ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 181 นอกจากคุณ ก็ไม่มีคนอื่นอีก
“พอแล้วๆๆ เธอเองก็คงจะง่วงแล้ว พักผ่อนเถอะ ฉันให้คนขับรถรออยู่ข้างล่าง เออ ใช่แล้ว อาหารบำรุงที่ซื้อมาพวกนั้นเธออย่าลืมกินล่ะ แล้วก็คุณยายของเธอก็กลับมาจากอเมริกาแล้ว สุขภาพร่างกายคงจะไม่เลวเลย ฉันเห็นตอนที่ฝึกฝนอบรมนั้นก็ดูมีพลังมากพออยู่นะ!”
นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเชิญแขกออกไป สุนันท์ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วกำชับอีกครั้ง
“อืม……”
เดินออกมาจากคอนโด สุนันท์นึกไปถึงที่คุณยายมัทนาโทรมาหาเมื่อเช้านี้ ทั้งบ่นและไม่พอใจเธอกับสิงหาไปต่างๆนานา
ตั้งแต่ที่มีอาการเลือดออกในสมองกะทันหันแล้วส่งไปที่อเมริกา สิงหาไม่เคยไปหาเลย ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทำเกินไปมากจริงๆ!
ตอนนี้ หัวหน้ามัทนากลับมาจากอเมริกาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรู้สึกหรือเหตุผล เขาก็จำเป็นจะต้องไปที่เมืองบีเจรอบหนึ่ง
หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เธอกดเบอร์โทรออก : “ขอโทษค่ะ หมายเลขนี้ไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว กรุณาติดต่อใหม่ภายหลัง…..”
ได้ยินแล้ว ความโมโหที่อยู่ในใจของสุนันท์ก็พุ่งขึ้นมา ไม่มีคนรับใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะโทรอยู่แบบนี้ เขารับสายเมื่อไหร่ เธอก็ค่อยหยุด!
โทรไปโทรมาหลังจากนั้นหกถึงเจ็ดครั้ง ทางปลายสายก็รับสายขึ้นมา เพียงแต่ลมหายใจที่ส่งผ่านโทรศัพท์มานั้นกลับมีลมหายใจหนักและดูขุ่นๆอยู่บ้าง
“คุณทำอะไรอยู่ ทำไมกว่าจะรับสายถึงได้นานขนาดนี้ ฉันโทรหาเจ็ดรอบแล้ว!” สุนันท์รู้สึกเดือด
“กำลังอนุมัติเอกสารอยู่ พรุ่งนี้ข้างบนจะมีคนลงมาตรวจสอบ คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมาสั้นๆ” น้ำเสียงของสิงหาฟังแล้วดูแหบพร่าอยู่บ้าง
สุนันท์ได้ยินแล้วรู้สึกว่าผิดปกติ : “เสียงของคุณเป็นอะไรไป? ฟังแล้วทำไมดูไม่ปกติเลย?”
“เป็นหวัดน่ะ อากาศหนาว คุณรีบพูดมาเถอะว่ามีธุระอะไร” สิงหาเร่ง
“ร้อนขนาดนี้ ทำไมถึงเป็นหวัดได้ คุณดูแลตัวเองยังไง ให้ฉันไปอำเภอซีซ่าไปดูแลคุณไหม?”
