ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 342 เมาแล้วพูดความจริง
ขณะที่หัสดินเดินผ่านเธอ รองเท้าส้นสูงที่อยู่ใต้เท้าของเรนนี่ก็เหยียบพลาดล้มลงกับพื้น
เพียงชั่วพริบตาขาของหัสดินขยับก็ไปทางซ้าย คล้องแขนยาว ดึงเรนนี่ที่กำลังจะล้มลงพื้นเข้าไปในอ้อมแขน
ร่างกายเธออ่อนราวกับสระน้ำพุ เหมือนแมวไร้กระดูก ซบลงบนอกเขาอย่างเกียจคร้าน ขยับบ้างเป็นครั้งคราว
หัสดินขมวดคิ้วอยากจะผลักเธอออกไป แต่เธอขยับตัวเร็วกว่า แขนเรียวยาวคล้องที่คอเขา “ฉันกำลังฝันไปใช่ไหม? ทำไมในฝันถึงมีหัสดินปรากฏตัวได้?”
หัสดินคลายมือที่เอวเธอโดยไม่พูดอะไรมาไว้ที่แขนเธอแล้วง้างออก
แต่ทว่าปฏิกิริยาของเรนนี่เร็วกว่า เธอเขย่งเท้า จูบริมฝีปากบางของเขาโดยตรง
การกระทำของเธอกะทันหันเกินไป หัสดินไม่ทันได้ตอบสนอง แต่ก็รู้สึกได้
เขาหลับตาลงเล็กน้อย จากนั้นหัสดินก็ผลักเธอออก ผลักสิ่งล่อใจออกไป แต่เรนนี่ยิ้มอย่างเมามาย “ฉันฝันไปจริงๆ”
ยู่ยี่ยังคงตั้งครรภ์อยู่ตอนนี้ เขาไม่สามารถทำสิ่งที่ผิดต่อยู่ยี่ได้อีกต่อไป ไม่อย่างแน่นอน!
ขณะเดินออกจากโรงแรมหัสดินโบกแท็กซี่ ส่งเรนนี่เข้าไป จากนั้นบอกที่อยู่วิลล่าในชานเมืองให้กับคนขับแท็กซี่
รถขับออกไปไกล เรนนี่กลับลืมตาขึ้น ตาของเธอสดใส ไม่มีท่าทีเมามายแม้แต่นิดเดียว?
แน่นอนว่าเมื่อกี้เธอลองใจเขา ทำให้ได้รู้ว่าเขายังรู้สึกกับเธออยู่ แต่แค่เพียงกำลังควบคุมตัวเองเอาไว้เท่านั้น!
ผู้ชายมักไม่ชอบผู้หญิงมาพัวพันที่สุด ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเคยชิดใกล้แค่ไหน แต่เมื่อคำว่า “เลิกกัน” หลุดออกมาจากปากผู้ชายแล้ว ผู้หญิงจะต้องไม่หลงเอาตัวเองเข้าไปพัวพันอีก แบบนี้จะไม่เพียงทำให้ผู้ชายรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ความหวานระหว่างทั้งสองก่อนหน้านี้ก็จะหายไปด้วย
ดังนั้นเธอจะไม่มีทางจูบหัสดินในขณะที่มีสติ เธอจะยั่วยวนเขาในเวลาที่เมามายไร้สติเท่านั้น
โดยพื้นฐานผู้ชายนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่สนแค่ความรู้สึก เขาสามารถอดทนได้ในครั้งนี้ แล้วครั้งหน้าหรือครั้งหน้าหน้าล่ะ?
เธอคิดว่าสิ่งที่เธอต้องการทั้งหมดคือโอกาส
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับยู่ยี่ยิ่งไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้
…
ยู่ยี่กลับมาช้ากว่าหัสดิน เธออยู่ที่โรงพยาบาลนาน เธอรอจนเฟริส์ตื่นขึ้นถึงจะกลับมา
เขาดื่มเหล้ามาไม่น้อย แม้จะห่างกันไกลแต่เธอก็ได้กลิ่น คิ้วจึงขมวดอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนเที่ยงและตอนบ่ายเธอล้วนยังไม่ได้กินข้าว ตอนนี้กำลังหิวมาก เธอไปที่ครัวเพื่อต้มโจ๊กที่เบาท้อง ย่อยง่าย
ขณะออกมาจากห้องครัว หัสดินที่เมามาโผล่หน้าเข้ามา กอดเธอแน่น ใบหน้าขยับยุกยิกที่คอเธอไม่หยุดพลางพูดว่า “ภรรยา เรามาคืนดีกันนะครับ”
ได้ยินเช่นนี้ความโกรธของยู่ยี่ก็ลดลงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังไม่ปล่อยเขาไป “เรื่องวันนั้นเป็นความผิดของใคร?”
