ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 142 หรือว่า นายกำลังกลัวเชอร์รีน
ตอนเช้าตรู่ตีห้า เชอร์รีนตื่นขึ้นมา ตลอดทั้งคืนเธอแทบไม่ได้หลับเลย รู้สึกว่าตัวเองหลับๆตื่นๆอยู่ตลอดเวลา
ก็เลยไม่นอนมันซะเลย เธอแต่งตัวแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้อง แต่เพิ่งยืนขึ้นมาก็ต้องชะงักอยู่กับที่
ประตูห้องของหยาดฝนเปิดออกพอดี คนที่เดินออกมาก่อนคือออกัส เสื้อผ้าบนตัวของเขายับเยิน โดยเฉพาะกระดุมบนคอเสื้อของเขาที่เปิดออกเยอะมาก แผงอกของเขาเปิดหลาอยู่ต่อหน้าเธอ
ผมสีดำขลับยุ่งเหยิง ไม่เป็นทรง ลมหายใจถี่และเร็ว ไม่รู้เมื่อกี้ไปทำอะไรมา
ต่อมา หยาดฝนก็เดินตามออกมา บนตัวเธอก็มีแค่ชุดนอนบางๆ แต่ตอนนี้กลับดูยับเยินมาก เมื่อวานสีหน้ายังซีดเซียวอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูแดงก่ำมีน้ำมีนวลขึ้นมา
แววตาเธอเป็นประกาย หายใจถี่มากขึ้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้ากลับยังยิ้มแย้ม
ภาพนี้ กระแทกเข้าจิตใจของเชอร์รีนอย่างแรง ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกสองมือเย็นวูบ อยากขยับ แต่กลับขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย
ออกัสก็เห็นเธอแล้ว แววตามืดมนของเขากวาดตามองมาอย่างเย็นชา เขาก้าวเท้าเดินผ่านตัวเธอไป แล้วเดินไปข้างหน้าทันที
หยาดฝนก็เดินตามหลังเขา ตอนที่เดินผ่านเชอร์รีน รอยยิ้มมุมปากของเธอดูจะสะใจมาก บนตัวมีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่มีเสน่ห์……
แต่ว่า เมื่อคืนเธอเพิ่งพูดเงื่อนไขออกไป พวกเขาก็อดใจรอไม่ไหวที่จะนอนด้วยกันเลยงั้นเหรอ?
ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองทนไว้ รับได้กับทุกเรื่อง แต่พอมาเห็นภาพนี้กับตาตัวเอง สมองของเธอก็ว่างเปล่าไปหมด
หรือว่า เมื่อคืนพวกเขานอนด้วยกันงั้นเหรอ?
ภายในสมองคิดเรื่องนี้ไปมา เชอร์รีนหายใจถี่ กัดฟันกรอก นานมากถึงจะสงบลงได้ เธอนั่งลงบนโซฟา ในมือถือแก้วน้ำอุ่นไว้ ให้มือตัวเองอุ่นขึ้นมาหน่อย
พูดแบบนั้นออกไปแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมีชื่อแต่ไร้ตัวตน ไม่ว่าเมื่อคืนทั้งสองจะทำอะไร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเธอทั้งนั้น
เธอดื่มน้ำอุ่นในแก้ว แต่มือเธอกลับยังสั่นอยู่ตลอด สั่นจนหยุดไม่ได้……
ฮันนีมูนงั้นเหรอ?
