ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 298 ความจริงก็คือเป็นการปลดปล่อยตัวเองด้วย
เธอพยักหน้า ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ยาว เธออิงศีรษะบนไหล่ของเขา ปิดตา หลังจากนั้นไม่นานประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก คุณหมอเดินออกมา “เดิมทีผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว บวกกับการหายใจเร็วเกินไป จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นลม ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วครับ”
เมื่อวางใจเลย เชอร์รีนก็ส่งออกัสออกจากโรงพยาบาลแล้วหันหลังกลับ
ใบหน้าของเขาหม่นลงมาก หม่นราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเมฆหมอกมืดครึ้มปกคลุม เขามองเธออย่างลึกซึ้งสองสามครั้ง โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงก้าวขาขึ้นไปนั่งรถ
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาคิดในใจไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เขาไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ เขาไม่สามารถทนได้ ไม่อยาก แต่เขาไม่สามารถกระตุ้นกนกอรให้ตื่นเต้นได้อีก
กนกอรฟื้นแล้ว เธอหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินเข้าไป “แม่คะ”
“แกรีบเลิกกับมันเลยนะ!” ลมหายใจของกนกอรยังคงไม่มั่นคง หน้าอกของเธอกระเพื้อมขึ้นลงอย่างแรง
เชอร์รีนเงียบ เทน้ำให้เธอ จากนั้นปอกเปลือกแอปเปิล ไม่ยอมตอบ
กนกอรโกรธมาก จึงโยนแอปเปิลลงพื้น แล้วเอื้อมมือออกไปกวาดแก้วน้ำลงไปที่พื้น “ตอบแม่สิ!”
“แม่คะ หนูอยากอยู่กับเขา!” เธอเงยหน้าขึ้นกะทันหัน สองมือข้างลำตัวกำแน่น
เธอบอกแล้วว่าอยากจะกล้าหาญสักครั้ง อยากลองเพื่อเขาสักครั้ง มันไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก ในใจเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ และวางแผนที่จะลองอีกครั้ง!
ชั่ววินาทีต่อมา ได้ยินเสียง “เพี๊ยะ” กนกอรตบเธออย่างไร้ความปรานี “จักรกฤษ นี่แหละลูกสาวตัวดีที่คุณเลี้ยงมา คุณเห็นแล้วรึยัง!”
เมื่อรับแรงตบ แก้มของเชอร์รีนถูกตบจนหน้าเอียงเล็กน้อย ที่แก้มมีอาการปวดแสบปวดร้อน
ฝ่ามือนั้นอยู่ในสิ่งที่เธอคาดการณ์เอาไว้แล้ว ไม่ได้เกินความคาดหมาย
“ถ้าแกยังอยากจะอยู่กับมัน งั้นตอนนี้ก็ออกไป แล้วอย่ามาที่นี่อีก ฉันจะเป็นตายยังไงก็ไม่ต้องมายุ่ง!”
ขณะที่ต่างฝ่ายต่างยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน หมอและพยาบาลก็เข้ามา ตรวจความดันโลหิตและให้น้ำเกลือ
“แกจะออกไปไม่ออก ถ้าแกไม่ออก วันนี้ฉันจะไม่ยอมให้น้ำเกลือ และไม่มีทางวัดความดัน!”
ไม่เพียงเท่านั้น กนกอรยังจะลงไปที่พื้น ไม่ยอมให้ความร่วมมือ หมอและพยาบาลต่างร้อนใจ รีบขยิบตาให้เชอร์รีน ช่วยไม่ได้ เธอเดินออกไป ปิดประตูห้อง
เนื่องจากอารมณ์เธอตื่นเต้นจนเกินไป คุณหมอจึงให้ยาระงับประสาท เชอร์รีนจึงเงียบลงแล้วผล็อยหลับไป
เชอร์รีนนั่งอยู่ในห้องพักผู้ป่วยจนกระทั่งฟ้ามืด รอยฝ่ามือบนแก้มของเธอยังคงชัดเจนมาก อาการบวมไม่ลดลง
โทรศัพท์เธอสั่น เธอได้สติ ดึงผ้าห่ม จากนั้นเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย ยืนอยู่ตรงทางเดิน ออกัสเป็นคนโทรมา
“คุณโอเคไหม?”
เชอร์รีนพิงกำแพง ตอบกลับเบาๆ “ซารางล่ะ? นอนรึยัง?”
“นอนแล้ว” เขาตอบแล้วถามขึ้นอีกครั้ง “คุณโอเคไหม?”
