ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 26 ตอนนี้จะไปหาที่ไหนล่ะ
รถยนต์เคลื่อนตัวทะยานไปบนถนนอันคดเคี้ยว ผ่านไปชั่วครู่ จึงจอดสนิท
รถยนต์ของเลขาเตโชก็มาถึงพอดี เขาลงจากรถ และยื่นของขวัญสองกล่องให้เธอ
เธอได้แต่แอบถอนใจอยู่ในใจ การทำงานของเลขานุการของบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพไร้การเทียบเคียง!
เมื่อผ่านประตูเหล็กดัดขนาดใหญ่เข้ามาแล้ว ทั้งสองคนเดินตามหลังต้อย ๆ เข้าไปในวิลล่าสีขาว
เพิ่งจะอยู่ตรงทางเข้าประตูเท่านั้นเอง ก็ได้ยินเสียงโกรธเคืองกราดเกรี้ยวดังลั่นมาแต่ไกล “ไอ้เวรมันกล้าทรยศการแต่งงานของฉัน! มันกล้าทรยศการแต่งงานของฉัน! รอมันกลับมา เดี๋ยวรอดูว่าฉันจะจัดการตีขามันให้หักไปเลย!”
“พ่อ เดี๋ยวออกัสก็มาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นก็ถามเขาเองก็ยังไม่สาย พ่ออย่าทำให้ร่างกายตนเองต้องโมโหจนล้มป่วยไปเลย”
เสียงผู้หญิงแสนอ่อนโยนนุ่มนวล สุนันท์นั่นเอง
เช่นนั้น เสียงผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้านก็คือคุณตาของเขาเหรอ?
แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเขากำลังระเบิดอารมณ์อย่างแรงกล้า เชอร์รีนตัวสั่นทันที
“คุณตาจะตีขาผมให้หักเลยเหรอ?” น้ำเสียงทิ้งท้ายอันยั่วเย้าปนขี้เกียจ ออกัสจัดการโยนกุญแจรถไว้บนโต๊ะทันที
เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่ใส่ชุดทหารอยู่ ไกรวิทย์ที่ผมดอกเลาก็หันตัวกลับมาทันที พลางใช้สายตาอันโกรธเคืองตะคอกใส่เสียงแข็ง “แถวตรง!”
ออกัสไม่ได้สนใจอะไรเลย พลันถอดเสื้อกันหนาวขนแพะแคชเมียร์บนตัวออก และแขวนไว้ที่ชั้นแขวนเสื้อบริเวณด้านข้าง
แต่เชอร์รีนที่ได้ยินและอยู่ด้านหลังของเขา กลับทำท่าแถวตรงตามสัญชาตญาณทันที ยืนอย่างตรง ขาดแค่ทำความเคารพเท่านั้นเอง
ลักษณะของไกรวิทย์เหมือนเป็นครูฝึกในโรงเรียนที่สุด เธอทำตามนั้น ซึ่งไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ออกัสยิ้มเล็กน้อย พลันยื่นมือไปโอบคนร่างกายเพรียวระหงที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้นเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็มองมายังไกรวิทย์ พลันเลิกคิ้วขึ้น “คุณตา คุณตาทำให้เธอตกใจอยู่นะ…”
เมื่อได้สติกลับมา เธอถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรลงไป พลันเอนแนบกับแผงอกอันกว้างหนาของเขา กระทั่งเธอรับรู้ถึงอาการหัวเราะพร้อมทั้งขยับเขยื้อนเล็กน้อยของเขา
ใบหน้าร้อนผ่าว เธอรู้สึกว่าตนเองน่าขายหน้าชะมัดจริง ๆ ด้วยความเครียดจากอาการเขินอายพลางกระทืบเท้าเขาไปหนึ่งที…
อากัปกิริยาตอบโต้กลับของเชอร์รีนทำให้ไกรวิทย์พึงพอใจมาก การเป็นทหาร เขาย่อมชอบออกคำสั่งกับบรรดาพลทหารอยู่แล้ว
หัวคิ้วอันงดงามของสุนันท์ย่นหากันเล็กน้อย พลางพินิจพิจารณาเชอร์รีนอยู่เงียบๆ “ออกัสคนนี้คือใคร?”
ออกัสหรี่ตาลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวยาวปัดเส้นผมที่อยู่ปะปลายแก้มทั้งสองข้างของเธอออก จากนั้นก็บีบปลายจมูกของเธออย่างสนิทสนมทันที “นี่ยังไม่ทักทายผู้ใหญ่อีกเหรอ?”