“ร่างกายคุณเองก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก มักจะปรับสภาพไม่ได้อีกอยู่แล้ว มาทางนี้ร่างกายจะต้องต่อต้านไม่ได้แน่ๆ คนที่ต้องมารู้สึกสงสารก็ยังเป็นผมอยู่ดี อยู่ที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ไปเถอะ เดี๋ยวผมจะหาเวลากลับไป”
ฟังอย่างละเอียดแล้ว ก็สามารถฟังออกถึงการขอไปทีในน้ำเสียงของสิงหา แต่สุนันท์ที่ทำให้เกิดความหวานชื่นนี้กลับฟังไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว ความโมโหที่ผลุดขึ้นมาในใจเหล่านั้นก็หายไปแล้วเช่นกัน : “ฉันเชื่อคุณค่ะ แล้วก็แม่ฉันกลับมาจากอเมริกาแล้ว คุณหาเวลาไปเมืองบีเจหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะโกรธเอาได้”
“อืม รู้แล้วครับ มีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าไม่มีแล้ว ผมวางสายแล้วนะ”
“โอเคค่ะ คุณอย่าลืม–”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ทางปลายสายนั้นก็วางสายไปแล้ว และในตอนที่วางสายไปนั้น สุนันท์แอบได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกสิงหา น้ำเสียงทั้งอ่อนโยน ทั้งนุ่มนวล เหมือนน้ำเลยอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้น เธอก็ส่ายหน้า ตัวเองจะต้องหูฝาดแน่ๆ
สี่ปีนี้เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว การแสดงออกของสิงหานั้นดีขึ้นมาก บางครั้งสองสามเดือนกลับมาที ถึงแม้จะไม่ได้ค้างที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ แต่ก็จะอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนเธอ ไปเดินช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้า แม้แต่ในหนังสือพิมพ์ของเมืองบีเจยังรายงานข่าวว่าพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่เป็นแบบอย่างอีกด้วย!
……..
วันรุ่งขึ้น
เชอร์รีนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ล้างหน้าหวีผม หลังจากนั้นก็นั่งรถไปที่คอนโด ป้าบัวเป็นคนเปิดประตู เมื่อเห็นก็รู้แล้วว่าเธอคือหม่ามี๊ของคุณหนูตัวน้อย
ซารางกำลังเล่นกับเจ้าดิ๊ก ได้ยินเสียงแล้ว ร่างเล็กก็รีบพุ่งเข้าไปหา แล้วกอดขาเธอเอาไว้ : “หม่ามี๊!”
ยื่นมือออกมา แล้วอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น หลังจากที่เชอร์รีนขอบคุณป้าบัวแล้ว ก็นั่งลงบนโซฟา อยู่เป็นเพื่อนซาราง
ส่วนออกัสก็ไปที่บริษัทแล้ว ดังนั้นในคอนโดนอกจากสองคนแล้วก็เหลือเพียงป้าบัว สบายใจเป็นอย่างมาก
อยู่ด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงตอนกลางคืน มองดูนาฬิกาแล้ว เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว เชอร์รีนอยากจะทำโจ๊กให้กับซารางก่อนแล้วค่อยกลับ
ขณะที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว ออกัสก็เดินเข้ามา หางตากวาดมองไปเห็นรองเท้าส้นสูงสีขาวคู่นั้นที่อยู่ตรงประตูทางเข้าห้องโถง ดวงตาก็ไหวติงเล็กน้อย มุมปากยกขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เชอร์รีนก็ถือโจ๊กที่ทำเสร็จแล้วออกมา เรียกซารางเบาๆ : “มาทานโจ๊กเร็วๆเข้า”
“หม่ามี๊ ไม่มีของคุณอาหรอคะ?” ซารางมองดูโจ๊กถ้วยเดียวที่อยู่บนโต๊ะ
“ไม่มีค่ะ คุณอาไม่หิวหรอก จะต้องทานมาแล้วแน่ๆ ซารางทานเองนะคะ หม่ามี๊จะต้องรีบไปแล้ว อย่าดื้อนะ”
คิ้วน้อยๆขมวดเข้าหากัน ซารางไม่เข้าใจ : “ทำไมหม่ามี๊ต้องรีบไปด้วยคะ คุณอา หม่ามี๊นอนที่นี่ไม่ได้หรอคะ?”
ดวงตาของออกัสหรี่ลง ล็อคด้านหลังบางของหญิงสาวเอาไว้ น้ำเสียงทุ้มต่ำผสมกับความรวดเร็ว : “ได้สิ”
“ดีจัง! หม่ามี๊นอนที่นี่ได้แล้วนะคะ!”