คำถามสี่พยางค์ง่ายๆเหล่านี้กลับทำให้เชอร์รีนรู้สึกอยากจะร้องไห้ จมูกเธออุดตัน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว”
“แล้วคุณคิดถึงผมไหม?” เสียงที่อบอุ่นทุ้มต่ำของออกัสดังออกมาจากโทรศัพท์ ทั้งนุ่มนวลและไพเราะ
เธอชะงักครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คิดถึง!”
“คิดจริงเหรอ?” น้ำเสียงของเขาเหมือนสะกดความหิว
“ฉันคิด…” เธอค่อนข้างเหนื่อย แต่เสียงของเขาทำให้เธอลังเลที่จะวางสาย
“ผมอยากจะอยู่เคียงข้างคุณในเวลานี้ ไม่อยากให้คุณเผชิญหน้า แบบรับมันไว้คนเดียว เข้าใจไหม?”
เชอร์รีนพยักหน้า “แต่ถ้าแม่เห็นคุณเธอจะรู้สึกตื่นเต้น ดังนั้นคุณจึงมาหรือปรากฏตัวต่อหน้าเธอไม่ได้”
“ใช่ ผมไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าเธอได้ แต่ผมสามารถปรากฏตัวต่อหน้าคุณได้ อยากเจอผมไหม เปิดหน้าต่าง…”
คิ้วเธอขมวดสูง เธอเดินไปเปิดหน้าต่าง ชะโงกหน้าออก จึงเห็นร่างสีดำสูงร่างนั้น
เขาสวมเสื้อคลุมที่เขาเพิ่งซื้อวันนี้ เอนตัวอิงข้างรถ ถือโทรศัพท์ด้วยมือด้านซ้ายเอาไว้แนบหู มือขวาถือร่ม ฝนตกที่ตกลงมาจากฟ้าตกลงมากระทบกับร่ม จนเกิดเสียงเปาะแปะ คางที่หยิ่งเงยขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงราวกับจะมองทะลุทุกอย่าง มองเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ
“เห็นรึยัง?”
“อืม!” หัวใจของเธอเต้นแรง ตึกตักๆ รุนแรงและชัดเจน
“คุณรับมือกับเธอไหวไหม?” เขาถาม นิ้วเรียวของเขากำโทรศัพท์แน่นอย่างไม่รู้ตัว
ห่างกันด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้น เธอใช้นิ้วลากสเก็ตช์โครงร่างของเขาด้วยปลายนิ้ว ชัดเจนมากว่าแฝงด้วยความปวดใจ “ไหว”
“ถึงทำไม่ได้ ก็ต้องทนเพื่อผม คุณคิดถึงผมมากใช่มั้ย ดังนั้นคุณจะไม่ทิ้งผมใช่ไหม?”
เสียงของเขากระจัดกระจายไปในสายฝน ผสมกับเสียงของเปาะแปะของฝน แฝงด้วยความไม่มั่นใจและสับสน เช่นเดียวกับใจของเขาในเวลานี้
เขากลัวว่าเธอไม่สามารถทนแรงกดดันจากแม่ของเธอและประนีประนอมได้ แล้วเลือกที่จะแยกจากเขา เลิกกับเขาไป ณ ตอนนี้เขารู้สึกสับสนจริงๆ…
เธอฟังออกและเข้าใจ นอกจากเสียงฝนที่หยดลงมาจากทางเขา นอกจากนี้ยังมีเสียงท้ายประโยคที่เขายกขึ้นเบาๆ ซึ่งดูเหมือนว่าจะสั่นเล็กน้อย
เขา กำลังกลัวหรอ?
เขาเป็นผู้ชายที่สง่างามและหยิ่งผยอง บนตัวเขามีออร่าที่ให้ความรู้สึกมีเกียรติออกมาโดยธรรมชาติ ไม่มีใครในเมืองSที่จะเห็นเขาแล้วจะไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้เพียงนิด
แต่น้ำเสียงของเขาในเวลานี้กลับหนักอึ้ง แถมยังแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แม้แต่บรรยากาศรอบๆตัวก็ตึงเครียดไปด้วย
เธอไม่ชอบเขาในแบบนี้ และไม่ชอบบรรยากาศที่แสนอึดอัดจนหายใจไม่ออกในตอนนี้เช่นกัน ที่มุมปากผุดรอยยิ้มแห้งๆ เธอจงใจแซวเขาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศในตอนนี้ “ท่านประธานออกัส นี่คุณกำลังขอร้องดิฉันอยู่หรอคะ?”
