ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 371 ใครคือทั้งชีวิตของใคร
“ขออภัย เรารับสมัครเฉพาะพนักงานที่มีประสบการณ์” ผู้จัดการพูดขึ้นอีกประโยคหนึ่ง
เธอก้มศีรษะลง และเดินออกจากบริษัทอีกครั้งด้วยความรู้สึกมืดแปดด้าน เธอไม่เคยคิดว่าการหางานจะยากขนาดนี้
บริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงต่างให้ความสำคัญกับการตอบสนองที่หลักแหลมของพนักงาน วาทศิลป์ที่ยอดเยี่ยม และมีจุดแข็งซึ่งเธอไม่มี
บริษัทขนาดเล็กให้ความสำคัญกับประสบการณ์การทำงานของพนักงาน ซึ่งเธอก็ไม่มีเช่นกัน
ในเวลานี้เธอรู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรเลย
“เฮ้อ…” โก๋ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าคุณยู่ยี่จะไม่ได้งานอีกแล้ว ดูสิ้นหวัง”
ฉันทัชเหลือบมองไปนอกหน้าต่างซึ่งร่างบางกำลังก้มหน้าเดินไปข้างหน้า และพูดเบา ๆ ว่า “เธอบอกว่าการเรียนของเธอไม่เคยดีเลย…”
“เด็กหลังห้องในตำนาน” โก๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉันทัชถาม เหมือนสนใจในสิ่งที่เขาพูด “เด็กหลังห้องหรอ”
“เด็กหลังห้อง เรียกอีกอย่างว่าเด็กเรียนไม่ดี เป็นคำฮิตบนอินเทอร์เน็ต เป็นการเยาะเย้ยตนเองของนักเรียนที่เรียนไม่ได้ตามที่คาด” โก๋อธิบาย
ยู่ยี่กำลังนั่งบนม้านั่ง เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าการหางานยากเพียงใดหรือการเรียนให้ดีมีความสำคัญเพียงใด
เธอไม่เรียกรถอีก แต่แค่เดินไปข้างหน้าแบบสบายๆ เดินๆหยุดๆ
ใกล้จะมืดแล้ว ยู่ยี่ถอนหายใจเบาๆ เธอเดินช้าๆบนถนนที่กว้างขวางและเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนจะเห็นประกาศรับสมัครอยู่ระหว่างทาง
เธอเดินเข้าไป ผู้จัดการเป็นชายวัยกลางคนหัวล้าน พุงอ้วน เมื่อได้ยินความตั้งใจของเธอ เขาก็ขอเรซูเม่ด้วยรอยยิ้ม
เธอส่งให้ พลางเหลือบมองไปรอบๆสถานที่ที่เรียกว่าพื้นที่สำนักงาน ในนี้มีเพียงสองห้องเท่านั้น และดูรกไปหน่อย เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เรซูเม่ดูไม่เลว พรุ่งนี้มาทำงานได้เลย” ผู้จัดการวางเรวูเม่ลง
ยู่ยี่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เธอตอบรับ และอยากจะออกจากที่นี่ก่อน
แต่ผู้จัดการกลับขอบัตรประชาชน แต่เธอไม่ให้ และแก้ตัวว่าอยู่บ้าน ก่อนที่เขาจะไปส่งเธอที่ลิฟต์ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเธอหันหลังเตรียมจะออกไป สีหน้าของผู้จัดการก็เปลี่ยนไป มืออ้วนของเขาโอบเอวเธอ และปากของเขาก็ทำท่าจะประทับลงบนใบหน้าของเธอ
เธอไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างนี้มาก่อน ยู่ยี่ตกใจเล็กน้อย เมื่อตั้งตัวได้แล้ว เธอก็ใช้เล็บที่แหลมคมบีบแขนของผู้จัดการ
ผู้จัดการหายใจหอบด้วยความเจ็บปวด แต่ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งของผู้ชายก็ยังแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง เขาหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “แค่เธอทำให้ฉันพอใจ เรื่องอื่นมาคุยกันได้”
ไม่ซาบซึ้งเลยสักนิด เธอยกขาซ้ายของเธอดันขึ้นอย่างแรง แล้วกระแทกศอกขวาของเขาเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างตั้งใจ
ผู้จัดการทนไม่ไหว เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาปิดตาด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกุมหว่างขาด้วยความเจ็บปวด
ยู่ยี่รีบใช้โอกาสนี้เดินออกไป แต่ผู้จัดการไม่ยอมแพ้ ยังคงไล่ตามเธอ และพูดเพ้อเจ้อ “เมียจ๋า อย่าไปเลยนะ เมียจ๋า!”