“ความผิดผม ทั้งหมดเป็นความผิดผมเอง เป็นความผิดผมเอง…” กลิ่นเหล้าของเขาทำเอาเธอหายใจไม่ออก
“อยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย ยืนตรงๆ อย่าขยับมือขยับเท้า!” ยู่ยี่ออกแรงผลักเขาออกไปเหมือนกับเป็นปลาสเตอร์หนังหมา
หัสดินยืนเซเล็กน้อย ยืนไม่มั่นคงนัก ดวงตาทรงดอกท้อเหล่มองขึ้น ใบหน้าดูมึนเมา
“งั้นบอกฉันมาก่อนว่าคุณผิดตรงไหน?”
“ผมไม่ควรจูบหลังมือของเรนนี่ เพราะภรรยาของผมหึงแรง อีกอย่างสุดท้ายผมก็ไม่ได้แตะต้องตัวเธอ ภรรยา คุณทำกับผมเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
ยู่ยี่ขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อได้ยินแบบนี้ ความผิดก็ยังเป็นของเธออยู่ดี เพราะเธอหึงแรง เธอเป็นผู้หญิงที่ขี้หึง
“ดูเหมือนว่า คุณจะยังไม่รู้ความผิดของตัวเอง รอเมื่อไรที่คุณรู้สึกตัวได้ถึงความผิดขอบตัวเองได้จริงๆ ค่อยมาหาพูดคืนดีกับฉัน” เธอเดินกลับไปที่ห้องนอนแล้วปิดประตู
จริงๆแล้วหัสดินไม่ได้เมาเลย เมื่อกี้เขาแค่แสร้งทำเป็นเมาเพื่อขอความเห็นใจ
ดวงตาดอกท้อหรี่ลงอย่างมีสติ มือใหญ่ของเขาสอดเข้าไปในผมดำขลับหนาอย่างวุ่นวายไม่อดทน รู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง
เธอทำสงครามเย็นกับเขา ไม่ยอมก้มหัวยอมรับผิด ไม่เป็นไร งั้นเขายอมรับผิดก่อน แม้ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองไม่ผิดก็ตาม
แต่ว่าเขาได้เอ่ยปากยอมรับผิดแล้ว เธอก็ควรปฏิบัติตามขั้นตอนที่เขาปูทางให้ สามีภริยาทะเลาะกัน กระทบกันนิดหน่อยก็พอ นี่ยังทำให้มันไม่จบไม่สิ้น!
คนอย่างหัสดินต้องยอมก้มหัวให้กับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไร ในเมืองSมีแต่เพียงคนอื่นๆเท่านั้นที่คอยก้มหัวโค้งตัวเมื่อเห็นเขา แต่คนอย่างเขาหัสดินไม่เคยต้องก้มหัวให้ใครมาก่อน
ยู่ยี่เป็นคนแรกและคนเดียว เขาทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเธอถึงยังทำเป็นเชิดใส่ได้อีก?
จะว่าไปแล้วสุดท้ายเขายังไม่ได้แม้แต่แตะต้องตัวเรนนี่เลย นี่เขาก็เชื่อฟังคำพูดของเธอแล้วไม่ใช่เหรอ มันถึงขั้นที่จะต้องโกรธขนาดนี้ ทะเลาะกันหนักขนาดนี้เลยรึไง?
