ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 300 คนอ่อนแอกว่าสู้คนแข็งแกร่งกว่าไม่ได
เหงื่อเย็นเยียบไหลออกจากบนหน้าผากของผู้ช่วยเตโชอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อให้เขากินดินระเบิดเข้าไป แรงระเบิดก็คงไม่ใหญ่ขนาดนี้!
เงินทองหายาก ชีวิตก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ!
เอกสารที่โยนลงมามีทั้งที่มีข้อผิดพลาดและไม่มีข้อผิดพลาด เอกสารทั้งหมดถูกโยนกลับ ทำใหม่ทั้งหมด
วันนี้ก็นับได้ว่าเป็นวันโชคร้ายของผู้จัดการแผนกต่างๆ เฮ้อ ผู้ช่วยเตโชถอนหายใจเบาๆ เขายอมรับชะตากรรมหยิบเอกสารออกไปราวกับงานขนส่ง ขณะปิดประตูห้องทำงานแล้วจากไปก็สังเกตเห็นว่าตาของท่านประธานเอาแต่จ้องมองโทรศัพท์ข้างๆ
หรือว่ากำลังรอให้คุณเชอร์รีนยอมอ่อนให้ก่อน?
โอ้ ท่านประธานผู้หยิ่งผยอง!
คุณหมอยื่นนามบัตรให้เชอร์รีนทันที เป็นนามบัตรของหนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของเมืองS ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
ตราบใดที่มันสามารถทำให้แม่หายเป็นปกติได้ ไม่จมทุกข์อยู่อย่างนี้อีกต่อไป เธอก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่ม
หลังจากโทรศัพท์ไปตามเบอร์ คุณหมอมีเวลาว่างในช่วงบ่ายพอดี เชอร์รีนมีความสุขมาก เธอนัดสถานที่เจอกันกับคุณหมอ แล้วออกจากโรงพยาบาลโดยไม่หยุด
สิ่งที่แตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้คือ เธอไม่คิดมาก่อนว่านักจิตวิทยาจะเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุราวๆสามสิบกว่าๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม กางเกงสแล็คสีกากี เสื้อผ้าลำลองสไตล์อังกฤษ กำลังจิบกาแฟ มุมกันข้างของเขาดูหล่อมาก ราวกับฮยอนบินดาราเกาหลี
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข บรรยากาศดีมาก พูดเรื่องอาการป่วยอย่างชัดเจน
หลังจากคุยเสร็จสิ้น ดลธีจะส่งเธอกลับไปที่โรงพยาบาล เธอปฏิเสธ แต่เขายืนกราน เธอยากที่จะปฏิเสธน้ำใจจากเขาจึงพยักหน้าตกลง
เมื่อส่งถึงชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอเปิดประตูรถ ยิ้มแล้วโบกมือให้ดลธี และยังไม่ลืมกำชับให้เขาขับรถระวังปลอดภัย
เพียงแต่เธอไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของชายที่นั่งในรถ แลนด์โรเวอร์ สีดำเปลี่ยนไป…
หลังจากที่รถหายไปจากสายตา เชอร์รีนก็ถอนสายตาออกแล้วหันกลับมา แต่ก็ถูกแรงหนึ่งคว้าแขนเธอไว้อย่างแรง แล้วดึงเธอตรงเข้าไปในรถ
เธอตกใจมากๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เธอตบหน้าอกเบาๆ พูดด้วยเสียงหอบว่า “ทำไมคุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียง ตกใจแทบแย่!”
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” สีหน้าออกัสคร่ำเคร่ง เขายื่นมือดึงเนกไทอย่างหงุดหงิด
เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะรู้ตัวว่าคำพูดของเธอนั้นแรงเกินไป เขารอคอยสายโทรมาขอโทษจากเธอโดยตลอด
แต่หลังจากที่รอมาตลอดบ่าย ก็ไม่มีสายโทรเข้ามา หน้าจอโทรศัพท์ไม่แม้แต่จะสว่างขึ้น เขาโมโหมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาจนปัญญา นับว่าเธอใจร้ายมาก! ในเมื่อเธอไม่ตระหนักได้ว่าตัวเองผิดตรงไหน ไม่รู้จักเข้ามาขอโทษก่อน เขาจึงไม่ถือสาที่จะแวะมาเตือนเธอด้วยตัวเอง
พูดตามตรง สถานการณ์นี้ดูเหมือนเขานอบน้อม แต่ผู้ชายสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ได้
รถหยุดลงที่ชั้นล่างตึกอยู่นาน ในที่สุดก็เห็นเธอปรากฏตัว แต่กลับมีชายคนหนึ่งพาเธอกลับมาส่ง แถมยังหน้าตายิ้มแย้มอีก!
