปาก เพียงแต่มีนัยเย็นเยียบและประชดประชันเจืออยู่
การชมวิวทิวทัศน์คงเป็นเรื่องลวงโลก มีเจตนาแอบแฝงถึงจะเป็นเรื่องจริง……
“สุขภาพเป็นยังไงบ้าง?” คิ้วงามของเขายังคงขมวดแน่น อารมณ์ระหว่างคิ้วนั้นยากแท้หยั่งถึง
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ หมอบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว วิ่งยังได้เลยค่ะ” การเป็นห่วงเป็นใยของเขาทำให้หยาดฝนยิ่งรู้สึกเบิกบานใจมากขึ้น
ได้ยินทั้งสองสนทนาราวกับไม่มีคนอื่น เชอร์รีนก็จิบเล็บที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดจะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
เธอไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก เธอสวมเสื้อกันหนาวทับชุดนอน จากนั้นก็เดินผ่านพวกเขาออกไป
คฤหาสน์หลังนี้ตั้งโดดๆเพียงหลังเดียว บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้นาๆชนิด ถึงแม้ฟ้าจะมืดมิด ทว่าแค่พึ่งแสงไฟก็สามารถเห็นทัศนียภาพเด่นชัดแล้ว
อากาศเย็นสดชื่นมาก ทำให้เบิกบานและผ่อนคลายเมื่อสูดอากาศเข้าเต็มปอด ความหดหู่ในใจเธอจึงมลายหายไปทีละนิด
เธอเดินบนถนนที่ปูด้วยหินสายเล็กๆจนสุดท้ายแล้วก็หันหน้ากลับไปทางเดิน
ตอนออกมาเป็นเวลาสองทุ่ม ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว จึงออกมาสองชั่วโมงพอดี
เวลาสองชั่วโมงไม่มากไม่น้อย เธอคิดว่าคงเพียงพอที่จะทำให้ทั้งสองคุยกันเสร็จ การไม่เห็นอะไรย่อมสงบสุขเป็นเรื่องธรรมดา ตอนนี้เธอสามารถกลับขึ้นไปพักผ่อนได้แล้ว
แต่ใครจะไปรู้ เธอพึ่งก้าวเข้าคฤหาสน์ก็เห็นทั้งสองไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
ได้ยินเสียงฝีเท้า ออกัสกวาดสายตามองพร้อมกับกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ทำไมพึ่งกลับมา?”
ได้ยินดังนั้นเชอร์รีนก็ยิ้มอย่างแดกดัน เขาไม่รู้สึกว่าไม่ควรถามอย่างนี้ต่อหน้าหยาดฝนหรอกเหรอ?
หยาดฝนก็มองมาด้วยสีหน้าอ่อนโยน เสียงใสราวกับนกกระจิบ“ใช่ เชอร์รีน เธอกำลังท้องอยู่ ตอนกลางคืนอากาศหนาวมาก หากไม่ระวังจะเป็นหวัดได้ ดังนั้นควรระมัดระวังถึงจะดี”
ผู้หญิงคนนี้ละมุนละม่อมไปทุกด้าน รู้จักรุก รู้จักถอย ยิ่งรู้ว่าเวลาไหนควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไร
ทว่าเธอกลับไม่ชอบผู้หญิงประเภทนี้สุดๆ รู้สึกจอมปลอมเกินไป
“คุณใจกว้างอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ?” เชอร์รีนมองหยาดฝนแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก และจ้องเขม็งเธอ
“เชอร์รีน ฉันไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่” ใบหน้าของหยาดฝนไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ยังคงอ่อนโยนดุจเดิม
“ฟังไม่เข้าใจหรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ?” เชอร์รีนฉีกหน้ากากทั้งสองออกทันที “คุณรักเขาไม่ใช่เหรอ?มีเจตนาแอบแฝงที่มาที่นี่ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
