ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 38 ประโยคนี้ เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยิน
เลอแปงตะลึง เขาเพิ่งฉุกคิดได้ว่าตนเองลืมเปลี่ยนเสื้อผ้ามา พลันหรี่ตายิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์ “หล่อจนไม่อยากจะละสายตาเลยใช่ไหมครับ?”
“คราบน้ำมันติดอยู่บนเสื้อ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วๆ” สุนันท์ก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพียงแค่พูดขึ้นมาเท่านั้นเอง
เลอแปงยิ้มหน้ามู่ทู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน หันหลังให้สุนันท์ กะพริบตาให้หยาดฝนเพื่อไม่ให้เล็ดลอดสายตาของเขาไปได้
หยาดฝนเข้าใจความหมายของเขาทันที พลันพยักหน้า และโบกมือ เพื่อสื่อความหมายให้เขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“นี่หยาดฝน ไหนพูดว่าว่าที่สามีจะกลับมาที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ด้วยไง?” สุนันท์ยกซุปปลาขึ้นมาดื่มหลายอึก
“งานทางนั้นยังไม่เสร็จ พี่สะใภ้จะได้เจออย่างแน่นอน ไม่งั้น พี่สะใภ้จะดูรูปเขาก่อนไหม?”
หยาดฝนเงยศีรษะขึ้น พร้อมทั้งตักซุปปลาแบ่งให้สุนันท์ และพูดไปด้วย
สุนันท์ยิ้มตอบ “ดูหน่อย คนที่เข้ามาขโมยหัวของอาหญิงคนเล็กของฉัน หน้าตาต้องหล่อเหลาต้องตามากแน่ ๆ”
“หล่อเหลาอะไรที่ไหนกัน ก็คนปกติอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ ไม่ใช่มีตาเพิ่มมาอีกสองดวงหรือปากเพิ่มมาอีกหนึ่งปากนี่”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น หยาดฝนวางโทรศัพท์ลงทันที บนหน้าจอโทรศัพท์กลับมีผู้ชายที่โอบไหล่เธอเอาไว้ และยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
รูปหน้าของชายหนุ่มดูเฉียบคมมาก คิ้วเข้ม ดวงตาทอประกาย เบ้าตาทั้งหล่อทั้งอ่อนโยน
“เป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่งเลย หยาดฝนตาแหลมนี่ ออกัสแกดูนี่” สุนันท์พูด และจงใจยื่นโทรศัพท์มาให้ เพื่อเป็นการลองใจดู
ออกัสแสดงท่าทางเฉยเมย สายตามองลงบนหน้าจอ พลันเหลือบมองเล็กน้อย จากนั้นก็เผยอริมฝีปากบาง “ไม่เลวนี่”
“แม่ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย” สุนันท์ยิ้มตอบ ราวกับเหมือนฉุกคิดอะไรได้ เมื่อมองมาที่เชอร์รีนแล้ว สีหน้าดูเคร่งขรึมมาก “ข่าวพวกนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
เชอร์รีนพยายามทำให้ตัวเองดูเป็นอากาศธาตุที่สุด แต่จู่ ๆ หัวข้อก็พุ่งมาตกที่ตัวเองเสียนี่ เธอตะลึงไปเล็กน้อย ตอนที่เตรียมพูดนั้น พลันมีเสียงทุ้มต่ำพูดแทรกเธอก่อน “เรื่องนั้นผมได้เริ่มตรวจสอบแล้ว…”
เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาของสุนันท์กลับกวาดตามองไปที่ตัวของหยาดฝนอย่างไม่ได้ชี้เฉพาะ จากนั้นก็พูดว่า “ฉันหวังว่า ความจริงคงไม่ใช่ตามที่โทรทัศน์เสนอข่าวออกมา”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้พูดกับเธอ เชอร์รีนเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ส่วนทับทิมผู้ซึ่งละโมบโลภมาก กลับไม่สนใจบรรยากาศรอบโต๊ะใดๆ ทั้งนั้น “เหมือนว่าจะดึกมาแล้ว คืนนี้ฉันขอนอนที่นี่ได้ไหม?”