นี่คงเป็นการฮันนีมูนของออกัสกับหยาดฝนมากกว่า ไม่ใช่ของเธอหรอก ก็ดี ตอนแรกเธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ไม่ต้องผิดหวังมากด้วย
แต่ เธอเจ็บปวดจนหัวใจชินชาไปหมด เธอนั่งอยู่บนโซฟานานมาก แต่ทั้งสองยังคงไม่กลับมา อาจจะเป็นหนึ่งชั่วโมง หรือสองชั่วโมง หรือสามชั่วโมงแล้วก็ได้……
ความรักก็เป็นแบบนี้ ตอนที่เลือกเส้นทางนี้แล้ว ก็ถอยหลังไม่ได้อีก นอกจากว่า จะปลดปล่อยตัวเองได้……
ถ้า ปลดปล่อยตัวเองไม่ได้ งั้น สิ่งที่เจอในภายภาคหน้าก็คือความเจ็บปวดที่มีจนไม่รู้จักจบจักสิ้น
นานมาก เชอร์รีนก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป ตอนนี้ฟ้าก็สว่างมากแล้ว แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมา ดอกไม้ต้นหญ้ารอบๆก็เบ่งบานออกมาเต็มที่
กลิ่นดอกไม้หอมกรุ่นกระจายไปทั่วทิศ เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ มันหอมมาก แต่เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจที่จะดื่มด่ำกับมันเลย
รถเบนซ์คันสีดำที่เคยจอดอยู่นอกคฤหาสน์ก็หายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่า สองคนนั้นออกไปแล้ว
แสงแดดในยามเช้าดูอบอุ่นและนุ่มนวลมาก แต่ตอนนี้ เชอร์รีนกลับรู้สึกแสบตา ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็รู้สึกปวดตามากด้วย
ด้วยเวลาที่พัดผ่านไปเรื่อยๆ สักพัก เชอร์รีนก็ทำใจให้สงบได้ แม้จะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังหายใจได้ตามปกติ
จนถึงวันนี้ หลังจากตอนเช้าที่สองคนนั้นออกไปจากคฤหาสน์พร้อมกันก็มีสามวันเต็มแล้ว
เวลาสามวันนี้ จะว่านานไหมก็นาน จะว่าสั้นไหมก็สั้น อยู่คฤหาสน์เดียวกัน แต่สามวันนี้ เธอยังไม่เห็นสองคนนั้นกลับมาเลย
ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า หรือตอนเย็น เธอก็ไม่เห็นสองคนนั้นอีกเลย
หรือว่า สองคนนั้นช่วงนี้นอนอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ?
ในใจของเธออดไม่ได้ที่จะเดาแบบนี้ แม้ในใจเธอจะรับไม่ได้ก็ตาม
เธอรู้ดีว่า จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่งั้น คงมีแค่เธอที่ถลำลึกเข้าไปมากขึ้น จนไม่อาจเอาตัวเองออกมาได้
ช่วงนี้ เขาแสดงออกได้อย่างชัดเจนมาก ในใจเขารักแต่หยาดฝนเพียงคนเดียว เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลยด้วย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากรักษาการแต่งงานครั้งนี้ไว้ แต่ในใจเขารักคนอื่น ในตอนที่หัวใจของชายคนหนึ่งไม่ใช่ของเธอแล้ว จะเอาการแต่งงานที่มีแค่ชื่อแต่ไร้ตัวตนไปทำไมกัน?
เธอจะโทรมแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ในใจเขาไม่มีเธอ แล้วจะทำให้เขากลับมารักเธอได้ยังไง?
