ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 155 อื้ม พวกเรารู้จักกันจริง
เชอร์รีนตั้งกฎให้ซาราง กลางคืนนอนดึกที่สุดห้ามเกินเก้าโมง
ทว่า เพราะว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน บวกกับเธอในตอนนี้ที่กำลังดีใจมีพลังงานมากมายอยู่ จึงปล่อยไป ให้เธอเล่นอีกสักพัก
กนกอรเดินเข้ามา ในมือถือขนมซองใหญ่ซองเล็กเต็มไปหมด ไปซื้อพร้อมกับตอนที่ไปซื้อผักช่วงเย็นทั้งหมด
ขมวดคิ้ว เชอร์รีนอดไม่ไหวจับไปที่หน้าผาก “แม่ แม่ซื้อขนมเยอะขนาดนี้ทำไมเนี่ย?”
“แน่นอนว่าให้หลานรักของฉันกินอยู่แล้ว!” กนกอรพูดอย่างสมเหตุสมผล
“แต่ว่า แม่ก็ห้ามซื้อเยอะขนาดนี้ แบบนี้จะตามใจจนเธอเสียนิสัยได้” เธอรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ขนมสามถุงใหญ่ นี่ยังจะไหวเหรอ?
“หลานของฉัน ฉันไม่ตามใจใครจะมาตามใจ?”
จริงๆ แล้ว ในใจของกนกอรและจักรกฤษยังมีความรู้สึกปวดใจและสงสารอยู่ ซารางไม่มีคุณพ่อ ดังนั้นพวกเขาต้องรักและเอ็นดูมากขึ้น เติมเต็มความรักนั้นกลับเข้าไป
จนปัญญา เชอร์รีนได้แต่เอ่ยขึ้นว่า “ช่วงเวลานี้กินอาหารหวานเยอะไปหน่อย เธอถึงขั้นมีฟันผุแล้ว”
“แกสามารถแบ่งให้เธอกินได้ กินวันละนิดวันละหน่อย” กนกอรไม่สนใจเธอเลย นำขนมไว้บนโต๊ะ หลังจากที่หยุดไปสัก สุดท้ายก็ถามขึ้นว่า “เธอตัดสินใจจะพาซารางใช้ชีวิตแบบนี้ไปโดยตลอดเหรอ?”
พอได้ยินแล้ว เชอร์รีนตะลึงงันไปสักพัก รักษาความสงบ ไม่ได้พูดอะไร ในใจของเธอเข้าใจดีว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร
“สองสามปีก่อนซารางยังเล็กอยู่ บวกกับเธอก็พึ่งหย่า ฉันรู้ว่าเธออยากพักผ่อนใจ อยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆ เรื่องพวกนี้ฉันต่างก็เข้าใจ ตอนนี้ซารางสามขวบกว่าแล้วนะ!”
คำพูดชี้แนะที่จริงใจมีความหมายลึกซึ้ง กนกอรมองไปทางเธอแล้วพูด
“แม่ ในใจหนูรู้ความเหมาะสมดี ดึกขนาดนี้แล้ว แม่รีบไปพักผ่อนเถอะ หนูจะได้กล่อมซารางหลับแล้ว” เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางผลักร่างกายของกนกอรออกจากห้องไป
ถึงแม้ว่าในใจจะรำคาญ ทว่ากลับทำอะไรเธอไม่ได้เลย ได้แต่ถอนหายใจยาวและจากไป
แอร์เปิดอยู่ ทว่าซารางก็ยังเหงื่อแตกทั้งศีรษะ หลังจากที่ล้างหน้าและล้างเท้าให้เธอ กล่อมเธอนอน เชอร์รีนนั่งอยู่ข้างหน้าของหน้าต่าง มองไปทางท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิด เหม่อลอย
……
วันถัดไป
หลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้ว ชารีฟก็ไปสัมภาษณ์ที่บริษัท
จักรกฤษ กนกอร เชอร์รีน และทับทิม ต่างก็พาเด็กทั้งสองไปที่สวนสาธารณะ
บริษัทตั้งอยู่ในถนนการค้าที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมือง S สูงถึงหกสิบชั้น กระจกบานใหญ่หักเหภายใต้แสงอาทิตย์และแพร่แสงสว่างที่แสบตาออกมา
ก้าวเข้าไปในห้องโถงของบริษัท ชารีฟเริ่มมีความระมัดระวังตัวมากขึ้น แน่นอนว่ารับสมัครคนมากมายอยู่แล้ว ทว่าเขาคิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเยอะขนาดนี้!