“อืม…ผมกำลังขอร้องคุณ” เขาเปิดปากพูดแต่ละคำออกมาอย่างหนักแน่นมากๆ อ่อนโยนมากๆ ใจกว้างมากๆ อย่างไม่มีความอายเลยสักนิด
น้ำเสียงที่จริงจังเช่นนี้ของเขาทำให้เธออึ้งอยู่บ้าง ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว จมูกอุดตัน กลัวว่าเขาฟังต้นตอออก จึงบังคับตัวเองให้อดกลั้นเอาไว้
ออกัสอ้าปากอีกครั้ง เสียงของเขากลับเบาลง “ดังนั้นคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังใช่ไหม?”
เธอลืมไปว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไปชั่วขณะ เธอพยักหน้าตามสัญชาตญาณ ก่อนเธอจะนึกได้ว่าเขามองไม่เห็น จึงตอบกลับว่า “ใช่!”
“คุณจะทิ้งผมไปใช่ไหม?”
“อื้ม! คุณไม่ใช่เด็ก 3 ขวบสักหน่อย ฉันจะทิ้งคุณไปได้อย่างไร?”
เขากำลังยิ้ม ริมฝีปากบางโค้งขึ้นเป็นแนวโค้งที่สวยงาม ซึ่งมันมีเสน่ห์มากในคืนที่ฝนตก ราวกับจะทำให้หลงใหลตลอดคืนที่ฝนตก
“ซารางล่ะ?”
“นอนในรถ…”
“อากาศหนาวขนาดนี้ แขนคุณก็ยังไม่หายดี พาซารางกลับไปเถอะ ฉันสบายดี”
“ถ้าคุณเจอเรื่องทุกข์ใจ ก็ระบายกับผมได้นะ จากนั้นก็บอกผมว่าจะให้ผมให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง…”
ขอบตาของเชอร์รีนเปียก พูดด้วยน้ำเสียงแสร้งโกรธว่า “คุณนี่น่ารำคาญจริงๆเลย คืนวันนี้คุณพูดได้ประทับใจมาก”
“หวั่นไหวหรอ จะได้ตัดใจไปจากผมไม่ลงไง ต่อจากนี้ไปผมจะพูดแต่คำหวานให้คุณฟัง” น้ำเสียงจากลำคอของเขาค่อนข้างแหบมาก
“ไม่เอา แปลกจะตายชัก! ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว!”
เขาหัวเราะเบาๆ เสียงที่ดูจนปัญญาออกมาจากริมฝีปากบาง “เคยมีคนบอกคุณไหมว่าคุณทำลายบรรยากาศได้เก่งมาก?”
เธอครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วหัวเราะเบาๆ “มีสิ ครั้งแรกที่เราเจอกัน คุณร้องเพลงแนวอินดี้ไม่ใช่หรอ ส่วนฉันก็ร้องเพลงเก่ากว่านั้นกลับไม่ใช่รึไง ความจริงนอกจากทำลายบรรยากาศแล้ว ฉันยังถึกและปล่อยมุกฝืดอีกด้วย”
“ผมมองออก” เขาคล้อยตามเธอ “เข้าไปข้างในเถอะ ผมจะพาซารางกลับแล้ว”
“โอเค อย่าลืมพาเธอไปโรงเรียนพรุ่งนี้เช้าด้วยนะ ตอนเย็นฉันจะไม่กลับไปแล้ว พรุ่งนี้ยังฉันไม่รู้ แล้วฉันจะโทรบอกคุณอีกที”
เช้าวันรุ่งขึ้น
พอเชอร์รีนตื่นขึ้นมา กนกอรก็ตื่นแล้ว เธอมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าสงบมาก ไม่ตื่นเต้นและไม่เอะอะโวยวายด้วย
แต่กนกอรในแบบนี้ยิ่งทำให้คนรู้สึกเข้าไม่ถึง ให้ความรู้สึกน่ากลัว
“แม่คะ อยากกินอาหารเช้าไหม? หนูจะลงไปซื้ออาหารเช้าข้างล่างให้ อยากกินโจ๊กลูกเดือยหรือโจ๊กข้าวกล้องคะ?” เธอเดินเข้าไปถามอย่างแผ่วเบา
สีหน้าและท่าทีของกนกอรยังคงเย็นชาเหินห่างมาก ราวกับกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนแปลกหน้า “ไม่ล่ะ รบกวนช่วยโทรหาชารีฟให้หน่อย ขอบคุณ”
เมื่อเห็นเช่นนั้นเชอร์รีนก็รู้สึกราวกับว่าถูกเข็มทิ่มแทงไปทั้งตัว เจ็บแปลบไปหมด ความเจ็บแพร่กระจายตั้งแต่หัวไปถึงฝ่าเท้า
กนกอรจงใจเว้นระยะห่างกับเธอ เธอไม่ทะเลาะกับเธออีก แต่ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนลงอย่างสมบูรณ์
จักรกฤษอาศัยอยู่ร่วมกับเธอมาเกือบทั้งชีวิต ไปเที่ยว นอน กินมาด้วยกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จู่ๆคู่ชีวิตก็จากไป เธอก็ทนรับแรงโจมตีแบบนี้ไม่ไหว
อีกอย่างใบหน้าของสิงหากับสุนันท์ยังคงหลอกหลอนตรงหน้า เธอลืมไม่ลงว่าพวกเขาคือฆาตกร!
