ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 302 มึงเลิกสูบบุหรี่มานานแล้วไม่ใช่หรอ
หากเป็นคนอื่นๆคงไม่มีใครทำร้ายออกัสได้แม้แต่นิดเดียว แต่เพียงแค่การกระทำของเชอร์รีนเพียงกระทำการเดียว คำพูดประโยคเดียว ก็สามารถทำร้ายเขาได้เต็มๆ
คำพูดของเธอเหมือนเข็มบางๆที่แทงเข้าที่หัวใจของเขาทีละเข็มๆอย่างแรง ออกัสหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงของเขาแหบแห้งมาก “ในเมื่อนี่คือสิ่งที่คุณต้องการ งั้นผมจะให้คุณ! แต่คุณจำไว้นะว่าผมไม่ได้จะคอยวิ่งตามคุณโดยไม่เจียมตัวทุกครั้ง ไม่มีใครที่จะยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอใครตลอดไป…”
เป็นครั้งแรกที่เขารักผู้หญิงคนหนึ่งถึงขั้นนี้ เขาส่งหัวใจดวงนั้นให้ตรงหน้าเธอ แต่เธอกลับโยนมันทิ้งไป!
เมื่อสิ้นคำพูด เขาก็ยืนขึ้น ขายาวก้าวไปข้างหน้า เขาจงใจก้าวขาไม่กว้างมากและไม่เร็วมากนัก ราวกับยังคงตั้งตารอ
เชอร์รีนมองแผ่นหลังของเขา หอบหายใจ ความโศกเศร้าแบบมืดฟ้ามัวดินที่ยากจะควบคุมทะลักออกมา น้ำตาเธอหยดลง
จนถึงในตอนสุดท้าย เธอไม่ส่งเสียงพูดอะไรเลย ออกัสกลับหัวเราะเยาะออกมา ไม่หันกลับมามองอีก
คาดหวัง เขาจะคาดหวังอะไรจากเธอได้อีก หากเธอไม่อยากปล่อยเขาไป เมื่อกี้ก็คงเปิดปากพูดแล้ว เขาจะยังกล้าคาดหวังอะไรจากเธอได้อีก?
เหอะๆ…
เดินออกจากร้านกาแฟก็หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนจบลงแล้ว จบลงอย่างสมบูรณ์…
‘ผมไม่ได้จะคอยวิ่งตามคุณโดยไม่เจียมตัวทุกครั้ง ไม่มีใครที่จะยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอใครตลอดไป…’
เธอหวนรำลึกถึงคำพูดตอนจากไปของเขาในสมอง เธอร้องไห้จนน้ำตาอาบหน้า ตาพร่ามัว แม้แต่แก้วกาแฟก็ยังเห็นไม่ชัด ทุกก้าวที่เขาก้าวไปข้างหน้ามันเหมือนมีมีดที่แหลมคมกรีดหัวใจเธอหนึ่งครั้ง จนเลือดเนื้อไหลออกมา
เธอรู้ดีว่าครั้งนี้ เขาก็ทำจริงและจริงจังเช่นกัน!
ตั้งตอนนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้วจริงๆ ไร้ความเกี่ยวข้อง กลับไปที่จุดเริ่มต้น กลับไปใช้ชีวิตใครชีวิตมันดังเดิม
เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่ตกลงมาจากผิวน้ำ แรกๆก็มีระลอกคลื่น แต่เมื่อจมลงสู่ก้นทะเลสาบ ผิวน้ำก็จะสงบนิ่งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาถามว่าเธอต้องการอะไรเพิ่มไหม เชอร์รีนส่ายหน้า เดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างหมดแรง ไม่ได้ร้องไห้อีก แต่จ้องมองตัวเองในกระจก
เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะร้องไห้ เขาโดนเธอผลักไสเองกับมือ แล้วเธอมีสิทธิ์ร้องไห้ได้ยังไง!