เขาวิ่งเร็วมาก และร่างกายของยู่ยี่ยังอ่อนแออยู่ เมื่อเห็นว่าระยะห่างห่างทั้งสองเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว เท้าของเธอก็พลิก และล้มลงในช่วงเวลาคับขัน
เธอหน้าตื่น ดวงตาหม่นแสง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือเธอไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่ถูกแขนคู่หนึ่งรับไว้พอดี
เธอคว้าผู้ช่วยชีวิตด้วยมือทั้งสองข้างตามสัญชาตญาณ แขนคู่นั้นแข็งแรง สัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่เปล่งออกมาจากตัวเขา และยังมีกลิ่นตัวที่หอมมาก
เธอเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อเห็นเขาคนนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คิดว่าจะเป็นฉันทัช!
ผู้จัดการโกรธเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมตะกี้ยังถูกยู่ยี่เตะหลายครั้ง เขายิ่งไม่พอใจ ตอนนี้ระหว่างทางยังมีคนมาขวางทาง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พอใจ “แกหลบไป!”
ฉันทัชไม่สนใจผู้จัดการ และไม่แม้แต่จะปรายตาไปมอง เขาเพียงแค่พยุงยู่ยี่ขึ้น “คุณเจ็บไหม”
รังสีที่ออกมาจากตัวเขานั้นร้อนแรง และในระยะใกล้เช่นนี้ รังสีของผู้ชายที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก เธอรีบ ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และส่ายหัว
“ผมว่าแล้วเธออยู่ที่ไหนก็ซุ่มซ่าม เธอเป็นภรรยาของผม!” ผู้จัดการพูดเรื่องไร้สาระ
ร่างกายที่งอเล็กน้อยยืนตัวตรง ดวงตาสีเข้มของฉันทัชเหล่มองผู้จัดการโดยไม่พูดอะไร เขาแค่จ้องมาที่เขาแบบนั้น
รังสีที่แผ่ออกมานั้นรุนแรงเกินไป และมากกว่านั้นคือบรรยากาศอึมครึมที่บรรยายไม่ได้ ผู้จัดการก็ถูกกดดันแล้ว
“มีอะไรอีกไหม” ฉันทัชเปล่งประโยคนี้ออกมาอย่างเฉยเมย
ผู้จัดการไม่กล้าทำอีก เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่สามารถยุ่งด้วยได้ง่ายๆ เขาจึงเช็ดหน้าและพูดตะกุกตะกัก “ไม่…ไม่มีอะไร”
สิ้นเสียงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้ายู่ยี่ก็พูดไม่ออก รังสีของคนนั้นทรงพลังมากขนาดนี้เลยหรอ
“ขอบคุณมาก แต่ทำไมคุณฉันทัชมาที่นี่” เธองง
โก๋ที่อยู่ข้างๆอธิบายว่า “ผมกับคุณฉันทัชไปเอาเอกสารมา และระหว่างทางเราก็เห็นคุณยู่ยี่ไปที่บริษัทนั้น แต่บริษัทนั้นผิดปกติ คุณฉันทัชจึงขอให้ผมขับรถมา”
อย่างนี้นี่เอง ยู่ยี่ดึงสายตาจากโก๋ไปมองฉันทัช และนำผมไปทัดหลังหู “ทุกครั้งที่เจอคุณ ฉันมักจะทำให้คุณลำบากเสมอ ขอโทษนะคะ ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็น ไปกินด้วยกันมั้ยคะ”
เธอเจอกับเขาไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่เจอกัน ต่างเป็นช่วงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ
ฉันทัชพยักหน้า “ได้”
