ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 25 ต่อไปคือการจัดงานแต่งงาน
“นี่คุณยังอยากจะปิดบังต่อไปใช่ไหม?” เขาใช้ขายาวๆ ก้าวพาดและลงจากเตียง และจัดการถอดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค ร่างกายกำยำ จนเห็นสัดส่วนอย่างชัดเจน ต่อหน้าเธอ
“เปล่า แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ดีพอ” เธอไม่ยอมลืมตาขึ้น เพราะย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่สามารถปิดบังความจริงเอาไว้ได้ แต่ที่ยิ่งกลัวไปกว่าก็คือกลัวว่าคนที่บ้านจะตกใจจนเป็นลมไปแทน
“มันไม่สำคัญว่าคุณจะเตรียมใจไว้ดีหรือยัง เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้พวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี เพื่อเป็นการไม่สายเกินควร เตรียมตัวเลย เราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้…”
เมื่อสิ้นเสียงอันสุขุมทุ้มต่ำของเขาแล้ว เขาก็เดินเข้าห้องน้ำทันที…
กระดาษมันไม่สามารถห่อหุ้มกองไฟเอาไว้ได้ พูดสายเกินควรก็ไม่เท่ากับพูดเสียเนิ่น ๆ เอาไว้ก่อน เธอย่อมเข้าใจทั้งหมดดี และชัดเจนมาก!
แต่เรื่องนี้กับเรื่องอื่นมันไม่เหมือนกันนี่ ไม่สามารถเอามาเปรียบเปรยกันได้!
ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่ของเธอรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่เคยมีแฟนหนุ่ม แต่แค่ชั่วข้ามคืนก็แต่งงานเสียแล้ว แถมยังมีลูกติดท้องอีก!
แค่กลัวว่า พวกเขาจะตกอกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไป เมื่อคิดสถานการณ์อันยุ่งเหยิงที่ต้องเผชิญหน้า จนเธอปวดหัวเล็กน้อย…
ทว่าในเวลานั้นเองไม่ว่าจะพูดทฤษฎีอะไรออกมาก็ตามมันสายเกินแก้แล้ว เพราะว่ารถยนต์ได้มาจอดด้านใต้ตึกที่พักอาศัยแล้ว
เชอร์รีนสูดลมหายใจเข้า อย่างตื่นเต้นมาก หลังจากเตรียมใจมาดีแล้ว ก็เปิดประตู และลงไปจากรถ
แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่ขยับเขยื้อนสักนิด จนเธอหันศีรษะกลับมาอย่างแปลกใจ เพราะเห็นออกัสยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น นิ้วเรียวยาวกำลังเคาะอยู่บนพวงมาลัย พร้อมทั้งหยีตาเล็กน้อย
“ไม่เข้าไปเหรอ?” เธออ้าปากถาม เขาเป็นคนพูดถึงเรื่องที่จะมาเองนะ แต่พอมาอยู่ใต้ตึกแล้ว ทำไมถึงไม่ขยับสักนิดเลยล่ะ?
“รอสักพัก…” เขาเอ่ยปากพูด
รออะไร? เธอไม่เข้าใจเลย
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาทีแล้ว ก็เห็นเลขาเตโชที่เพิ่งเจอหน้ากันเมื่อวานลงจากรถคันสีดำ เขาถือกล่องของขวัญมาสองกล่องอยู่ในมือ ซึ่งมันมีขนาดใหญ่มาก
เลขาเตโช เดินขึ้นข้างหน้า และยื่นกล่องของขวัญให้ “ท่านประธานครับ นี่คือสิ่งของที่ท่านให้ผมจัดเตรียมเอาไว้ครับ”
“อืม…” ออกัสตอบรับ และรับของเอาไว้
สิ่งที่ไม่เคยคิดคือ เขาจะมีด้านที่ละเอียดรอบคอบขนาดนี้ด้วย เชอร์รีนถึงกลับจ้องเขาอย่างแปลกใจมากอยู่สักพัก จนเริ่มหวั่นไหวอยู่บ้าง
เมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขก กนกอรกับจักรกฤษ กำลังจัดจานชามอยู่ เมื่อตอนเห็นออกัสที่ใส่เสื้อกันหนาวขนแพะแคชเมียร์สีเข้ม อันแสนสูงโปร่งและสง่างาม จนเกิดอาการสับสนและไม่เข้าใจสักนิด
สุดท้าย จักรกฤษตั้งสติได้ก่อน “เชอร์คนนี้คือใครกัน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เชอร์รีนได้แต่เม้มริมฝีปากเอาไว้อย่างอึดอัดใจ เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นพูดว่าอย่างไรดี
ออกัสสาวขายาวๆ ก้าวมาทางด้านหน้า พลันใช้แรงแขนอันกำยำดึงเชอร์รีนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา เธอตัวสั่นเล็กน้อย พลันเงยศีรษะขึ้น และมองหน้าเขา
แต่เขากลับไม่มองเธอเลย อีกอย่างสายตายังสบตาไปทางด้านหน้า และเริ่มเผยอปากยาง และยิ้มตอบ “คุณลุงคุณป้าครับ”
การแสดงอากัปกิริยาที่แสนสนิทชิดเชื้อและแสดงความหมายอันคลุมเครือเช่นนี้ มันสามารถแสดงความหมายได้อย่างชัดเจนทั้งหมด จักรกฤษกับกนกอรสบตากันอยากหวาดหวั่น เชอร์ไปมีแฟนหนุ่มตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?
