ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 346 ทำไมคุณถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย
“นิดหน่อย…”
“ไม่เลวเลยนี่ ฉันชอบคนที่พูดความจริง” ยู่ยี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ…” ฉันทัชวางตะเกียบในมือ ลุกขึ้นจัดคอเสื้อเสื้อคลุมสีดำด้วยท่วงท่าที่สง่า และควักเงินให้เจ้าของร้านสาว
ยู่ยี่ขยับช้าไป 1 ก้าว พอเธอหยิบเงิน 50 ออกมา เขากลับจ่ายเงินเสร็จแล้ว เธอบ่นเล็กน้อย “เราพูดกันแล้วว่ามื้อนี้ฉันเลี้ยง!”
มุมปากฉันทัชโค้ง “ผมไม่ชินกับการให้ผู้หญิงเลี้ยง…”
เจ้าของร้านสาวพูดแทรกออกมาข้างๆ “ทำไมถึงมีแฟนดีขนาดนี้ ชาตินี้ฉันคงไม่มีหวังแล้ว”
ฉันทัชรับเงินทอนแล้วพูดกับเจ้าของร้านสาวว่า “ขอบคุณดูแลนะครับ รสชาติดีมากเลยครับ”
ประโยคง่ายๆประโยคเดียวกลับทำให้ปากของเจ้าของร้านยิ้มกว้างไม่หยุด
เจ้าของร้านสาวมองส่งร่างสูงโปร่งไปจนลับตาแล้วยังอิงประตูหน้าร้านอย่างอาลัยอาวรณ์
เจ้าของร้านเดินออกมาผลักไหล่เธออยากอารมณ์เสีย “มายืนทำอะไรตรงนี้?”
“ทำไมถึงได้มีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้นะ ผมไม่ชินกับการให้ผู้หญิงเลี้ยง โห แต่ได้ฟังใจมันก็เคลิบเคลิ้มแล้วอะ” เจ้าของร้านสาวกระทุ้งแขนเจ้าของร้านเบาๆแล้วเอ่ยขอร้อง “คุณก็พูดกับฉันแบบนี้สักครั้งสิ ให้ฉันให้รับรู้ความรู้สึกนี้หน่อย”
เจ้าของร้านดุเธอว่าประสาท แต่ก็สู้เธอไม่ได้จึงจำต้องพูดว่า “ผมไม่ชินกับการให้ผู้หญิงเลี้ยง…”
“เมื่อก่อนตอนนั้นที่เราเจอกันฉันเป็นคนเลี้ยงไม่ใช่รึไง แกยังพูดออกมาได้หน้าไม่อาย!” สีหน้าเจ้าของร้านสาวเปลี่ยน เธอส่ายหน้า “คนเขาทำได้น่าดูน่าเคลิบเคลิ้มมาก ทำไมแกทำแล้วมันฟังแล้วอยากจะอ้วกขนาดนี้?”
เจ้าของร้าน “…”
ผ่านไปได้ไหม?
เมื่อกินอิ่มยู่ยี่ก็รู้สึกสบาย อิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ถ้าหากมากินข้าวกับคุณบ่อยๆ จะเป็นการเอาเปรียบคุณได้อย่างไรกัน?”
ฉันทัชขยับริมฝีปากหัวเราะเบาๆ แล้วเลี้ยวซ้าย
“คุณไม่เชื่อเหรอ ถ้าหากกินข้าวเช้า กลางวัน เย็นกับคุณ วันหนึ่งก็สามารถประหยัดเงินไปได้ไม่น้อยเลยนะ ถ้าหนึ่งเดือนก็คงเป็นจำนวนเงินที่มากโข” เธอหันด้านข้างมามองเขา “มีผู้หญิงคนไหนเคยทำแบบนี้บ้างไหม?”
“มี…”
ยู่ยี่เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “มีจริงเหรอ?”
“ผมไม่แน่ใจว่าเธออยากกินข้าว หรืออยากกินผม…” เสียงของเขาเรียบๆ ทุ้มต่ำ แฝงไปด้วยความช่วยไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาต้องลำบากกับการใช้ชีวิตสิ่งนี้มันค่อนข้างมากเกินไป
“555…” ยู่ยี่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอแทบจะจินตนาการสายตาหิวโหยราวกับเสือกับหมาป่าของสาวๆพวกนั้นออก “นั่นเป็นเพราะคุณหล่อน่ากินมากแน่ๆ สาวๆพวกนั้นถึงได้จ้องคุณไม่ตาไม่กะพริบ”
แต่ถ้าดูจากความเป็นสุภาพบุรุษของเขาแล้ว มันก็มีความเป็นไปได้!
