ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 192 พี่สะใภ้สวยจริงๆ
เชอร์รีนถูกพวกเขาเอาแต่เรียกว่าพี่สะใภ้จนรู้สึกอึดอัด องค์ชายเตือนคนทั้งโต๊ะให้ทำตัวตามปกติ
“เรียกว่าพี่สะใภ้มันไม่ปกติยังไงเหรอ? พวกเรารู้ว่าหัวหน้ายังไม่ได้แต่งงาน เลยทำการซ้อมไว้ล่วงหน้าก่อนเพื่อทำให้พี่สะใภ้คุ้นเคย ถ้าไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาที่ทุกคนสวมเครื่องแบบทำความเคารพพี่สะใภ้ จะได้ไม่ทำให้พี่สะใภ้ตกใจอีก”
พวกเขาย่อมรู้ว่าตอนนี้หัวหน้ายังคงอยู่ในสถานะโสด ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจเชียร์หัวหน้าอยู่!
“ใช่แล้ว ทั้งสถานีตำรวจยังมีใครไม่รู้ว่าหัวหน้าแอบชอบพี่สะใภ้อยู่บ้าง รูปถ่ายบนโต๊ะก็เป็นพี่สะใภ้กับเจ้าหญิงน้อย ความคิดของหัวหน้านั้นเดาได้ไม่ยากเลย ฮ่าๆๆ!”
พูดจบคนทั้งโต๊ะก็หัวเราะขึ้นมา องค์ชายถูกทุกคนแฉจนรู้สึกเก้อเขินวางตัวไม่ถูก ใบหน้าอันหยาบกร้านแดงระเรื่อขึ้น
ตรงกันข้ามเชอร์รีนกลับมีท่าทีผ่อนคลาย เธอยิ้มบางๆ และกล่าวทักทาย “ฉันชื่อเชอร์รีนค่ะ ยินดีที่ได้พบกับทุกท่าน”
แต่เธอก็คาดไม่ถึงว่าองค์ชายจะเอารูปถ่ายของเธอกับซารางวางไว้บนโต๊ะในสำนักงาน เขาเป็นคนมีนิสัยขี้อาย ไม่น่าจะเป็นคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้
“หัวหน้า คุณดูหน้าคุณสิ แดงขนาดนั้น!”
“คุณดูพี่สะใภ้สิว่าดูสง่าแค่ไหน หัวหน้า ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณนะ แต่ตอนนี้ผู้ชายตัวโตอย่างคุณยังสู้พี่สะใภ้ไม่ได้เลย!”
“ฮ่าๆๆ หัวหน้าสภาพนี้เหมือนเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
“พอได้แล้ว! กินข้าวซะพวกนายจะได้หุบปาก!” องค์ชายพูดขึ้น
ทั้งโต๊ะมีแต่ผู้ชาย ดังนั้นจึงดูแลเชอร์รีนและซารางเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนใจกว้าง พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง เข้ากันได้ดี บรรยากาศสนุกนานมาก เสียงหัวเราะดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นว่ามีซารางอยู่ด้วย ผู้ชายทุกคนบนโต๊ะจึงดื่มเหล้าแค่พอรู้รสแล้วหยุด ดื่มน้อยๆ แต่พอสนุก สำคัญที่สุดคือความสุขใจ เรื่องดื่มเป็นเรื่องรอง
“หัวหน้า จะไล่พวกเราแล้วเหรอ? คืนนี้ไม่ชวนพวกเราไปที่ KTV หรือผับหน่อยเหรอ?”
“ใช่แล้ว! พาพี่สะใภ้กับเจ้าหญิงน้อยไปด้วย ไปสนุกกัน!”
“เด็กไม่เหมาะจะไปสถานที่แบบนั้น ถ้าพวกนายอยากไปจริงๆ คืนพรุ่งนี้ฉันจะพาพวกนายไป วันนี้ดึกมากแล้ว” องค์ชายมีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด!
เขาจะปล่อยให้ซารางไปสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร!
“เห็นหัวหน้าปกป้องแบบนี้ จุ๊จุ๊ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่านะ แต่ความคิดของหัวหน้ามันออกจะหัวโบราณไปหน่อย!”