เธอแข็งทื่อ ไร้ความรู้สึก เมื่อความเจ็บปวดหมดสิ้นก็เหลือเพียงอาการชา ไร้ความรู้สึกใดๆ เธอยืนเงียบๆ หัวเราะเบาๆ
บางครั้งเสียงหัวเราะก็ให้ความรู้สึกสิ้นหวังและว่างเปล่ามากกว่าการร้องไห้
ที่ร้องไห้ได้เพราะยังรู้สึกเจ็บ ยังมีหัวใจให้เจ็บ แต่เมื่อความเจ็บปวดจบลงกลับหัวเราะออกมา ซึ่งหมายความว่า…
มือที่ถือพวงมาลัยนั้นขาวซีด เส้นสีน้ำเงินบนหน้าผากปูดขึ้น กรามเกร็งแน่น ออกัสต่อยพวงมาลัยทำให้เกิดเสียงดัง
เมื่อดนัยและหัสดินมาถึงห้องส่วนตัว ก็เห็นขวดเปล่าประมาณ 10 ขวดวางอยู่ข้างหน้าออกัส
เขาเลิกเหล้าไปนานแล้ว ช่วงนี้ที่ดื่มได้เพียงชา วันนี้เกิดอะไรขึ้น?
“จะต้องถูกกระตุ้นจากคุณครูเชอร์รีนของมันแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?” หัสดินเข้าใจ
ดนัยถอนหายใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา เขาหยิบมันออกมาพบว่าเป็นผู้ช่วยเตโช เขากดวางสาย จากนั้นของหัสดินก็ดังขึ้นต่อ เขาหรี่ตาดอกท้อ ยังคงเป็นผู้ช่วยเตโช
หัสดินกดรับสายในมือถือแก้วไวน์แดงแล้วเขย่าเบาๆ “เห็นแก่ชื่อตระกูลของเรา ฉันขอเตือนนายด้วยความหวังดีว่า อย่าโทรหาเจ้านายของนายอีก ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดีอยู่ จมติดอยู่กับความรัก ถ้าหากอยากไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นหรือตายก็ตามเจ้านายแกกลับไป”
คำพูดนี้ได้ผลจริงๆ ตอนแรกผู้ช่วยเตโชโทรมาไม่หยุดราวกับเรียกร้องขอชีวิต แต่ตอนนี้หลับเงียบหายไปแล้ว
ดนัยก็ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานแล้ว จึงขอไวน์แดงสองขวด ส่วนหัสดินชอบค็อกเทลที่มีสีสันสดใสรสเข้มๆที่สุด สีสวยสวยงาม แต่เมื่อลงท้องหลายแก้วก็รับรองได้ว่าลอยราวกับเทวดา
คนอื่นยิ่งดื่มมากยิ่งเบลอมาก แต่ออกัสกลับยิ่งดื่มยิ่งมีสติมากขึ้น สมองแจ่มใสผิดปกติ
ในที่สุดเขาก็ผลักขวดเหล้าเปล่าทั้งหมดบนโต๊ะลงกับพื้นด้วยความรำคาญ เขาเอนกายลงบนโซฟา สูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า
ทั้งสามมีความสามารถในการดื่มเหล้าพอๆกัน ดนัยเมาเป็นคนแรก ส่วนหัสดินยังคงดื่มอยู่ พลางเอาเท้าเตะดนัยไปด้วย
การดื่มสุราเพื่อคลายทุกข์มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์กว่าเดิม จิตใจที่ควรจะหายวุ่นวายไม่คลายหายไปแม้แต่น้อย พิงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
พวกเขาอยู่กินเวลาตั้งแต่บ่ายถึงเย็น ดนัยตื่นขึ้นมา เชี่ย ห้องส่วนตัวเหมือนพระแม่ซีหวังหมู่จัดงานเลี้ยงผลท้อเซียน บรรยากาศเลวร้ายอย่างรวดเร็ว!
คนก่อเรื่องยังคงสูบบุหรี่อยู่ เขาสำลักจนจนน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่”มึงเลิกสูบบุหรี่มานานแล้วไม่ใช่หรอ?”