จากนั้น จักรกฤษส่งสัญญาณทางสายตาให้กนกอร จากนั้น กนกอรจึงวางถ้วยชามในมือลง และมองมาที่ออกัส “คุณเป็นแฟนของเชอร์ใช่ไหม?”
“คุณป้าครับ ผมจดทะเบียนกับเชอร์รีนแล้วครับ อีกอย่าง เธอก็ตั้งท้องได้หนึ่งเดือนแล้วครับ” ออกัสพูดจาอย่างอ่อนโยน ไม่มีการข่มขู่ สง่างาม พร้อมทั้งเก็บทุกรายละเอียดอย่างใส่ใจ ความเป็นผู้ดีและความยับยั้งชั่งใจช่างแสดงออกมาได้อย่างหมดความสงสัย
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว เชอร์รีนตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของเขาแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเธอเองนั้นไม่สามารถอยู่นิ่งได้แล้ว จนร่างกายมันเกร็งหนักกว่าเดิม
แต่งงานเหรอ? ท้องด้วย? จักรกฤษอ้าปากค้างตาถลนอย่างยิ่ง ราวกับเป็นก้อนที่ถูกตรึงอยู่กับที่
อากัปกิริยาของกนกอรยิ่งรุนแรงหนักกว่า เพราะร่างกายเริ่มสั่นคลอน พร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างประคองโต๊ะที่อยู่ด้านหลังของตนเอง และหายใจเบาๆ เข้าปอด จากนั้นก็เอ่ยปากถาม เชอร์รีน “ที่เขาพูดมามันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องหลอกลวงกันแน่?”
เพราะว่าเธอเลี้ยงดูลูกสาวตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ขนาดแฟนก็ไม่เคยมี เผลอแวบเดียวมาพูดว่าแต่งงาน แถมยังท้องอีก!
ในฐานะคนเป็นแม่ แล้วจะไม่ทำให้เธอรู้สึกอะไรขึ้นมาสักนิดเลยเหรอ?
เรื่องมันพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางถอยได้แล้ว
เธอกัดฟัน และพูดออกไป พร้อมทั้งพยักหน้า เพื่อเป็นการยอมรับ “แม่ มันคือเรื่องจริง!”
กนกอรยื่นมือออกมา จากนั้นก็ตบหน้าอกของตนเองที่กำลังกระเพื่อมไปมาอย่างแรง จากนั้น ก็ชี้หน้าเชอร์รีน พร้อมทั้งตะคอกใส่เสียงแข็ง “ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แกพูดกับฉันออกมาให้หมด!”