ความสนิทชิดเชื้อที่มาอย่างกะทันหันมันทำให้หัวใจของเชอร์รีนเต้นโครมคราม จากนั้น เธอก็ขยับริมฝีปากบาง พลันเปล่งเสียงเรียกเสียงเบาอย่างกระอักกระอ่วน “คุณแม่…”
“หนูจ๊ะอย่าเรียกคนสุ่มสี่สุ่มหน้า เท่าที่ฉันจำได้ฉันไม่เคยมีลูกสาว…”
สุนันท์ทำเสียงเย็นชาใส่ พร้อมทั้งมองเชอร์รีนอย่างไร้ความรู้สึก และไม่แสดงอาการใดๆ ออกทางสีหน้าสักนิด
คำพูดเช่นนี้ ทำให้เชอร์รีนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งน่าอายและเขินอายอย่างมาก
“แม่ แม่ไม่มีลูกสาว ส่วนเธอก็ไม่ใช่ลูกสาวของแม่ด้วย ไม่งั้น เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องเธอก็ต้องเรียกผมว่าแด๊ดดี้ หรือควรจะเรียกผมว่าน้าดีล่ะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าอันสวยงามของสุนันท์ตกใจจนเห็นได้ชัด “เจ้าตัวน้อย?”
ไกรวิทย์ก็หันตัวกลับมา คิ้วเข้มๆ ย่นเข้าหากัน น้ำเสียงดูไม่มีความสุข “กี่เดือนแล้ว?”
“1 เดือน…” ออกัสขยับริมฝีปากบางๆ น้ำเสียงดูไม่สนใจอะไร แต่ตอนที่มองมาที่ร่างกายของเชอร์รีนนั้น กลับอ่อนโยนเหลือเกิน “เหนื่อยไหม? ไปนั่งสักพักไหม?”
ดวงตาอันลึกซึ้งนั่นราวกับซ่อนสายใยแห่งความรัก ความเสน่หา และความลุ่มหลง
เฉกเช่นเดียวกัน ที่ตรึงเชอร์รีนอยู่ในอ้อมกอดนั้น ถ้าไม่รู้เหตุการณ์ที่เป็นอยู่ด้วย เธอก็คงคิดว่าเขารักเธอมากแน่ ๆ
เขา ช่างเป็นนักแสดงฝีมือยอดเยี่ยมดีจริง ๆ …
พลันจ้องตาอันสื่อความหมายของเขาแล้ว เธอค่อยๆ ตกอยู่ในหลุมพราง พลางส่ายหน้าทันที “ไม่เหนื่อยค่ะ”
“นี่คุณ ฉันขอคุยกับคุณสักหน่อยได้ไหม?” สุนันท์กลับมาเป็นคนที่สูงส่งและสง่างามอย่างเก่า
“คุยกันต่อหน้าผมนี่แหละ มันไม่ดีกว่าเหรอ?” ออกัสมองมาที่สุนันท์ เหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาเริ่มพูดต่อทันที “อีกยอ่าง เมื่อวานนี้พวกเราได้จดทะเบียนกันเรียบร้อยแล้ว…”
สุนันท์ ไกรวิทย์หน้าถอดสี จนเปลี่ยนเป็นย่ำแย่มาก
ถ้าพูดว่าไกรวิทย์เมื่อครู่ยังรู้สึกพอใจในตัวเธออยู่เล็กน้อย งั้นตอนนี้มันกลับกลายมลายหายไปหมด เชอร์รีนมองออก
เธอได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในใจ เธอคิดเอาไว้แล้ว ชีวิตต่อจากนี้คงไม่ใช่อยู่สุขสบายแน่นอน
จังหวะนั้นเอง พลันมีเสียงห้วน ๆ ดังแทรกออกมา “ที่พูดออกมานั้นจริงใช่ไหม”
สายตาที่จ้องมองตัวเธอราวกับเข็ม เชอร์รีนหันตัวกลับ ก็เห็นเลอแปงยืนอยู่ด้านหลังเธอด้วยแววตาที่แดงก่ำ พลันกำหมัดแน่น และจับจ้องมองเธอ และพูดย้ำทุกถ้อยทุกคำ “คุณครูเชอร์รีนคำพูดพวกนั้นของพี่ชายใหญ่ของฉัน มันเป็นความจริงหรือโกหกกันแน่?”
เธอกัดฟันเล็กน้อย พลันกระซิบพูด “เลอแปง–” ”
“คุณครูเชอร์รีนตกลงว่าคุณแต่งงานหรือเปล่า?” เลอแปงตะคอกใส่ เส้นเลือดในตาทั้งสองข้างแดงขึ้นกว่าเดิม
ออกัสสาวเท้าก้าวยาว พลันดึงเชอร์รีนมาอยู่ด้านหลังของเขา และใช้น้ำเสียงทุ้มค่ำ พร้อมทั้งหรี่ตาเล็กน้อย “นี่แกเรียกคุยกับพี่สะใภ้แบบนี้เหรอ?”