ทั้งห้องโถงของบริษัทต่างก็นั่งเต็มไปหมด มองออกไป ต่างก็เป็นศีรษะสีดำของผู้คน
ได้ข่าวว่า บริษัทรับแค่ห้าคน ทันใดนั้น ชารีฟรู้สึกว่าข้างหน้ามืดไปหมด มองไม่เห็นความหวังเลยแม้แต่น้อย
และเวลานี้ รปภ.กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ให้ผู้คนหลีกทางออกมาทางหนึ่ง
หลังจากนั้น ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเข้ามา กำลังกระซิบอะไรบางอย่างกับผู้ชายที่อยู่ข้างหน้า ท่าทีให้ความเคารพ สามารถเห็นได้ว่าตำแหน่งของผู้ชายสูงแค่ไหน
เห็นเพียงแต่ ร่างเรียวของเขาถูกหุ้มอยู่ในสูททรงตรง ลมหายใจที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายก็สูงส่งและน่าภาคภูมิ ใบหน้าที่หล่อเหลา นัยน์ตาโตสองชั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ดูขี้เล่นและโรแมนติก ฝ่ามือที่ใหญ่เล่นโทรศัพท์อย่างสบายๆ ไปด้วย พลางฟังรายงานจากข้างหูด้วย
ก่อนหน้านี้ผู้ที่มาสมัครมีผู้หญิงไม่น้อย เวลานี้ต่างก็ถูกการปรากฏตัวของผู้ชายคนนี้ดึงดูดความสนใจไปหมด ไล่มองตามคนคนนั้นอย่างใกล้ชิด
บางคนถึงขั้นปิดปากด้วยความตื้นตัน คิดไม่ถึง จะสามารถเจอผู้ชายที่น่าหลงใหลในสถานที่นี้ได้!
คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้หยุดรออยู่ที่ห้องโถง แต่ว่าตรงไปที่ห้องสัมภาษณ์
ผู้ชายเดินเข้ามา พนักงานทุกคนต่างก็ลุกขึ้น “ท่านประธาน”
“ทำงานต่อเลย ทำเหมือนก่อนหน้านี้ คิดซะว่าฉันไม่อยู่ก็พอแล้ว” ระหว่างที่พูด เขานั่งลงยังตรงตำแหน่งสัมภาษณ์ โดยขายาวของเขาไขว่ห้างเข้าหากันอย่างสง่างาม ถือชา จิบไปทีละคำ
ผู้สัมภาษณ์มองไปทางผู้บริหารระดับสูงของบริษัท รู้สึกไม่เข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้า
ผู้บริหารระดับสูงได้แต่ยักไหล่ ให้พวกเขาดำเนินงานต่อ
ด้านหน้าของชารีฟมีคนยืนต่อแถวร้อยกว่าคน อีกอย่าง เวลาสัมภาษณ์สั้นมาก แต่ละคนเข้าไปไม่กี่นาทีก็ออกมาแล้ว
ไม่ต้องถามถึงผลลัพธ์เลย แค่มองสีหน้า ก็พอจะรู้แล้วว่าคือสถานการณ์แบบไหน
ดังนั้น สำหรับการสมัครงานในครั้งนี้ ชารีฟไม่ได้หวังอะไรแล้ว แต่ว่า มาก็มาแล้ว ถือว่าลองสักตั้งแล้วกัน สัมภาษณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
รอตั้งแต่เช้าจนถึงบ้าน ในที่สุดก็ถึงคิวชารีฟ
เปิดประตูห้องสัมภาษณ์ออก พอเขาเห็นผู้สัมภาษณ์สองสามแถว ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ชาไปทั้งศีรษะเลย
นั่งลงยังตำแหน่งที่อยู่ตรงกลาง ชารีฟแอบสูดหายใจลึก พยายามให้ร่างกายผ่อนคลายลง
ผู้สัมภาษณ์สบตากัน ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปากถาม กลับมีเสียงดังขึ้นในขณะนี้พอดี เห็นเพียงแต่ ประธานที่ไม่พูดอะไรเลยและนั่งอยู่ที่นั่นในตอนแรกกลับลุกขึ้นมากะทันหัน
เขาเดินมายังข้างหน้า เอนตัวไปยังบนโต๊ะด้วยความเกียจคร้าน แล้วจิบชาไปอีกคำ มองชารีฟ “น้องสาวของนายคือ?”
คำถามที่อยู่นอกเหนือความคิดนี้ทำให้ชารีฟยืนตะลึงอยู่กับที่ หลังจากผ่านไปสักพัก จึงจะรู้ตัว “เชอร์รีน”
ทว่า ทำไมประธานท่านนี้ถึงถามถึงเชอร์รีน? น่าแปลกจริงๆ!
ริมฝีปากที่บางยิ้มโค้งขึ้น ผู้ชายเอ่ยปากพูด “ให้เธอมาพบฉัน จากนั้น นายก็จะถูกบริษัทรับสมัคร เข้าใจไหม?”