หยาดฝนก้มหน้านั่งบนโซฟาอย่างเงียบๆ เมื่อเทียบกันแล้ว เชอร์รีนเหมือนเป็นฝ่ายพูดคาดคั้นอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“ในเมื่อรักเขารักขนาดนั้น แต่กลับมาพูดจาเป็นห่วงฉัน ใส่ใจฉันอย่างนี้ คุณไม่รู้สึกคลื่นไส้ แต่ฉันรู้สึกคลื่นไส้และอึดอัดมาก”
นิ้วมือขาวผุดผ่องราวต้นหอมกำปลายเสื้อไว้อย่างไม่รู้ตัว หยาดฝนเงยหน้าด้วยนัยน์ตาอ่อนนุ่ม “เชอร์รีน ฉันพูดจากใจจริง ไม่ได้พูดเสแสร้งสักคำ”
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นคำจริงใจหรือไม่ ฉันไม่สนใจ แต่ฉันไม่อยากฟังคำเป็นห่วงจากคุณ ไม่อยากฟังแม้แต่คำเดียว คุณเข้าใจไหม?”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าหยาดฝนหม่นหมองเล็กน้อย เอ่ยปากพูดว่า“ขอโทษด้วย ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้สึกไม่ดีกับฉันมากเพียงนี้”
“คำนี้พูดถูก ฉันไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับคุณเลยแม้แต่นิดเดียว คุณใจกว้าง สามารถทนได้ แต่ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นคนใจแคบ ไม่อาจทนมองเสี้ยนหนามได้ ตามหลักแล้ว ฉันเป็นเมียของเขา และคุณมีศัพท์เป็นอาของเขา ตอนนี้คุณแทรกตัวเข้ามาอย่างนี้ ไม่ว่าพวกคุณจะรักกันมากแค่ไหน แต่ตอนนี้คุณก็เป็นแค่เมียน้อย”
หยาดฝนเป็นคนสูงศักดิ์หยิ่งผยองแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินสองคำนี้ เธอก็ต้องกัดริมฝีปากจนเป็นรอย
“พอแล้ว” เสียงต่ำและแหบส่งเข้ามา ออกัสที่ไม่พูดมาตลอดเอ่ยปากขึ้น ซึ่งกำลังพูดกับเชอร์รีน
เชอร์รีนเหยียดยิ้มเย้ยหยัน พลางมองเขา“ปวดใจเหรอ?”
ถึงแม้ใบหน้าออกัสจะบึ้งตึงมาก ทว่าก็ไม่ได้ระเบิดอารมณ์ เพียงกล่าวเสียงขรึมไม่กี่พยางค์อย่าง “หยุดเมื่อพูดได้พอสมควรเถอะ”
“คำนี้หมายความว่ายังไง ฉันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันเข้าใจความหมายคำว่า เมียน้อยมาก”คล้ายกับเชอร์รีนไม่ได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เอ่ยต่อไปว่า
ครั้งนี้หยาดฝนไม่ได้เงียบอีกต่อไป กล่าวว่า“เชอร์รีนเธออย่าพูดไม่น่าฟังขนาดนั้นเลย ฉันรู้สถานะตัวเองตอนนี้ดี มันวางตัวไม่ถูกจริงๆ แต่ฉันรักเขา เขาก็ต้องการฉัน ถึงเธอจะด่าฉันยังไง ฉันก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าวแน่”
เชอร์รีนรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เธอหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นก็กลับมาเย็นชาและกล่าวเสียงเย็นเยียบต่อ “ฉันไม่เคยให้คุณถอยนี่ ไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วเธออยากพูดอะไรกันแน่ เชอร์รีนเธอพูดเลย ฉันจะตั้งใจฟัง”
“ในเมื่อมีใจกันทั้งสองฝ่าย ฉันก็ไม่มีเหตุลขัดขวางพวกคุณหรอก ฉันยอมหย่าให้ และคืนตำแหน่งให้พวกคุณ เป็นไง?”
ถึงแม้เชอร์รีนจะพูดเนิบช้า ทว่ากลับขบฟังพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำมาก
ที่ผ่านมา เธออยากประคับประคองชีวิตแต่งงานสุดความสามารถ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นนี้แล้ว
เขารักเธอ และเธอก็รักเขา ส่วนตนเป็นเพียงคนที่ไม่สำคัญคนหนึ่ง
อีกอย่าง หยาดฝนมักจะตามต้อยๆอยู่ด้านหลังเสมอ รักสามเศร้าอย่างนี้มันใช้ได้ที่ไหน?