เปลวไฟที่แผดเผาในใจเขาจะไม่ระเบิดออกมาได้อย่างไร?
“นักจิตวิทยา ที่หามาให้แม่” เธอดิ้นหลุดจากมือใหญ่ของเขา “คุณมาทำอะไรที่นี่?”
“คุณคิดว่าไงล่ะ?” สีหน้าเขาอ่อนลง
“บ่ายนี้แม่ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย ฉันจะไปซื้อข้าวที่โรงอาหารให้แม่ ไว้ว่างๆจะโทรหาคุณ” พูดพลาง เชอร์รีนกำลังจะลงจากรถ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ออกัสจึงคว้าข้อมือเธอไว้อีกครั้ง เสียงต่ำออกมาจากไรฟันของเขา “คุณไม่คิดว่าคุณติดค้างอะไรผมเหรอ?”
เธอขมวดคิ้ว เอนตัวไปจูบริมฝีปากบางของเขาอย่างไม่คิดอะไรมาก
ทันใดนั้นความโกรธของออกัสก็หายไปมากกว่าครึ่ง
หลังจากผ่านไปนานจึงปล่อย
“ไม่ดื้อ กลับไปก่อน มีเวลาเดี๋ยวฉันโทรหา” เธอค่อนข้างจนใจ ทำไมเขาถึงทำตัวเหมือนเด็ก
“ไปกินข้าวเย็นกับผม…”
เชอร์รีนเหลือบมองดูเวลาแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “แก้ปัญหาปากท้องของคุณ 30 นาทีนะ ตกลงไหม?”
ทั้งสองไปที่ร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด สั่งอาหารสามอย่าง และข้าวขาวสองถ้วย กลิ่นที่ลอยออกมานั้นหอมมาก
ความไม่พอใจและบาดแผลจากสายที่โทรมานั้นถูกรอยจูบของเธอทำลายไปจนสิ้น บางครั้งผู้ชายก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะโกรธมากแค่ไหน เพียงแค่ฝ่ายหญิงจูบหรือพูดเพราะๆ ก็จะลืมความโกรธไปหมด
เขาดูหิวมากจริงๆ สั่งให้พนักงานเสิร์ฟเพิ่มข้าวสามชามติดต่อกัน กินอย่างช้าๆอย่างสง่างาม
เชอร์รีนก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหิวมากขนาดนี้ รู้สึกปวดใจ “กินช้าๆหน่อย ฉันจะสั่งซุปให้คุณเพิ่ม มิฉะนั้นจะไม่ดีต่อกระเพาะของคุณ”
ริมฝีปากบางของเขายิ้ม ตอบรับเบาๆ แต่ในใจกลับแอบเกิดความรู้สึกเยาะเย้ยตัวเอง ตั้งแต่เมื่อไรที่คนอย่างออกัสที่แม้แต่ลูกไม้แบบนี้ก็เอาออกมาใช้!
เพื่อให้เธออยู่กับเขาได้นานขึ้น ที่น่าตะลึงคือกลับกินข้าวไปไม่น้อยเพื่อแค่ถ่วงเวลาไว้
ทั้งสองเดินกลับเพราะไม่ได้ขับรถมา ออกัสส่งเธอกลับไปที่ชั้นล่างของโรงพยาบาล “หากมีอะไรอย่าลืมโทรหาผมนะ”
เธอพยักหน้า “ฉันรู้”
เขาไม่ยอมไป ก้าวขาไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแล้วต่อรองอย่างได้คืบจะเอาศอกว่า”จูบเหมือนเมื่อกี้อีกที”
“คุณเพิ่งทานอาหารเย็นไป ยังไม่ได้แปรงฟัน”
ออกัสคุ้นเคยกับการชอบตัดทอนทำลายทิวทัศน์ของเธอมานานแล้ว เขาโอบเธอไว้ในอ้อมแขนด้วยแขนที่แกร่งทรงพลัง บีบปลายจมูกเธอเบาๆ จงใจถอนหายใจใส่เธอ “ผมไม่รังเกียจคุณ แต่คุณกลับรังเกียจผมหรอ หืม?”