“หัวโบราณแล้วไม่ดียังไง? นั่นเป็นเพราะนายไม่เคยแต่งงานมีลูก ถ้านายได้แต่งงานมีลูกก็จะรู้เอง ว่าไม่สามารถปล่อยปละละเลยเรื่องการสั่งสอนอบรมลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง!”
จากนั้นผู้ชายทั้งโต๊ะก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องคัมภีร์เลี้ยงลูก ทำให้เชอร์รีนมองพวกเขาด้วยมุมมองใหม่
คิดไม่ถึงเลยว่า ปกตินอกจากพวกเขาจะไขคดีแล้ว ยังสนใจความรู้ในด้านนี้ด้วย แถมยังพูดคุยกันอย่างมีหลักการ
ซาราง แลบลิ้นสีชมพูออกมากินเค้กสตรอเบอร์รี่ที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่มือน้อยๆ ทั้งสองยังยุ่งอยู่กับการแกะกล่องของขวัญ
มีของขวัญมากมาย ทั้งหมดเป็นขององค์ชาย อืม คุณอาองค์ชายเคยบอกว่า สิ่งไหนที่เป็นของเขาก็เป็นของซารางด้วย!
แต่หลังจากที่ซารางแกะมันออก ใบหน้าน้อยๆ ก็มีแต่ความผิดหวัง ถ้าไม่ใช่รองเท้าก็เป็นเนกไท หรือไม่ก็เข็มขัดกับกระเป๋าสตางค์ ไม่มีสักชิ้นที่เป็นลูกอมเลย!
พวกเขากินไปคุยไปจึงใช้เวลารับประทานอาหารนานมาก หลังจากเสร็จสิ้นลงทุกคนก็พากันบอกลาแล้วแยกย้ายไป
สุดท้ายในห้องส่วนตัวจึงเหลือเพียงสามคน เนื่องจากเป็นผู้ชายเสียส่วนใหญ่ เค้กสตรอเบอร์รี่ที่ตัดแบ่งออกมาแล้วจึงแทบไม่มีใครแตะต้องเลยนอกจากซาราง
เชอร์รีนยังไม่ทันได้ลุกขึ้นก็เห็นเด็กน้อยซารางยืนเขย่งอยู่บนเก้าอี้ เอาแขนสั้นๆ ของเธอเหนี่ยวเค้กสตรอเบอร์รี่บนโต๊ะอย่างยากลำบาก
“ลูกกำลังทำอะไรอยู่น่ะ ซาราง?” เธอถามขึ้น
แต่ซารางไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ได้แต่เลียริมฝีปากที่เปื้อนครีมเหมือนลูกแมวตัวน้อย “แม่จ๋า พวกคุณอาไม่กิน หนูจะเอากลับไปกินเอง!”
เชอร์รีนหลุดขำ เอามือบีบแก้มกลมๆ ของเธอ “วันนี้สมใจจอมตะกละเลยล่ะสิ!”
องค์ชายเองก็อดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เอื้อมมือไปหยิบเค้กแล้ววางลงในกล่อง ก่อนจะส่งให้ซาราง “ถือมันไว้”
“ค่ะ คุณอาองค์ชาย” ซารางยิ้มตาหยีโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ทั้งสดใสและแวววับ
เชอร์รีนก็เตรียมของขวัญมาเป็นเช่นกัน มันคือกระเป๋าสตางค์ เธอยักไหล่อย่างไม่มีทางเลือก “ซ้ำเลย!”
ในบรรดาของขวัญที่ให้องค์ชาย มีกระเป๋าสตางค์อย่างน้อยสองใบแล้ว ของเธอเป็นใบที่สาม!
องค์ชายยิ้มพลางเอามือลูบหัว “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ของขวัญผมอีกอย่างดีไหม?”
“ของขวัญอะไร?” เธอให้เขาพูดออกมาก่อน แล้วค่อยดูว่าสามารถจัดการให้ได้หรือไม่
“ทำอาหารประจำบ้าน บะหมี่อายุยืนสักชามหนึ่ง เอาง่ายๆ ก็พอ”
มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เชอร์รีนเห็นด้วย “แต่เพิ่งกินข้าวไป คุณยังกินไหวเหรอ?”