ออกัสย่นคิ้ว และเริ่มขยับปากเล็กน้อย จังหวะที่กำลังจะพูดออกไปนั้น กลับรู้สึกว่าอุ้งมือสัมผัสความอ่อนนุ่มและเนียนละเอียดแทน
ที่แท้ สาเหตุมาจากเธอสอดมือของเธอเข้าไปในฝ่ามือใหญ่ของเขา และประสานมือเขาไว้จนกุมมือด้วยกัน
ข้อนิ้วของเขาเห็นจัดชัดเจน อุ้งมืออันร้อนผ่าว และยังมีความหยาบกร้านอยู่บ้าง ส่วนเธอนั้นขาวเนียน นุ่มนิ่มราวไร้ข้อกระดูก จนมือเย็นเล็กน้อย
เขาเลิกคิ้วขึ้น และหรี่ตาลง พลันแสดงให้เห็นความแปลกใจเล็กน้อย พร้อมทั้งมองมาที่ตัวเธอแสดงอาการหยอกล้อ แววตาลึกซึ้ง ความมืดหม่นอย่างโลดโผน
เชอร์รีนไม่ได้มองมาทางเขา แต่กลับเดินไปทางด้านหน้าสองก้าว เพื่อสบตากับกนกอร
การแสดงออกของเธอนั้นดูจริงจัง เคร่งขรึม สายตาอันแน่วแน่ พร้อมทั้งเน้นย้ำทุกถ้อยคำทุกประโยค “แม่ ชีวิตคนเราก็ต้องบ้าบอกันสักครั้ง หรืออาจจะเพื่อใครสักคน อาจจะเรื่องบางอย่างก็ได้ ตั้งแต่เด็กจนโต หนูก็เชื่อฟังคำพูดของแม่มาตลอด นี่เป็นสิ่งที่เดียวที่เป็นการหักหลัง สำหรับหนูแล้ว ไม่รู้สึกเสียใจสักนิด!”
เมื่อได้ยินแล้วกนกอร ถึงกลับตกตะลึงทันที อารมณ์เหวี่ยงอย่างหนักหน่วงพลันสงบลงทันที และมองเธอไว้ “แกรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรอยู่?”
“รู้ค่ะ!” เชอร์รีนพูดจาอย่างหนักแน่น
กนกอรไม่ได้พูดซ้ำอีก แต่กลับหันตัวเดินออกไปนอนห้อง และพูดกับเชอร์รีนแทน “แกเดินตามฉันมา”
ในห้อง
กนกอรนั่งอยู่บนโซฟา การแสดงออกดูนิ่งสงบ “เจอหน้าพ่อแม่ของทางฝั่งนั้นหรือยัง?”
“เจอแล้ว” เชอร์รีน พูดโกหก พร้อมทั้งแอบวิเคราะห์การแสดงออกของเธออยู่เงียบๆ จนเห็นอาการโล่งใจแล้ว ถึงได้โล่งอก
“ทำไมไม่บอกแม่กับพ่อของแกว่าไปจดทะเบียนกันมาแล้ว?”
เธอสะอึกทันที จากนั้นก็กระแอมออก และพูดอย่างออดอ้อน “หนูก็แค่กลัวว่าพวกคุณจะไม่เห็นด้วย”
กนกอรยังคงมองเธออยู่เช่นเดิน และไล่ถามกลับ “งานแต่งล่ะ? คิดว่าจะจัดไหม?”
“หมอบอกว่าสามเดือนแรกเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด พวกเรากลัวว่าจะเกิดสิ่งไม่ได้ขึ้นกับเด็กเลยไม่คิดจะจัดงาน แต่ว่าเขาเคยพูดว่ารอให้ลูกโตก่อนค่อยจัดงานแต่งงานเพื่อเป็นการทดแทน”
เชอร์รีนสีหน้าปกติหัวใจก็ปกติ พลันเขยิบไปทางด้านหน้า และกอดกนกอรเอาไว้ “แม่ อย่าโกรธกันเลยนะ ได้ไหมคะ?”
กนกอรตีมือเธอ และถอนหายใจออกเบาๆ “ผู้หญิงโตแล้วก็รั้งไม่อยู่ ฉันเลี้ยงดูแกมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ แต่เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานแกกลับปิดบังฉัน แกว่าฉันควรจะโกรธแกไหมล่ะ?”
“ควรค่ะ ควร ควรมากๆ แม่ แม่ตีหนูสักทีสองทีเอาไหม จะได้ระบายอารมณ์?”