เชอร์รีนไม่ฟัง มือเธอจมดิ่งห้อยอยู่ข้างลำตัว เธอหายใจเข้าลึกๆ ฝืนทำใบหน้ายิ้มมีความสุข “หนูลงไปข้างล่างก่อนนะคะ แล้วจะขึ้นมา”
หลังจากปิดประตูห้องพักผู้ป่วย เธอเดินออกไป พอเดินไปที่หัวมุม สีหน้าของเธอก็หม่นลงในที่สุด
หลังจากที่เธอจากไป ร่างผอมสูงสีดำก็เดินเข้ามาผลักเปิดประตูห้องผู้ป่วย ขายาวก้าวเข้ามา
เมื่อเห็นว่าเป็นออกัส กนกอรไม่ได้แสดงท่าทีสุภาพใดๆ ด่าออกไปว่า “ไสหัวไป!”
ออกัสมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินคำนั้น เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วพูดว่า “เธอเป็นลูกสาวของคุณ ทำไมคุณถึงทนที่จะหนีบเธอไว้ตรงกลางได้ลงคอล่ะครับ?”
“แล้วทำไมแกถึงทนที่จะหนีบเธอไว้ตรงกลางได้ลงคอล่ะ แกไป เธอก็ย่อมไม่ต้องลำบากใจ!”
“เรื่องของคุณลุงไม่มีใครอยากเห็น ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นหรอกนะครับ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว สิ่งที่คุณควรคิดคือจะยอมรับมันอย่างไร ไม่ใช่ทำลายความรู้สึกต่อไปแบบนี้ คนที่จากเขาได้จากไปแล้ว การที่คุณทำแบบนี้สุดท้ายแล้วคนที่ถูกทำร้ายก็คือร่างกายของคุณเอง…”
กนกอรไม่สามารถฟังอะไรเข้าหูได้เลย เธอเหมือนผู้ป่วยที่ป่วยมากจนเกินเยียวยาคนหนึ่ง กำลังดันทุรัง
“ที่ถูกทำร้ายมันก็ร่างกายฉัน ฉันยอม ฆาตกรน่ะคือพ่อแม่ของแก ฉันไม่มีวันให้อภัยพวกมัน และจะไม่มีวันให้อภัยแกด้วย!”
พูดต่อไปมันก็เสียแรงเปล่า แต่เขายังคงได้พูดสิ่งที่เขาควรพูดออกไป จากนั้นเสียงทุ้มก็ไหลออกมาจากลำคอ
“ความจริงแล้วคุณเห็นแก่ตัวมาก ตัวเองเจ็บก็ยังลากคนอื่นให้เจ็บกับคุณไปด้วย เธอเป็นลูกสาวของคุณ เมื่อก่อนเธอก็เคยทำงานหนักเพื่อคุณ หาบ้าน ยืมเงินมาจ่ายหนี้ เธอก็เหนื่อยมาก แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยเธอไป?
เธอถูกหนีบอยู่ตรงกลางระหว่างเรา เธอลำบากใจมาก และใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขด้วย ดังนั้นคุณสามารถระบายความทุกข์ใจที่ให้เธอทั้งหมดมาลงที่ผมได้ ผมสามารถแบกรับแทนคุณ อย่างที่คุณบอก ผมคือลูกชายฆาตกร หากระบายความเจ็บปวดและความขุ่นเคืองมาลงที่ผมน่าจะยิ่งกว่า ปล่อยเธอไป ความจริงก็คือเป็นการปลดปล่อยตัวเองด้วย..