“พี่สะใภ้…. ฮ่า ๆ …”
การหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาและการเยาะเย้ยใส่ เลอแปงถอยกรูดไปทางด้านหลังทีละก้าว ทีละก้าว จากนั้นก็วิ่งหนีออกไปจากห้องรับแขกทันที
สุนันท์เกิดอาการโมโหจนคุมไม่อยู่ “เลอแปง แกหยุดเดี๋ยวนี้!”
ทว่าเลอแปงทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินอะไรเลย แถมยังไม่หันหน้ากลับมาสักครั้ง
“เลอแปง……” เชอร์รีนตะโกนเรียก และเริ่มขยับเท้า เพื่อเตรียมวิ่งตามไป
แต่เพิ่งจะขยับตัวเอง พลันถูกออกัสคว้าไหล่จากทางด้านหลังแทน เขาหรี่ตาลงอย่างเคร่งขรึม และเหลือกตาขึ้น “เขาก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไป…”
เธอยังรู้สึกไม่วางใจ “แต่ว่า–”
เขาเอนตัวเข้าหา และใช้ท่อนแขนกอดพาดเอาไว้ และเหลือบมองเธออย่างใช้เวลา “วิ่งตามไป แล้วคุณคิดว่าจะพูดอะไร พูดให้ผมฟังหน่อย….”
“……”
เชอร์รีนหมดคำพูดที่จะต่อสู้กลับ ความจริงเรื่องแต่งงานแล้ว แต่กลับจะไปวิ่งตามเขาอีก และเธอจะไปอธิบายกับเขาได้อย่างไรกัน?
ความไม่พอใจมาจุกตัวอยู่ในดวงตาของไกรวิทย์ พลันเหลือบมองเธออย่างเย็นชาอยู่หลายครั้ง และ
สุนันท์เองก็ไม่อยากจะมองต่อ และเดินตามหลังไกรวิทย์ขึ้นชั้นบนไป
สถานการณ์มันวุ่นวายจนเกร็งจนผิดปกติไป พร้อมทั้งไม่จำเป็นต้องอยู่ต่ออีกแล้ว เชอร์รีนหันตัวออก และเดินออกไป
“ส่งผลกระทบจิตใจไหม?” ออกัสเลิกคิ้วขึ้น พลันช้อนตามองเงาอันเพรียวระหงของเธอ
“ไม่ค่ะ เตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” เธอไม่หันศีรษะกลับมา
“คุณนี่มีมั่นใจในตนเองได้ดีจริงๆ …”
เชอร์รีนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สิ่งที่ฉันมีมากที่สุดบนตัวฉันก็คือรู้ใจตัวเองดีพอ”
เมื่อกลับมาที่คอนโดก็ห้าทุ่มแล้ว และยังไม่ทันได้นั่งลงเลย ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
ออกัสกดรับสาย ใบหน้าอันหล่อเหลาพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแทน พลันส่งเสียงตอบรับอย่างแผ่วเบา พลันหยิบเอาเสื้อกันหนาวขนแพะแคชเมียร์ไปด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า?” เชอร์รีนไม่เข้าใจ
“ไปหาเลอแปง…”
“ฉันไปกับคุณด้วยสิ!” เธอรีบอ้าปากพูดทันที
ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ออกัสใส่เสื้อกันหนาวเรียบร้อยไป พลางเดินมุ่งหน้าออกไปทางด้านนอกทันที
การไม่ได้ตอบรับก็เท่ากับเป็นการตกลงแล้ว เชอร์รีนรีบเข้ามาในห้องแล้วจัดการเอากระเป๋าตนเองออก และวิ่งตามไป
ฤดูหนาวทั้งฤดูก็ไม่เห็นว่าหิมะจะตกสักเท่าไหร่ ทว่าหลายวันนี้กลับตกไม่หยุดหย่อน พลันพรมไปทั่วบริเวณ
สีท้องฟ้ามันดึกดื่นมาก อากาศก็หนาวเหน็บเหลือเกิน ดังนั้น รถยนต์บนท้องถนนก็น้อยมาก และคงไม่ต้องไปพูดเรื่องคนเดินอยู่ ซึ่งไม่ค่อยมีเท่าไหร่
เชอร์รีนมองออกหน้าต่าง “ตอนนี้พวกเราจะไปหาที่ไหน?”
“เขาเป็นคนเก็บตัว คงต้องไปสถานที่ที่หาไม่เจอแบบง่ายๆ แน่…” ออกัสเผยอริมฝีปากบาง และเอ่ยออกมา