ปรับอารมณ์ในช่วงนี้ให้ดีขึ้น เธอพักผ่อนตามเวลาทุกวัน ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ เดินเล่นและดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ ให้จิตใจตัวเองสงบลง
แม้ตอนกลางคืนจะนอนไม่ค่อยหลับ แม้จะรู้สึกเหงาและเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เธอก็ต้องผ่านมันไปให้ได้
……
ภายในป่าไม้ไผ่ที่เงียบงัน
ป่าไผ่กว้างใหญ่ ใบไผ่เขียวขจี กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกว้างใหญ่จนไม่มีที่สิ้นสุด ทำเอาท้องฟ้าก็เป็นสีเขียวขจีไปด้วย
วันนี้อากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีฝนตกลงมาตลอด แต่ใบไผ่กลับดูน้ำฝนชะล้างจนมีสีสวยมากกว่าเดิม
หยาดฝนถือร่มเดินอยู่ตรงกลางถนนเล็กๆภายในป่าไผ่ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับป่าไผ่
เธอไม่เคยเห็นป่าไผ่ที่สวยขนาดนี้มาก่อนเลย ดูเขียวขจี ใบไผ่ก็ใหญ่ยาว พัดไปตามสายลม มีเสียงกระทบเล็กน้อย
ออกัสเดินตามหลังเธอ ทั้งสองไปข้างหน้าอย่างนั้น หยาดฝนกลับหลังหันแล้วพูดด้วยรอยยิ้มร่าเริงว่า: “ออกัส บรรยากาศที่นี่สวยจังเลยนะ เมื่อก่อนพวกเราก็เคยไปป่าไผ่หลายที่ แต่ไม่สวยเหมือนที่นี่เลย เอ้านี่ เอาโทรศัพท์ไป ถ่ายรูปให้ฉันหน่อย”
หยาดฝนหยุดเดินแล้วพูดขึ้น เธอยืนอยู่ตรงหน้าป่าไผ่ จากนั้นก็กลับหลังหัน
มือใหญ่ของเขาที่มีข้อกระดูกเห็นได้ชัดจับโทรศัพท์เอาไว้ แล้วเปิดกล้องออก จากนั้นก็กดถ่าย
หยาดฝนขยับเข้าไปดูรูปถ่าย จากนั้นก็พูดว่า: “พวกเราถ่ายด้วยกันหนึ่งรูปเถอะ”
นานมากแล้ว เธอกับเขามีรูปคู่แค่รูปเดียวเอง ตอนนี้พอมีโอกาสแบบนี้แล้ว เธอไม่อยากปล่อยมันไปเลย
ได้ยินแล้ว ในสมองของออกัสก็กลับนึกถึงตอนที่อยู่บนกำแพงเมืองจีน ผู้หญิงคนนั้นเคยพูดแบบนี้กับเขา แต่ว่า เขากลับไม่ตกลง
นานมากกว่าจะรู้สึกตัว หยาดฝนมองเขาด้วยแววตาแปลกประหลาด แต่กลับเห็นแววตาที่มืดมนของเขา เธอจึงเดาไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงได้เหม่อลอยขนาดนั้น
“ออกัส……” เธอเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ออกัสกะพริบตา ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเรียบเฉย เขาขยับมุมปาก แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า: “ฉันช่วยเธอถ่ายดีกว่า……”
“แต่ว่า ฉันอยากถ่ายคู่กับนายมากกว่านะ” หยาดฝนจ้องมองเขานิ่งๆ ดวงตาอ่อนโยนใสแจ๋ว
สามวันมานี้ ทั้งสองนอกจากไม่ได้นอนด้วยกัน เวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ด้วยกันตลอด
เทียบกับสามปีก่อน ตอนนี้เวลาที่อยู่ด้วยกันดูเยอะมากขึ้น อีกอย่าง ไม่มีการขัดขวางของสุนันท์ ทุกอย่างก็ดูอิสระและผ่อนคลายมากขึ้น
สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือมีเชอร์รีนเพิ่มขึ้นมา!
อีกอย่าง อยู่ด้วยกันมาหลายวัน หยาดฝนรู้สึกเขาพูดน้อยลง ไม่เหมือนกับเมื่อสามปีก่อนที่เคยอยู่ด้วยกันเลย
แต่ต่อมา เธอก็ปล่อยวางแล้วล่ะ เวลาผ่านไปตั้งสามปี จะพูดน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เหรอ?
“ฉันไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไหร่ เธอก็รู้ดี……” ออกัสยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับและมองไปที่เธอนิ่งๆ
“ฉันเข้าใจดี แต่ผ่านไปตั้งสามปี ฉันแค่อยากถ่ายรูปกับนายเอง ไม่ได้เหรอ?” แววตาเธอเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ
คิ้วเรียวยาวขยับเล็กน้อย ออกัสกำลังจะพูดนั้น หยาดฝนกลับแย่งพูดก่อน: “หรือว่า นายยังกลัวเชอร์รีนอยู่?”
ตอนแรก เขายังใจเย็นอยู่ ไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แต่พอได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้ ในใจเขากลับรู้สึกเหมือนมีไฟปะทุร้อนขึ้นมาทันที