มีใครเคยเห็นบ้าง สามีภรรยาไปฮันนีมูนแล้วมีเมียน้อยตามไปด้วย แถมยังอยู่ในคฤหาสน์หลังเดียวกันอีก?
เธอรู้สึกตลกสิ้นดี เหนือสิ่งอื่นใดคือ เธอยอมรับไม่ได้ เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว การจบชีวิตคู่คือทางออกที่ดีที่สุด ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเถอะ
พวกเขาไม่ต้องพะว้าพะวังเพราะเธออีก และเธอก็จะไม่ต้องทนมองภาพบาดตาบาดใจที่ทำให้เจ็บปวดรวดร้าวอีก เธอไม่มีทางยอมรับได้เลย
หยาดฝนอึ้ง จากนั้นก็มองไปยังออกัส ระหว่างคิ้วงามพิสุทธิ์ของเธอวูบไหว ไม่ต้องสงสัย เวลานี้ เธอรู้สึกเปรมปรีดิ์เหลือแสน
เชอร์รีนเสนอหย่า และตอนนี้สุนันท์ก็ไม่ได้ขัดขวางเธอ สำหรับเธอแล้วนับว่าเป็นโอกาสทองที่ไม่ควรพลาด
“ผมเคยบอกว่า ผมจะไม่พูดประโยคซ้ำเป็นรอบที่สองอีก” สีหน้าออกัสดำสนิท น้ำเสียงเย็นเยือกขึ้นมา
“แต่ฉันรู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องพูดเป็นรอบที่สอง พวกคุณรักกัน ฉันเป็นส่วนเกิน งั้นฉันถอยออกก็สิ้นเรื่อง คุณออกัสทำท่าเช่นนี้เพราะอะไร?” เชอร์รีนยิ้มเย็นอย่างไม่เข้าใจ
ความหงุดหงิดในใจยากจะสรรหาถ้อยคำมาบรรยายได้ ออกัสรู้สึกชิงชังกับถ้อยคำที่เธอเอื้อนเอ่ยยิ่งนัก
“หรือคุณออกัสอาลัยอาวรณ์ฉัน?”
เชอร์รีนจ้องมองเขา พลางเอ่ยเสียงเชื่องช้า
“ถ้าเป็นสมัยโบราณ คุณออกัสสามารถกอดซ้ายกอดขวาได้ สามารถเสพสุขกับการมีเมียรายล้อมมากหน้าหลายตา แต่เสียดาย ที่นี่คือยุคปัจจุบัน คุณกินข้าวจากถ้วยแล้วยังไปมองข้าวในหม้อไม่ได้ คุณจะเวียนไปมาระหว่างผู้หญิงสองคนไม่ได้”
ออกัสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเธออยู่อย่างนั้น คล้ายกับจะทิ่มแทงเธอให้ทะลุก็ไม่ปาน
เชอร์รีนก็ไม่ได้หลบสายตา เผชิญสายตากัน“เริ่มต้นการแต่งงานด้วยการแลกเปลี่ยน การสิ้นสุดจึงไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณออกัสคิดว่าการหย่าจะส่งผลกระทบต่อคุณ งั้นหนึ่งปีหลังจากคลอดลูกแล้วค่อยหย่ากัน ฉันไม่เอาทรัพย์สินอะไรทั้งนั้น ฉันต้องการแค่ลูกอย่างเดียว และระหว่างพวกคุณจะพัฒนาถึงขั้นไหนก็สุดแล้วแต่พวกคุณเลย”
เสียงเย็นเยียบของเขาพูดลอดไรฟันออกมา“คุณคิดได้รอบคอบและครอบคลุมมาก”
“อืม” เชอร์รีนพยักหน้า “ไม่มีทางเลือก ฉันเกลียดสถานการณ์ตอนนี้มาก และไม่ชอบหน้าเธอมาก เรียกได้ว่าขยะแขยงมากเลย ฉันไม่อยากเห็นเธอแม้แต่แวบเดียว ไม่งั้นฉันกินข้าวไม่ลง”