“ซารางอย่าดื้อสิคะ! คุณอามีแฟนแล้ว ถ้าหากหม่ามี๊นอนที่นี่ แฟนของคุณอาจะเสียใจเอานะ” เธอหลบตาลงต่ำ ไม่ได้มองออกัส
“แฟน? แต่ว่าหนูไม่เห็นว่าคุณอาจะมีแฟนเลยนี่คะ!” ซารางหมุนตัวมา : “คุณอามีแฟนแล้วหรอคะ?”
ลมหายใจของเชอร์รีนดูเหมือนกับกลั้นหายใจไปเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว มือที่ถือช้อนอยู่ค้างอยู่กลางอากาศ ทั้งๆที่ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นแต่กลับอดที่จะอยากฟังคำตาบที่ออกมาจากปากเขาไม่ได้
อย่างเงียบๆและกำลังรอคอย….
ขณะที่ออกัสเตรียมจะพูดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้นมาในเวลานี้พอดี เป็นของเชอร์รีนนั่นเอง
ลมหายใจที่กลั้นอยู่นั้นหายไป เธอดึงสติกลับมา ในใจนั้นยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ สายโทรเข้ามาได้พอดีเสียจริงๆ!
และยังมีอีก เธอรู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเองเมื่อครู่ ไม่คิดว่าจะตั้งใจอยากที่จะได้ยินคำตอบของเขาขนาดนั้น เธอบ้าไปแล้วจริงๆ!
วางช้อนลงไปในชาม แล้วกดรับสาย เป็นองค์ชายโทรเข้ามา บอกเรื่องของทนายความ
เชอร์รีนเดินไปที่ระเบียง กดรับสาย หลังจากที่คุยเรื่องค่าทนายกับองค์ชายเสร็จแล้วนั้น เธอก็หมุนตัวเตรียมจะกลับเข้าไปในห้องรับแขก แต่จู่ๆกลับพบว่าไม่รู้ว่าด้านหลังของเธอนั้นมีร่างสูงมาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
ออกัสยืนอยู่ข้างหลังเธอ เงามืดปกคลุมเธอเอาไว้ ดวงตาลึกซึ้งเหมือนกับท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ร่างของเขาแนบชิดกับเธอ ดวงตาก็มองเข้าไปในดวงตาของเธอตรงๆ ทั้งลึกซึ้ง ทั้งหนักแน่น ราวกับต้องการจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ ดูดเธอเข้าไปอย่างแรงหลังจากนั้นก็กลืนเธอเข้าไป
“คอนโดหลังนี้ นอกจากคุณแล้ว ก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกเป็นคนที่สอง เป็นคุณคนเดียวเท่านั้น คืนนี้ อยู่ที่นี่เถอะครับ…..”
เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทั้งเบาทั้งอ่อนโยน ราวกับลมพัดผ่านไป แต่กลับมีเสน่ห์ยั่วยวนเช่นนี้
และโดยไม่ได้ตั้งใจ หัวใจของเธอนั้นเต้นแรงและเร็วขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้เพราะคำพูดและน้ำเสียงแบบนั้นของเขา
และดวงตาของเขานั้นก็สะท้อนเพียงแค่เงาของเธออยู่ในนั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก ราวกับว่าในโลกของเขานั้นมีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้ว ดวงตาของเขานั้นก็ดำสนิท เหมือนกับหมึกสีดำที่ระยิบระยับอยู่ แต่เวลานี้กลับดูลึกซึ้ง ดึงดูด และดูลึกลับ
ถ้าหากดวงตาของผู้ชายคนหนึ่งยาวและแคบมากเกินไป เช่นนั้นแล้วตอนที่หมดรักแล้วเห็นได้ชัดว่าจะมีเพียงความโหดร้ายและไร้ความรู้สึกเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าหากมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งก็จะทำให้ทุกคนนั้นหลงใหลได้
หลังจากที่เคลิบเคลิ้มและงุนงงอยู่พักหนึ่ง เชอร์รีนก็ดึงความคิดที่หลงทางและเลยไปไกลกลับมา ข่มอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ควรมีและหัวใจที่เต้นแรงทั้งหมดเอาไว้ กลับสู่สภาพความนิ่งและความเย็นชาเอาไว้เหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