เธอทำตัวเหมือนตอนเป็นเด็ก พลันยิ้มและพลิกตัวให้ เพื่อยกแขนขึ้นให้กนกอร เพื่อรอให้เธอตีมือลงมา
กนกอรถึงกลับหุบยิ้มทันที ความโกรธเคืองในใจพลันมลายหายไปแล้ว และดึงมือเธอเอาไว้ “ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่แกตัดสินใจเอาเอง ฉันจะไม่ถามซ้ำ ขอแค่แกใช้ชีวิต อย่างมีความสุขก็พอ”
เบ้าตาแดงน้ำตาคลอเบ้า พลันเดินขึ้นทางด้านหน้า เธอกอดกนกอรเอาไว้ และเริ่มกระซิบพูด “แม่…”
ถ้าพูดว่าบนโลกใบนี้มีคนที่จะดีกับคุณโดยไม่มีเหตุผลเลย เช่นนั้นความหมายคือพ่อแม่แล้วแหละ
จากนั้นก็พูดคุยกันอยู่สักพัก ทั้งสองคนเดินออกมาจากด้านในห้อง แต่กลับเห็นจักรกฤษ กับออกัสกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่
เชอร์รีนเหลือบตามองอย่างสงสัยอยู่สักพัก จากนั้นก็ได้ถอนสายตาออก กนกอรก็เหมือนกัน
หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็กลับออกมา
กนกอรยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง พลันมองรถสีดำคันนั้น ที่ค่อยๆ หายวับไปกับตาทางหน้าต่าง
จักรกฤษนั่งกอดกล่องของขวัญราวกับได้สมบัติมีค่ามหาศาลมา “ชาเขียวปี้หลัวชุน ยากมากเลยที่จะได้เจอชาชั้นยอดสักครั้ง”
เมื่อได้ยินดังนั้นกนกอรก็หันตัวกลับไปจ้องเขาตาเขม็ง “ชา ชา รู้แค่ชาเท่านั้นแหละ!”
จักรกฤษยิ้มตอบ พลันยื่นกล่องของขวัญอีกกล่องมาให้ “ผ้าไหมคลุมไหล่จากซูโจว คุณลองเทียบตัวดูสิ”
“นี่คุณไม่เป็นห่วงลูกสาวของเราสักหน่อยเหรอ? นั่นอะเป็นตระกูลสิริไพบูรณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองsเลยนะเชอร์ แต่งออกไป จะต้องมานั่งเสียใจหรือเปล่า?”
“ฉันว่าคุณชายใหญ่ของตระกูลสิริไพบูรณ์ได้รับการอบรมและมีมารยาทดีมาก อีกอย่างตระกูลสิริไพบูรณ์เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ การอบรมสั่งสอนก็คงไม่ไปไหนไกลหรอก”
แต่ตอนนี้จักรกฤษหมกมุ่นอยู่กับใบชาทั้งหมด “นี่มันเป็นชาเขียวปี้หลัวชุนชั้นยอดเลยนะ เดี๋ยวฉันขอไปชงมาสักกา ลองชิมรสหน่อย”
บนรถคันนั้น
เชอร์รีนนั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับรถ สายตามองออกนอกหน้าต่าง ความคิดเตลิดไปไกล
โกหกจนผ่านไปด้วยดีแล้ว และถือว่าจัดการเรื่องนี้ได้ ทว่าในใจของเธอนั้นไม่ได้ปลอดโปร่งขึ้นมาทันที แต่กลับรู้สึกกดดันขึ้นมา
จู่ ๆ พลันมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ออกัสกดรับสาย และพูดคุยกันเพียงสั้นๆ เท่านั้น แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขากลับเปลี่ยนท่าทีไปเล็กน้อย
จากนั้น ก็เหยียบเบรกอย่างกะทันหัน และเปลี่ยนทิศทางพร้อมทั้งบึ่งรถไปทางด้านหน้าทันที….
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จนเธอรู้สึกแปลกใจและสงสัยตาม “พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
“บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์” เขาพูดกับเธอออกมาหนึ่งคำ
เชอร์รีนนั่งตรงตัวทันที พร้อมทั้งแสดงอาการเกร็ง “พรุ่งนี้จะไปไม่ใช่เหรอ? ฉันยังไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรเลย”
“เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด…” ออกัสใช้ฝ่ามือนวดขมับทั้งสองข้าง ราวกับปวดหัวเล็กน้อย “ของขวัญผมให้เลขาฯจัดการไว้แล้ว”
บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ตั้งอยู่กลางหุบเขามรกต ต่างมีต้นไม้ใบหญ้าโอบล้อมรอบ บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสงบเงียบ ทัศนียภาพงดงามเกินพรรณนา
แต่คนที่สามารถพักอยู่บนเขามรกตได้นั้น ตั้งเป็นคนมหาเศรษฐีมีระดับ ไม่ใช่สถานที่ที่ปุถุชนทั่วไปจะสามารถพักอาศัยอยู่ได้