รถจอดเทียบข้างถนน ฉันทัชหรี่ตามองรอบๆ “ลงตรงนี้เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ยู่ยี่ปิดประตูรถยิ้มตาหยี สายตากวาดมองรอบๆ เธอเหมือนจะเห็นอะไรบางอย่าง “รอสักครู่นะคะ”
ขณะที่เธอเดินกลับมาในมือก็มีดอกกุหลาบแดงติดมาด้วย เธอหัวเราะเบาๆคำพูดแฝงไปด้วยคำหยอกล้อ “นี่ของขวัญขอบคุณ”
คิ้วสวยของฉันทัชค่อยๆเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ ยู่ยี่ยิ้มแล้วยัดมันไว้ในรถเขา “บ๊ายบายค่ะ ขับรถดีๆนะคะ”
วิลล่าเกสรฉันทัชเดินเข้าวิลล่า อาคิระรออยู่ที่ห้องรับแขกของวิลล่า เขาโยนรองเท้าแตะลงพื้นลวกๆ สองขายาวพาดอยู่บนโต๊ะชาอย่างเกียจคร้าน
ดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่บนโต๊ะชาโปร่งใส ฉันทัชส่งสายตาเตือนให้อาคิระรีบเอาเท้าลง
เขายืนอยู่หน้าที่แขวนเสื้อ ถอดเสื้อคลุมสีดำออก กล้ามหน้าอกใต้เสื้อเป็นมัดๆ อาคิระยื่นมือไปหยิบกุหลาบแดง “คุณฉันทัช ดอกไม้นั้นผู้หญิงคนไหนเป็นคนให้?”
“คนที่นายเคยเจอ…” เขานั่งยกแก้วน้ำอุ่นมาจิบเบาๆ
“ฉันเห็นสาวสวยมากมายรายล้อมรอบตัวนาย คนไหนกันล่ะ?” ผู้หญิงที่ห้อมล้อมตัวเขาเยอะแยะมากมาย
“ไม่ใช่สาวสวย แต่เป็นผู้หญิงท้อง…” เขาเปลี่ยนช่องทีวีไปช่องใหม่
พูดถึงผู้หญิงท้องก็มีเพียงคนเดียว อาคิระขมวดคิ้วมองเขานิ่ง “คุณฉันทัช นายคงไม่ได้สนใจผู้หญิงท้องอยู่ใช่ไหม?”
สีหน้าที่หล่อเหลาของเขาไม่เคลื่อนไหว “ในสายตานาย ฉันเป็นคนกินไม่เลือกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นายไม่รู้สึกว่าช่วงนี้นายใกล้ชิดกับเธอมากเกินไปเหรอ?” อาคิระเอ่ยปากพูด เท่าที่เขารู้มาก็ 3 ครั้งแล้ว
“ทั้งหมดมันเป็นความบังเอิญ…” ฉันทัชปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เสื้อม้วนขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นแขนแกร่งที่น่ามอง
“จะพูดแบบนั้นก็ถูก ในใจนายมีความรู้สึกพิเศษต่อเธอไหม?” อาคิระยังไม่ล้มเลิกที่จะเค้นถามต่อ
“รู้สึกดี…” เขาพูดออกมาสั้นๆ สายตาไม่ละออกจากทีวี
อาคิระรู้สึกแทบจะเป็นบ้า “นายรู้สึกดีกับผู้หญิงท้องเหรอ? รู้สึกดีแบบไหนกัน?”