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เขาหันหลังเดินไปหยิบไวน์แดงที่สะสมมาหลายปีออกมาจากตู้เก็บไวน์ นั่งอยู่ในห้องหนังสือ แล้วดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า
ฤทธิ์ของไวน์แดงนั้นไม่ใช่น้อยๆ บวกกับเมื่อก็ดื่มไปไม่น้อยอีก ทำให้ตอนนี้เมามากแล้วจริงๆ
เมาแล้วไม่ว่า แต่ความอยากในร่างกายเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะบริเวณระหว่างขาที่บวมเริ่มปวดน้อยๆ ความต้องการกรีดร้องไปทั่วร่างกาย เขาดื่มเหล้าจนเหล้าในท้องกำลังแผดเผาอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะวันนี้ ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องการเป็นพิเศษ…
หัสดินลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือไปที่ห้องนอน ประตูห้องนอนปิดอยู่ เขาเคาะประตูด้วยความเมา
ยู่ยี่ยังไม่นอน พอเสียงเคาะประตูเข้าหู คิ้วของเธอก็ขมวดขึ้น ไม่มีท่าทีที่จะไปเปิดประตูให้เขา เธอหันกลับแล้วหลับตาลง
หัสดินไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขายังคงเคาะประตูอยู่ หลังจากเคาะไปประมาณ 5 นาที เสียงก็เงียบหายไป
ยู่ยี่รู้ว่าเขาจะต้องไปพักผ่อนที่ห้องหนังสือแล้ว สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นบนริมฝีปากเธอ
ว่ากันว่าความคิดของผู้หญิงยากที่จะเข้าใจ เดายังไงก็เดาไม่ถูก แท้จริงแล้วความคิดของผู้หญิงนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เพียงผู้ชายนั้นใส่ใจก็จะสามารถเดาออกได้แล้ว
หัสดินไม่เคยรู้เลยว่าปมหัวใจของเธออยู่ตรงไหน อันที่จริงมันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรนนี่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาเมาแล้วมีอารมณ์กับเรนนี่ ก็ทำให้เกิดแผลขึ้นในใจของเธอตลอดมา!
ทันใดนั้น ฝีเท้าขัดจังหวะการไตร่ตรองของเธอ เธอหันศีรษะ แต่เห็น หัสดิน กำลังเดินเข้ามา เขย่าพวงกุญแจในมือของเขา มีชัยชนะเล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ขัดความคิดของเธอ เมื่อหันหลังมาก็เห็นหัสดินเดินเข้ามาแล้ว ในมือมีกุญแจพวงหนึ่งแกว่งอยู่อย่างภูมิใจ
จากนั้นเขาโผเข้ามาระดมจูบที่คอเธออย่างดุเดือด ปากพูดอย่างหลงใหลว่า “คุณภรรยาครับ ผมอยาก”
มีผู้หญิงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานความใกล้ชิดและการจู่โจมที่รุนแรงของผู้ชายได้ ภายใต้การจู่โจมที่ดุเดือดเช่นนี้ ยู่ยี่แสดงอาการอ่อนลงแล้ว คราวนี้เสียงของเธอนุ่มนวลและอ่อนหวานมาก ไร้ซึ่งความโกรธและไม่บีบบังคับ “บอกฉันอีกครั้งสิว่าคุณผิดตรงไหน?”
“อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ไปเลย ยังไงซะสุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น งานรวมตัวเพื่อนครั้งหน้าผมย่อมไม่พาคุณไปที่นั่นอีกแล้ว!”
พอคำพูดของหัสดินที่กำลังเมาพูดออกมาเช่นนี้ คราวนี้เขาเมาแล้วจริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมา
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ของเขา ยู่ยี่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นความกระตือรือร้นที่ถูกปลุกเร้าไปทั่วร่างกายก็เหมือนกับถูกถังน้ำแข็งเทจากหัวของเธอลงไปจนดับ
‘งานรวมตัวเพื่อนครั้งหน้าผมย่อมไม่พาคุณไปที่นั่นอีกแล้ว…’
คำโบราณกล่าวไว้ว่าคนเมามักจะพูดความจริง ครั้งนี้เขาเมาจนเลอะเลือน คำที่พูดออกมาคือคำตอบที่เขาพูดมันออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจใช่ไหม?
บอกตามตรงเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด แต่คิดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ เธอทำให้งานรวมเพื่อนของเขาพัง ขณะเดียวกันเธอทำให้เขาเสียหน้าต่อหน้าเพื่อน ฉุดฐานะของเขา เธอนั่นแหละที่ไม่รู้กาลเทศะ!