ยู่ยี่รู้ว่าคนอย่างเขาไม่กินข้าวข้างทาง เธอจึงไม่พาเขาไปที่ร้านข้างทาง แต่พาไปร้านโจ๊กที่มีชื่อเสียง
เธอสั่งโจ๊กสองชาม และเครื่องเคียงอีกหลายชาม ทั้งหมดรสอ่อนมาก ช่วงนี้เธอไม่สามารถกินอาหารรสจัด เพราะเพิ่งจะแท้ง
เหมือนกับที่เธอพูดก่อนหน้านี้ รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแข็งแกร่งมาก และเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ชอบพูด ดังนั้นเธอจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ความรู้สึกไม่สบายใจของเธอก็หายไป “ไม่ทราบว่าคุณฉันทัชชอบอาหารประเภทนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ชอบ เดี๋ยวคราวหน้าฉันเลี้ยงคุณใหม่”
“ชอบมาก ผมไม่ใช่คนเลือกกิน” ฉันทัชตอบ
“งั้นก็ดีค่ะ” ตอนนี้เธอถึงเพิ่งเริ่มสบายใจ
จากนั้นฉันทัชก็ถาม “ทำไมถึงต้องรีบหางานขนาดนั้น”
เขาเห็นความเร่งรีบของเธอ เพียงแค่เวลาไม่นานเธอก็ไปสมัครงานถึงสามบริษัทแล้ว
เธอเงียบไปสักพัก ก่อนจะยกมุมปากขึ้นมา “เพราะต้องทำงานเลี้ยงตัวเองค่ะ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีอะไรกินแล้ว”
เขาขมวดคิ้วมองเธอ ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย “ผมจำได้ว่าคุณเหมือนจะแต่งงานแล้ว”
“หย่ากันแล้วค่ะ ตอนนี้โสด ฉะนั้นต้องหาเลี้ยงตัวเอง” ยู่ยี่ก้มหน้าซ่อนสายตาตัวเอง และตักโจ๊กขึ้นกิน
ฉันทัชรู้สึกประหลาดใจมากกับคำตอบนี้ เขายกมือใหญ่นวดหว่างคิ้วเบาๆ “ขอโทษด้วยครับ ผมถามกะทันหันเกินไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันคือความจริง”
…..
เมื่อกินโจ๊กเสร็จพนักงานเสิร์ฟก็เข้ามา ฉันทัชหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาเปิดแล้ว เตรียมจ่ายเงิน
ยู่ยี่รีบห้ามเขา “ฉันบอกว่าจะเลี้ยงไงคะ!”
“ผมไม่เคยให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าวมาก่อน”
“ฉันจะเอาเปรียบคุณอยู่แบบนี้ไม่ได้ ถ้าคุณยังทำแบบนี้ต่อไป จากนี้ฉันจะกินข้าวกับคุณอย่างมีความสุขได้ยังไง” เธอทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
หลังจากอยู่กับเขามาสักพัก คุณต้องรู้จักทำให้ผ่อนคลาย เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบพูดมาก ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างไม่พูด บรรยากาศก็จะเริ่มอึดอัด
ฉันทัชขยับริมฝีปากขึ้นมายิ้มเล็กน้อย “ครับ”
ยู่ยี่เป็นคนจ่ายค่าอาหาร แล้วเหมือนคิดอะไรได้ เธอจึงพูดกับพนักงานเสิร์ฟ “ เอาโจ๊กอินทผลัมแดงกับโจ๊กเมล็ดบัวมาอีกอย่างละชาม ใส่กล่องเก็บความร้อนนะคะ”
โก๋ยังคงรออยู่ที่รถ ฉันทัชจะไปส่งยู่ยี่ที่บ้าน และเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่ออยู่ในรถ ยู่ยี่ก็ยื่นกล่องอาหารร้อนๆให้โก๋ “ฉันซื้อโจ๊กมาสองที่ อันหนึ่งใส่อินทผลัมแดงและอีกอันใส่เมล็ดบัว ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบอันไหน เลยคิดว่าคุณกินทั้งสองชามคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