ฉันทัชหันหน้ามามองเขาที่กำลังเป็นกระต่ายตื่นตูม ริมฝีปากบางขยับทิ้งคำพูดที่แฝงด้วยความนัยที่ลึกซึ้ง “สบายใจและความเงียบที่ไม่อึดอัด…”
สบายใจและความเงียบที่ไม่อึดอัด งั้นก็หมายความว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันแม้จะเงียบแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอัด แต่รู้สึกสบายใจ
อาคิระยักไหล่ “ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงแบบนี้มีอยู่เยอะแยะรอบตัว ทั้งรอบตัวฉันและรอบตัวนาย รอบตัวนายน่าจะมีเยอะยิ่งกว่า พวกเธอจะมีเรื่องคุยเหมือนๆกันกับนาย ถ้าหายเต็มใจจะไปสัมผัสกับพวกเธอ”
“โลกนี้มันเหมือนถังย้อมขนาดใหญ่ที่คอยเปลี่ยนคนให้แย่ลง พออยู่นานๆไป คนก็จะมีนิสัยปลิ้นปล้อน การเห็นใครแล้วจะพูดยังไงมันเป็นเพียงวิธีการหนึ่งเท่านั้น มันไม่ได้เกิดความรู้สึกเดียวกันจริงๆ เข้าใจไหม?”
เขาเหลือบมองอาคิระทีหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
“ถ้าหากพูดแบบนี้ หากสาเหตุมันเกิดจากเหตุผลเดียวงั้นฉันก็เชื่อว่าตอนที่นายอยู่มหาลัยหรือมัธยมปลาย มีผู้หญิงมากมายที่ทำให้นายเกิดความรู้สึกดี ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกดีที่เกิดจากผู้หญิงท้องคนนั้น…”
“ใช่…” เขาพยักหน้า มันก็แค่เพียงความรู้สึกดีอย่างเดียวเท่านั้น
“ระหว่างนายกับเธอมีช่องทางการติดต่อของกันและกันไหม?”
“ไม่มี…”
อาคิระเอ่ยปากพูดต่อ “ถ้าหากในอนาคตนายไม่เจอกับเธอแล้วล่ะ?”
“ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ การเจอหรือไม่เจอกันไม่ได้ส่งกระทบให้กันและกันมากมายนัก…”
รายการการถ่ายทอดสดข่าวจบพอดี ฉันทัชเดินไปทางห้องน้ำ
อาคิระมองออกว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นความจริง เขาเพิ่งจะเคยเจอผู้หญิงท้องคนนั้นไม่กี่ครั้ง แล้วจะเกิดความรู้สึกต่อเธอได้อย่างไร?
แล้วอีกอย่างเธอคนนั้นก็กำลังท้องอยู่ สามีก็ยังอยู่ข้างกาย คุณฉันทัชไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น
…
วันนี้อารมณ์ของยู่ยี่ไม่นับว่าแย่ ได้ออกไปเที่ยวมา 1 วัน อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ
กลับไปถึงคอนโด แม่บ้านกำลังทำอาหาร สามารถได้กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาได้เป็นระยะๆ
ยู่ยี่ล้างมือแล้วเดินไปเรียนกับแม่บ้าน วันนี้เธอทำผัดมะเขือ กลิ่นที่ออกมานั้นไม่ได้หอมธรรมดา
ในตอนนั้นเองหัสดินก็กลับมา เมื่อเห็นทั้งสองคนในห้องครัว สายตาก็ขยับแล้วเดินไปห้องหนังสือ
อาการร้อนใจไม่เป็นสุขของเขายังไม่หายไป เขานั่งบนเก้าอี้ห้องหนังสือแล้วจุดบุหรี่
แม่บ้านมองออกว่าทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน “เมื่อเช้าคุณชายตื่นเช้ามาก ตื่นเสร็จก็ตรงไปออกกำลังกายเลย ข้าวก็สุกแล้ว ให้เรียกคุณชายเลยไหมคะ?”
ยู่ยี่มองประตูห้องหนังสือ เธอยังคงโกรธอยู่ “แล้วแต่!”