“อาหารกลางวันน่ะกินแล้ว เหลืออาหารเย็น”
“โอเค งั้นทำที่บ้านคุณแล้วกัน เดี๋ยวเราไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก่อน”
หลังจากการตัดสินใจแล้ว ทั้งสามคนก็ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ใกล้ๆ องค์ชายเข็นรถเข็น ในขณะที่เชอร์รีนเลือกซื้อผัก
ซารางที่เดินตามหลังทั้งสองรู้สึกเบื่อ ดวงตากลมโตกลอกกลิ้งไปมา พอเห็นว่าวที่ลอยอยู่บนฟ้านอกซูเปอร์มาร์เก็ต ดวงตาก็เป็นประกายและวิ่งตามออกไป
แต่เชอร์รีนและองค์ชายไม่ทันได้สังเกตเห็น ยังคงเลือกซื้ออาหารอยู่
พอเห็นโยเกิร์ตที่ซารางชอบกินมากที่สุด เธออยากจะถามซารางว่าจะเอารสอะไร แต่พอก้มลงมองก็ไม่เห็นซารางอยู่ข้างกาย!
ทันใดนั้นเหงื่ออันเย็นเยียบผุดออกมาบนแผ่นหลังของเชอร์รีน หน้าซีดเผือด มือเท้าร้อนผ่าว รีบตะโกนขึ้นมากลางซูเปอร์มาร์เก็ต “ซาราง ซาราง…”
แต่ก็ยังไม่เห็นซารางอยู่ดี และไม่ได้ยินเสียงตอบจากซารางเลย องค์ชายสงบสติอารมณ์ลง ถามผู้คนรอบข้างว่าเห็นเด็กผู้หญิงอายุสี่ขวบ สวมกระโปรงสุ่ม ถือกล่องเค้กสตรอเบอร์รี่อยู่ในมือบ้างหรือไม่
เมื่อบรรยายเช่นนี้ ก็มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมา “เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กผู้หญิงที่คุณพูด เธอวิ่งออกไปข้างนอกซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว”
ได้ยินดังนั้น องค์ชายก็สาวเท้าวิ่งออกไปนอกซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนเชอร์รีนก็หันหลังวิ่งตามออกไป
ผู้ชายมักจะวิ่งเร็วกว่าผู้หญิงเสมอ เมื่อองค์ชายเห็นซารางยืนอยู่กลางถนน กำลังเก็บว่าวอยู่ท่ามกลางรถที่สัญจรไปมา ขนก็ลุกชันไปทั้งตัว
เขาเร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า ในขณะที่ตะโกนเรียกซารางไปด้วย “ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ซาราง อย่าขยับ!”
เมื่อซารางได้ยินเสียงเรียกก็หันกลับมา ชูว่าวในมือแล้วพูดกับองค์ชายด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณอาองค์ชาย ว่าว!”
ในขณะที่องค์ชายอยู่ห่างจากซารางสองก้าว รถคันหนึ่งที่กำลังวิ่งมาก็อยู่ห่างจากซารางเพียงสองก้าวเช่นกัน
คนบนรถก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขารีบเหยียบเบรก แต่ด้วยความตกใจเกินไปเลยพลาดเหยียบคันเร่ง
รถเร่งความเร็วพุ่งเข้าชนซาราง องค์ชายกัดฟันตัดสินใจกระโจนเข้าไปหา ดึงซารางเข้ามาในอ้อมกอดเพื่อปกป้องเธอ รถพุ่งเข้าชน ร่างทั้งสองลอยขึ้นสูงและร่วงลงกับพื้นช้าๆ เลือดไหลนองพื้นดิน…
บนศีรษะขององค์ชาย ร่างกายของซารางและใบหน้าน้อยๆ เต็มไปด้วยเลือด ทั้งสองนอนสลบไสลอยู่บนพื้น นิ่งไม่ไหวติง…
ส่วนเค้กในมือซารางกระเด็นออกไปไกล ตอนที่เค้กถูกชนร่วงหล่นลงมา เค้กกับกล่องได้แยกออกจากกัน
เค้กครีมสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดสีแดง ดูจัดจ้านแสบตา สีขาวผสมกับสีแดง ไม่รู้ว่าเป็นเลือดขององค์ชายหรือซาราง…
ทันใดนั้น ผู้คนที่เข้ามามุงดูรอบๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ บางคนควักโทรศัพท์มือถือออกมา รีบโทรเรียกรถพยาบาล