โก๋ตกใจ ไม่ยื่นมือมารับ แต่ก็ต้องบอกว่าเขาซึ้งใจจริงๆ
ฉันทัชพูดด้วยดวงตานิ่งลึก “รับไปสิ”
“ขอบคุณครับ คุณยู่ยี่” โก๋ยิ้มและหยิบกล่องอาหารอุ่นๆขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังร้อนอยู่ กินในรถสิ” พูดจบเธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปมองฉันทัช “ฉันจะเปิดกระจกรถให้ รถจะได้ไม่มีกลิ่น”
เสียงของเขาเบาและอ่อนโยน “ไม่เป็นไร…”
โก๋กินอย่างรวดเร็ว และเพียงครู่เดียวโจ๊กสองชามก็หมดลง จากนั้นรถก็สตาร์ท และขับออกไป
ถนนอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ที่เธอเลือกมากนัก เมื่อเธอมาถึงยู่ยี่ก็เปิดประตูรถและลงจากรถ “ขับรถปลอดภัยนะคะ”
“ราตรีสวัสดิ์…” ฉันทัชกล่าว แสงไฟทั้งสองข้างของถนนส่องประกายกระทบลงบนใบหน้าของเขาซึ่งดูสดใส
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เธอยิ้ม
เธอยืนอยู่ที่เดิม มองส่งรถเบนท์ลีย์สีดำจนหายไปจากสายตา ก่อนที่ยู่ยี่จะดึงสายตาพาตัวเองขึ้นไปชั้นบน
แม้ว่าจะไม่ได้ผลตามคาด แต่เธอก็ยุ่งทั้งวัน เธอเหนื่อยมาก เมื่ออาบน้ำอุ่นในห้องน้ำเสร็จ เธอจึงเข้านอนทันที
เธออยู่คนเดียวในห้อง ถึงห้องไม่ใหญ่ แต่ยังก็เงียบเหงา เธอไม่ชอบความเหงาแบบนี้เลยหยิบมือถือออกมาเปิดวีแชท
นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เข้ามา ตอนนี้เธอเหงาเกินไป จึงคลิกดูโพสถ์ของเพื่อนๆ เลื่อนลงดูเรื่อยๆทีละหน้า
เพื่อนๆต่างระบายความรู้สึกของตัวเอง หรือเล่าเรื่องที่เจอช่วงนี้ และยังมีการแชร์ทิวทัศน์ที่สวยงาม
เลื่อนลงมาอีกไม่นาน เธอก็เห็นหัสดิน เขาลงแก้วสองใบ ข้างหลังเขียนว่าทั้งชีวิต
มือของเธอที่ถือโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย หัวใจของเธอเหมือนจะถูกเข็มทิ่มแทงแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ
ทั้งชีวิต หมายถึงว่าใครเป็นทั้งชีวิตของใคร ไม่ต้องบอกก็รู้
ริมฝีปากของเธอสั่นระริก ก่อนจะลบเพื่อนหัสดิน และลบทุกอย่างเกี่ยวกับหัสดิน
ตอนนี้ไม่ต้องติดต่อกันอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีคอนแทคกันไว้
หัวใจของเธอเจ็บมาก เจ็ดปีที่ผ่านมา เธอทุ่มเททุกอย่างทั้งความรัก ความเอาใจใส่ ทุกอย่างที่ทำได้เธอทำหมดแล้ว
แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือทั้งชีวิตของเขากับเรนนี่
เธอทิ้งโทรศัพท์ ดึงผ้าห่มปิดตัวแน่น แล้วหลับตา หลับเถอะ ตอนนี้เธอมีแผลเป็นทั้งร่างกาย แต่เพราะแผลเป็น ไม่มีอะไรให้เจ็บอีกแล้ว แผลเป็นพวกนี้จะหายดีในวันหนึ่ง
ตอนนี้ยังเจ็บอยู่มั้ย
เจ็บ แต่ความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ใช่ความเจ็บปวดถึงขีดสุด แต่เป็นความเจ็บปวดที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อย ความเจ็บปวดที่แผ่ขยายออกไป