“รสไก่ผัดพริกแห้งเสฉวน…” เธอหัวเราะ ดูเหมือนว่าเขาจะกินไก่ผัดพริกแห้งเสฉวนไปไม่น้อย ส่วนเธอกินไปมะเขือยาวมากที่สุด ตอนปากเต็มไปด้วยรสมะเขือยาว
ได้ยินเช่นนั้นคิ้วที่หล่อเหลาของออกัสก็อดกระตุกไม่ได้ เขากัดฟันแล้วพูดว่า “เธอนี่ไม่เข้าใจความโรแมนติกเอาซะเลย!”
เชอร์รีนยังคงยิ้ม จงใจหรี่ตามองเขา “ความโรแมนติกคืออะไร กินได้ไหม? ไปล่ะ!”
“อืม…” เขาจุ๊บริมฝีปากสีแดงของเธออีกสองสามครั้งก่อนจะจากไป
กนกอรตื่นแล้ว สายตากวาดมองเชอร์รีนที่เดินเข้ามาอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ฉันโทรบอกพี่ชายแกแล้วว่าให้เอาเงินที่ติดแกมาคืน แกก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก!”
ก่อนหน้านี้ยังเป็นสวรรค์ แต่ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย กลับต้องเผชิญกับความทุกข์และทรมาน เชอร์รี่เรียกเสียงอ่อน “แม่คะ!”
“จากนี้อย่ามาเรียกฉันว่าแม่อีก! หลังจากนัดวันกับพี่ชายแกแล้ว ออกไปพร้อมกับเช็ค แล้วต่อจากนี้ไปอย่ามาปรากฏตัวให้ฉันเห็นอีก!”
เชอร์รีนสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ฟังแล้วพูดว่า “แม่คะ คุณหมอบอกว่าแม่มีปัญหาทางจิตอยู่นิดหน่อย หนูหานักจิตวิทยามาให้แม่แล้ว พรุ่งนี้แม่ไปพบเขานะคะ”
“ไม่ไป! นักจิตวิทยาอะไร ไม่ได้หมายความว่าฉันมีปัญหาทางจิตหรอ? ฉันมีชีวิตชีวาดี ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น แกจะคบกับฆาตกรที่ฆ่าพ่อแกฉันก็ไม่คัดค้าน นักจิตวิทยาอะไรนั่น พวกคำแก้ตัวฉันล้วนไม่อยากฟัง อย่ามาปรากฏต่อหน้าฉันอีกตลอดไป!”
“แม่คะ อย่าดื้อเลยนะคะ ให้นักจิตวิทยาดูดีกว่านะคะ”
“แกเลิกเลี่ยงปัญหาสำคัญแล้วเอาแต่พูดถึงปัญหารองเถอะ ตอนนี้แกให้คำตอบฉันมาตรงๆไม่ต้องอ้อมค้อมว่า จะไปกับมันหรือจะอยู่ข้างกายฉัน ตัดสินใจมาตอนนี้เลย!”
เชอร์รีนส่ายหน้า ตัวเลือกแบบนี้มันช่างเจ็บปวดจริงๆ ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นคนที่เธอรักที่สุด เธอไม่อยากจะทิ้งฝั่งใดฝั่งหนึ่งไป
“แม่คะ อย่าบีบบังคับหนูเลย อย่าทำให้หนูลำบากใจเลยนะคะ”
“ฉันไม่บีบบังคับแก แกเลือกฉัน เราก็จะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าแกเลือกมันก็ไปให้ไกลๆ ถ้าเอาหน้าโผล่มาให้ฉันเห็นอีก ฉันจะเอามีดกรีดตัวเองให้เป็นแผล!” กนกอรบีบบังคับอย่างเด็ดขาด ไม่เหลือแม้แต่เยื่อใย
ความสับสนวุ่นวาย ความรู้สึกลำบากใจ เธอรู้สึกว่าหัวของเธอใหญ่ขึ้นราวกับกำลังจะระเบิด ช่างแสนจะทรมาน
พอนึกถึงเขา นึกถึงความอ่อนน้อมของเขา เธอปวดใจน้อยๆ เธอเคยพูดไว้ว่าตัวเองอยากจะกล้าหาญเพื่อเขาสักครั้ง ลองเพื่อเขา เธออยากจะลองจริงๆ!