กลืนน้ำลาย ชารีฟเหมือนดั่งถูกทุบตีจนมึน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้คือสถานการณ์ยังไงกันแน่ “ท่านรู้จักน้องสาวของผม?”
พอได้ยินแล้ว นิ้วมือที่สะอาดสง่างามของผู้ชายลูบไปที่คางเบาๆ แสงสว่างจากนัยน์ตาโตสองชั้นที่แพร่ลึกล้ำมาก “อื้ม พวกเรารู้จักกันจริงๆ”
จนกระทั่งเดินออกมาจากตึกใหญ่ของบริษัท จังหวะการเดินของชารีฟชิวมาก เหมือนว่ากำลังเหยียบอยู่บนสำลี รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง
ไม่ต้องสัมภาษณ์ ไม่ต้องไถ่ถาม แม้กระทั่งตอบก็ไม่ต้อง ขอแค่พาเชอร์รีนไป เขาก็สามารถทำงานแล้ว!
พอพูดกลับมาแล้ว น้องสาวของเขาไม่ธรรมดาจริงๆ กลับรู้จักกับประธานของบริษัทข้ามชาติ!
ในห้องสัมภาษณ์ ริมฝีปากของผู้ชายยิ้มโค้งขึ้นอย่างลึกซึ้ง วางแก้วชาลงบนโต๊ะ ยักคิ้วเล็กน้อย “ลำบากทุกคนแล้ว”
ทิ้งประโยคนี้ไว้ เขาหันหลัง เธอไปทางนอกห้อง ผู้บริหารระดับสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบตามขึ้นมา
ผู้สัมภาษณ์ได้แต่มองกันไปมองกันมา เมื่อวาน ท่านประธานพึ่งบินกลับมาจากอเมริกา วันนี้ จู่ๆ ก็ออกมาแบบนี้
ใครสามารถบอกพวกเขาได้บ้างว่า นี่ท่านประธานอุบอะไรไว้อยู่กันแน่?
กลับมาถึงบ้าน ชารีฟนำเรื่องนั้นบอกกับทุกคน พอฟังแล้ว หัวใจของกนกอรกระตุกขึ้นทันที คัดค้านอย่างเด็ดขาด “ไม่แน่อาจจะเป็นคนร้ายก็ได้ ห้ามไปเด็ดขาด!”
ชารีฟรู้สึกตลก “แม่ แม่เวอร์เกินไปหรือเปล่า! เขาเป็นถึงประธานบริษัทเลยนะ จะเป็นคนร้ายอะไรได้ยังไง!”
“งั้นทำไมถึงต้องให้น้องสาวแกไปถึงจะรับแกเข้าทำงานล่ะ?” กนกอรรู้สึกว่าไม่ค่อยปกติ
“ท่านประธานเขาบอกแล้ว เป็นคนสนิทกับเชอร์รีน”
จักรกฤษก็ออกความเห็นของตัวเอง “ฉันก็รู้สึกว่าห้ามไป”
“เขาเป็นบัญฑิตอย่างถ่องแท้ หน้าตาดูดสง่างาม อีกอย่างยังเป็นประธานของบริษัท มีทุกอย่าง? พูดตามจริง แค่เกรงว่าส่งเชอร์รีนไปยังตรงหน้าเขา เขาอาจจะไม่ชอบเลยก็ได้!”
กนกอรทุบไปยังหัวเขาโดยตรง “ขโมยคนไหนจะเขียนคำว่าขโมยไว้บนหัว?”
“นี่พวกพ่อแม่พูดไปมั่วหมดเลย บริษัทนั้นเดือนละหกพันเลยนะ พ่อแม่ พวกพ่อแม่อยากให้โอกาสดีๆ แบบนี้บินหายไปเหรอ?”
เชอร์รีนที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูลองไปดู ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะรู้จักหนูจริงๆ”
งานที่เงินเดือนเดือนละหกพัน เธอไม่สามารถให้โอกาสที่ดีขนาดนี้บินหายไปได้ ทันใดนั้น ทับทิมก็พูดขึ้น “หนูไปกับเธอค่ะ พ่อแม่ก็สามารถวางใจได้”
ไปกันสองคนล้วนปลอดภัยและวางใจกว่าไปคนเดียว ดังนั้น กนกอรและจักรกฤษจึงตอบตกลงแล้ว
ทว่าซารางเห็นคุณแม่จะจากไป ก็ไม่พอใจแล้ว ขยับร่างกายตัวน้อยๆ ไปมั่ว งอแงจะตามไปด้วย
เห็นท่าแล้ว กนกอรกอดร่างกายตัวเล็กนั่นเข้ามาในอ้อมกอด พูดกล่อมเบาๆ “ซารางไปทานไอศกรีมกับคุณยายก่อน แล้วค่อยตามหม่ามี๊ไป ดีไหม”