แม่บ้านรู้ว่าหญิงสาวเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี จึงหัวเราะคิกคักแล้วไปเรียกหัสดินทันที
หัสดินไม่กะจะไปกินข้าว เขานั่งสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น แม่บ้านจึงพูดว่า “ไปเถอะค่ะคุณชาย ถึงแม้ว่าคุณผู้หญิงจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้านั้นจะตัดใจยอมให้คุณต้องทนหิวได้อย่างไร คุณผู้หญิงเป็นคนให้ดิฉันมาตามคุณชายเองค่ะ”
หัสดินเดินออกไป บนโต๊ะอาหารได้จัดเตรียมถ้วยข้าวพร้อมแล้ว 2 ถ้วย ยู่ยี่กำลังกินข้าว
หัสดินเดินเข้าไปนั่งลงเริ่มกินข้าว บรรยากาศระหว่างเขาและเธอเงียบมาก ไม่มีใครเอ่ยปากพูดก่อนเพื่อจะทำลายสถานการณ์ที่อึดอัดนี้
ส่วนยู่ยี่นั้นย่อมไม่มีทางเอ่ยปากพูด คำพูดประโยคนั้นของเขาทำร้ายเธอจนเป็นแผลที่ลึกและหนักมาก
อะไรคือการที่จากนี้ต่อไปเขาจะพาเธอไปงานเลี้ยงพบปะเพื่อนอีก? เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้มันแฝงไปด้วยความรังเกียจ สิ่งที่เธอรอก็แค่เพียงให้เขาสำนึกความผิดของตัวเองจริงๆ จากนั้นก็พูดขอโทษ แต่เขากลับ…
หัสดินเห็นเธอกินแต่ผัก อาหารอย่างอื่นเธอแทบจะไม่แตะเลย เขาขมวดคิ้วแล้วคีบเนื้อปลาให้เธอ
ใจของเธอมีร่องรอยที่ดูใจอ่อนลงบ้างแล้ว แต่กลับเขี่ยเนื้อปลาออกอย่างเย็นชา
เขาขมวดคิ้วจ้องมองเธอ
“ได้กลิ่นเนื้อปลาแล้วอยากอ้วก อยากอาเจียน…” เธอพูดเรียบๆ กวาดหางตามองเขา เขาไม่ได้โกรธ
หัสดินไม่พูดอะไรแล้วคีบมะเขือให้เธออีกครั้ง เธอไม่ได้แสดงอาการโกรธอีก แล้วกินมันไปทั้งหมด
สีหน้าเขาอ่อนโยน ความวุ่นวายในใจเหมือนจะหายไปบ้างแล้ว ตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา หัสดินหยิบโทรศัพท์ออกมา
เรนนี่เป็นคนโทรมา…
คิ้วเขาขมวดสูง เขาไม่ได้ยื่นมือไปรับ สายถูกวางไป จากนั้นก็โทรกลับมาอีกราวกับไม่มีทีท่าจะหยุด
ยู่ยี่มองเขาอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่รับสาย เมื่อรับรู้ถึงสายตาของเธอ หัสดินจึงรับสายด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคุยกับพนักงานในบริษัทเหล่านั้น “มีเรื่องอะไร?”
“ทำไมคุณถึงต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย?” น้ำเสียงของเรนนี่มีความโกรธปนอยู่อย่างที่น้อยครั้งนักจะได้ยิน
เธออ่อนหวานกับหัสดินมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นยังเต็มไปด้วยความรักและการไล่ตาม ไม่มีตอนไหนที่เคยโกรธมาก่อน?
“คุณหมายถึงด้านไหน?” น้ำเสียงของหัสดินยังคงสงบและเย็นชาเหมือนปกติ สายตาแอบลอบมองยู่ยี่
“สัญญาความร่วมมือของบริษัทชุดนั้น สัญญาความร่วมมือฉบับนั้นฉันต้องลงแรงไปมากกว่าจะสามารถคว้ามันมาได้ ทำไมคุณถึงต้องให้ประธานครามปลดชื่อฉันออกด้วย? คุณไม่อยากเห็นฉัน กลัวว่าฉันจะอาศัยโอกาสนี้เกาะคุณ คุณถึงได้ให้ประธานครามทำแบบนี้เหรอ?”
หัสดินเลิกคิ้ว เดินไปที่ข้างหน้าต่างห่างจากยู่ยี่หลายก้าว “คุณคิดมากไปแล้ว สัญญาฉบับนั้นผมคิดว่าให้เลขาเตโชรับช่วงต่อจะดีกว่า เขาเคยมีผลงานที่โดดเด่น ผมเชื่อว่าเขาจะสามารถส่งโปรเจกต์ที่สมบูรณ์แบบและน่าพอใจมาให้ผมได้ ผมเชื่อในความสามารถการทำงานของเขา