ยิ่งกว่านั้นเธอไม่เชื่อว่าแม่จะทำร้ายตัวเองจริงๆ มือของเธอกำหมัด กำแน่นมาก จากนั้นพูดว่า “แม่คะ หนูอยากอยู่กับเขา!”
“จักรกฤษเอ้ย นี่แหละลูกสาวที่คุณเลี้ยงดูมาหลายปี คุณดูสิว่ามันคู่ควรกับการตายของคุณไหม? เพื่อลูกชายของฆาตกรที่ฆ่าคุณ ลูกคุณเลือกที่จะทิ้งแม่อย่างฉันไป ยังมีอะไรจะต้องพูดอีกล่ะ?”
อารมณ์ของกนกอรตื่นเต้นขึ้นมา เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ออกไป!”
“หนูอยากอยู่กับเขา แต่หนูก็ต้องการแม่ด้วยนะคะ!”
“ออกไป ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
เชอร์รีนส่ายหัวตลอดเวลา เธอไม่ยอมไปไหน ไม่ยอมออกไป ไม่คิดเลยว่ากนกอรจะหยิบมีดมากรีดมือตัวเองรอยแล้วรอยเล่าจริงๆ
เธอหวาดกลัว รีบวิ่งเข้าไป อยากจะเข้าไปห้ามแต่ก็เปล่าประโยชน์ เธอไม่สามารถหยุดการกระทำของแม่ได้เลย บาดแผลลึกมาก อาการหวาดระแวงของเธอกำเริบอีกครั้ง นาทีนี้เชอร์รีตื่นตระหนกมากถึงขีดสุด เธอแย่งมีดออกมาไม่ได้เลย เลือดก็ไหลออกมาเยอะมาก
สุดท้ายก็ต่อต้านไม่ได้ ต่อต้านไม่ได้เลย การต่อสู้กันอย่างดุเดือดรุนแรงในสมองเชอร์รีนได้ขาดผึ่งลงเป็นสองท่อน เธอได้ยินเสียงตัวเองสะอื้นอย่างห้ามไม่อยู่ และได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่ค่อยๆตายลงไป ถูกทำลายลง “หนูรับปากค่ะ หนูรับปากแม่ แม่คะ หนูรับปากแม่!”
การเคลื่อนไหวที่บ้าคลั่งของกนกอรหยุดลงในที่สุด ปล่อยให้เชอร์รีนหยิบมีดออกจากมือไปอย่างตามใจ ไปเรียกพยาบาลมาทำแผล
ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะหลับไป เธอทิ้งท้ายประโยคกับเชอร์รีนว่า “จำคำที่แกพูดเมื่อกี้ด้วยนะ!”
ในที่สุดรอบตัวก็เงียบลง เงียบลงโดยสิ้นเชิง แต่เชอร์รีนกลับรู้สึกว่าเธอไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้นของตัวเอง ได้ยินไม่ชัด
เธอยืนอยู่ตรงระเบียงที่หนาวเหน็บ อิงอยู่อย่างนั้น แล้วกดโทรออกไป ไม่นานเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา “คิดถึงผมแล้วสิ?”
“อืม!” เธอพยักหน้า “ซารางนอนรึยัง?”
“หลับไปแล้ว…” น้ำเสียงของเขาอบอุ่น
“อยู่คุยเป็นเพื่อนฉันสักพักสิ ฉันยังไม่เคยได้ฟังคุณร้องเพลงเลย ฉันอยากฟัง…” เสียงของเธอนุ่มนวลราวกับกำลังอ้อน
ออกัสขมวดคิ้วขึ้นสูง ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังตามใจเธอ “อยากฟังอะไร?”
“ฉันรักเธอ…” เธอพูด
“ครั้งแรกที่ร้อง ถ้าเธอกล้าเมินเฉยฉัน คอยดูนะ!” น้ำเสียงของเขาแกมข่มขู่ แฝงไปด้วยความดุดัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอกลับไม่มีความดุดันเลยแม้เพียงนิด “ความเย็นชาของเขายังหลงเหลืออยู่ ลมที่พัดในรถไฟใต้ดินหนักอึ้งยิ่งกว่าความทรงจำ เมืองแห่งนี้กำลังรอฉัน บรรยากาศยังคงอบอวลไปด้วยความรู้สึกเก่าๆ เรื่องเดียวที่รู้สึกผิดต่อเขาคือวันที่เราแยกทางกัน น้ำตาของฉันไม่ยอมหยุดไหล…”