“กำเริบอีกแล้ว…” เขาตอบสั้นผิดจากปกติด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“คำว่าสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเขียนติดตัวตั้งใหญ่ คนที่รู้จักมีเพียงไม่กี่คน” ดนัยยิ้ม
ออกัสไม่พูดอะไร หยิบบุหรี่ออกมาอีกซองแล้วเริ่มสูบอีกครั้ง
หัสดินเมามายไม่ได้สติ โทรศัพท์ดังขึ้นหลายครั้ง ยู่ยี่เป็นคนโทรมา ดนัยกดรับแล้วพูดสั้นๆสองประโยค
“กูจะพามันกลับบ้าน ส่วนมึงก็ดื่มไปไม่น้อย กูจะหาคนมาขับรถแทนให้” ขณะพูดดนัยกำลังจะโทรออก
“ไม่ต้อง มึงคิดว่ากูดูเหมือนคนเมาไหม?” เขาเขี่ยเขม่าบุหรี่ออก
“เออๆๆ ยังไงก็หาคนขับรถแทนดีกว่า ฟังกูเถอะ”
ดนัยขับรถพาหัสดินซึ่งไม่รู้ว่าดื่มค็อกเทลไปกี่แก้วออกไป ในห้องส่วนตัวเหลือเพียงออกัส
พอในห้องส่วนตัวไม่มีเสียงดังวุ่นวายก็ยิ่งทำให้สิ่งเหล่านั้นชัดเจนมากขึ้น กำเริบเสิบสานมากขึ้น เขาดับก้นบุหรี่ ลุกขึ้นแล้วจากไป
ตอนที่เขาออกไปเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว รถบนถนนกลับไม่น้อยลง แต่คนเดินบนถนนน้อยลงมาก รถยังคงมาๆไปๆ
ออกัสดื่มเหล้าไปค่อนข้างมาก มือแกร่งบีบนวดตรงหน้าผากที่ปวดอยู่บนเบาะหลัง คนขับรถขับรถไปทางคอนโดของเขา
ขณะขับรถเลี้ยวเข้ามุม จู่ๆเด็กชายอายุประมาณ 10 ขวบก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง คนขับรถรู้สึกมึนเล็กน้อย จึงตื่นตระหนก ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เมื่อได้สติจึงเอาเท้าเหยียบเบรก!
แสงไฟแสบตาผิดปกติ เด็กชายยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นราวกับคนโง่
ได้ยินเพียงเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเด็กชายก็ถูกเหวี่ยงสูงแล้วก็ตกลงมาในแนวดิ่ง
เลือดไหลออกมาเยอะมาก ย้อมบริเวณนั้นให้เป็นสีแดง…
ผู้ช่วยเตโชมาอย่างเร่งรีบ จนแม้กระทั่งบนตัวสวมเสื้อเพียงตัวเดียว ใบหน้าของเขาหนาวเย็นจนคล้ำ
เขาได้รับสายจากท่านประธานกลางดึก แต่ไม่คิดว่าจะมาที่โรงพัก เฮ้อ ท่านประธานนี่ไม่เดินตามทางปกติจริงๆ!
ตำรวจได้ดูกล้องวงจรปิดและวิดีโอที่บันทึกทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเร็วของรถหรือพวงมาลัย คนขับก็ไม่มีปัญหาอะไร แล้วยิ่งกว่านั้นก็ไม่ได้ดื่มเหล้า
ตรงนั้นเป็นหัวโค้งจุดหนึ่ง และก็เป็นมุมมืดด้วย เด็กชายนั้นวิ่งออกมาเร็วเกินไปทำให้คนตั้งตัวไม่ทันจนเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
ขณะนี้เด็กชายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตให้พ้นขีดอันตราย
เห็นได้ชัดว่าคนขับไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ร่างกายของเขายังคงสั่น ทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว ผู้ช่วยเตโชบอกให้เขาออกไป
“โทรหาทนายความ ให้เขารีบมาที่นี่หน่อย” ออกัสบอกผู้ช่วยเตโช
“แล้วคุณล่ะ?”
“ฉันจะไปโรงพยาบาล…”