เกรงว่าในใจเขาจะคิดแบบนี้มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยดื่มเหล้า กลับเป็นเพียงเพราะเขาแค่กลัวว่าคำขอโทษเหล่านั้นจะไม่จริงใจ
เธอผิดหวัง ขมขื่น เหนื่อยล้า เธอจึงดึงแขนเขาออกแล้วตรงไปที่ห้องน้ำ “คืนนี้คุณนอนในห้องหนังสือ ไม่งั้นฉันจะไปนอนห้องหนังสือ”
หัสดินไม่รับรับความพอใจ บวกกับสีหน้าเธอก็เหมือนกับวันในมิถุนายน ที่ไม่กี่นาทีก่อนแสงอาทิตย์ยังคงจะสดใสเจิดจ้า แต่ครู่ต่อมาหลังเมฆดำมืดครึ้ม มันทำให้เขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
เรื่องแค่นิดเดียว แถมเขายังขอโทษมาไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว เธอจะยังไม่ยอมจบอีกเหรอ?
ตระกูลภูษาธรเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงในเมืองS บวกกับหัสดินเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลภูษาธร เขาถูกเลี้ยงมาเหมือนไข่ในหินตั้งแต่เด็ก ไม่เคยโดนโกรธขนาดนี้มาก่อน
ในที่สุดเขาก็หมดความอดทนและหงุดหงิด เขาลุกขึ้นกลับไปห้องหนังสืออีกครั้ง หน้าจอคอมพิวเตอร์ยังสว่างอยู่ เขาเหลือบมองร่างกายส่วนล่างของตนแล้วนั่งลงที่หน้าคอมพิวเตอร์
ใบหน้าของเรนนี่ปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาเดินออกจากห้องหนังสืออย่างเมามาย ประตูห้องนอนปิดสนิท และถูกคนล็อกจากด้านใน ใช้กุญแจเปิดไม่ได้
น่าขัน เธอมีอะไรให้ลำพองใจ คิดว่าคนอย่างหัสดินจะขาดเธอยู่ยี่ไปไม่ได้งั้นเหรอ?
หลังจากเดินออกจากคอนโดไปอย่างโซซัดโซเซ เขากดโทรไป คนขับก็รอให้บริการอยู่ที่รถแล้ว “คุณชายครับ นี่มันดึกมากแล้ว จะไปไหนครับ?”
“ไปไหนก็ได้ จะขับรถรอบเมืองSสักสองสามรอบก็ได้” เขาดื่มมาหนักจนเรอ ออกมาทำให้ทั้งรถก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า
คนขับไม่ถามอะไรอีกเลย เขาขับรถออกไปอย่างไร้จุดหมายในเมืองS
ร่างกายของหัสดินว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาขดตัวอยู่ที่เบาะหลังของรถ ดึงเนกไทที่เสื้อออกอย่างหงุดหงิดและร้อนจัดแล้วโยนทิ้งไป
การจราจรในตอนกลางคืนของเมืองSยังคงคับคั่งมาก ไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าในตอนกลางวันเลย หลังจากออกมาตั้งนานกลับยังคงวนอยู่ที่เดิม
“แกกำลังต่อคิวรอคนแจกเงินอยู่เรอะ?” ทันใดนั้นหัสดินที่นั่งอยู่เบาะหลังก็คำรามอย่างโกรธจัด “ที่ไหนว่าง ที่ไหนรถน้อยก็ขับไปที่นั่น!”
คนขับตกใจจนมือสั่น แน่ล่ะ คนดื่มเหล้าเมาไม่ใช้หลักเหตุผล ไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องวิ่งฝ่าไฟแดงสองที่ติดต่อกันแล้วขับมุ่งไปชานเมือง
แม้ว่าหัสดินจะเมา แต่เขาก็ยังจำทางได้ มองออกว่าคือเขตชานเมือง ทันใดนั้นเขาก็พูดเหมือนถูกผีอำว่า “ไปวิลล่าเขตชานเมือง”
คนขับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอแค่มีจุดหมายก็ค่อยขับง่ายหน่อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คนขับจอดรถไว้นอกวิลล่า แต่กลับเห็นว่าไฟของวิลล่าเปิดอยู่ เขาจำได้ว่าคุณชายไม่ได้อยู่ที่นี่ หรือว่าจะเป็นคนสะอาด?
หัสดินที่ดื่มเหมือนแมวเมาตัวหนึ่งโซซัดโซเซลงจากรถ คนขับกำลังจะเอื้อมมือออกไปช่วยพยุงแต่ถูกปัดทิ้ง จึงทำได้เพียงมองเขาเดินโซเซเข้าไปในวิลล่า
เรนนี่เพิ่งอาบน้ำ เธอสวมชุดนอนผ้าไหม เนื้อผ้าสะท้อนออกมาเป็นแสงสีเงินภายใต้แสงไฟ