“คืนนี้แกมีเรื่องสำคัญต้องไปทำไม่ใช่เหรอ?” เชอร์รีนกัดฟันอย่างอดไม่ได้
“ใครพูดว่าฉันมีเรื่องสำคัญเหรอ? หิมะตกแล้วเนี่ย ที่นี่ก็ไม่มีรถแท็กซี่ ค้างสักคืนได้ไหมล่ะ?”
พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเกิดปฏิเสธไป แล้วมีข่าวลือแพร่ออกไปมันดูไม่ดีแน่
ส่วนสุนันท์เป็นพวกประเภทนี่ไม่ชอบให้คนอื่นมาพูดลับหลังเรื่องเสียหายของตระกูลสิริไพบูรณ์ ดังนั้น จึงรีบให้บ่าวไพร่ไปจัดเตรียมห้องหับเอาไว้
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว สุนันท์ก็เดินขึ้นชั้นสองทันที ในห้องรับแขกมีคนเยอะแยะที่เธอไม่อยากเจอหน้า เช่นทับทิม เอยเชอร์รีนเอย ยังมีหยาดฝนอีกคน
บนโต๊ะอาหาร เธอคอยลองสำรวจหยาดฝนกับออกัสอยู่ตลอด แต่การแสดงออกของทั้งสองคนก็ดูเป็นปกติดีมาก แถมไม่ได้มีความผิดปกติตรงไหน
แม้ว่าจะเป็นลูกชายของตนเองก็ตามที แต่ความคิดของออกัสมันช่างลึกซึ้งดำดิ่งเหลือเกิน เธอคาดเดาอะไรไม่ออกจริง
ดังนั้น ทำได้แค่วางใจไปอย่างไม่มีทางเลือก
เชอร์รีนไม่อยากอยู่กับทับทิม เนื่องจากร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงด้วย ดังนั้นจึงค่อยๆ เดินขึ้นไปยังชั้นบนทันที
ออกัสหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมทั้งสาวเท้าก้าวยาวไปยันดักหน้าเอาไว้ และจัดการทำเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาล นั่นคืออุ้มตัวเธอและพาเธอขึ้นไปชั้นบน
ในห้องรับแขกนั้น หยาดฝนเหมือนจะกวาดตามองแผ่นหลังคนรูปร่างสูงใหญ่นั่น หางตาค่อยๆ หมองหม่นลงเล็กน้อย
หลังจากพูดบอกลากับทับทิมแล้ว เธอเองก็กลับห้องทันที
ดังนั้น ในห้องรับแขกตอนนี้เหลือแค่ทับทิมคนเดียว เธอจัดการนั่งไขว่ห้าง ด้านหน้าก็มีกาแฟวางอยู่ และยังมีผลไม้สดอีกหนึ่งจาน เปรียบเสมือนว่าตอนนี้เธอกลายเป็นเจ้าของที่นี่ไปแล้ว
ในห้องนอน
เชอร์รีนนั่งอยู่บนเตียง ในหัวสมองก็ครุ่นคิดเรื่องข่าวนั้นอยู่หลายตลบ เวลาที่หางตาเผลอไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่บนเตียง จนถูกดึงความสนใจไปหมด
เสื้อสเวตเตอร์ของชายหนุ่มม้วนขึ้นด้านบนเล็กน้อย จนเผยให้เห็นแขนอันกำยำเป็นมัดๆ และกำลังตรวจสอบเอกสารของบริษัทอยู่ นัยน์ตาหรี่จนแคบ มือซ้ายก็หยิบปากกามาตวัดไปมา ทั้งทำงานได้อย่างมีประสบการณ์ และเด็ดเดี่ยว
ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เธอเพิ่งค้นพบว่าเขาเอาแต่ใช้มือซ้ายมาตลอด แถมยังใช้ได้อย่างมีเสน่ห์
“มองพอหรือยัง คุณหญิงเชอร์รีน…” เขาเลิกคิ้วขึ้น แต่กลับไม่เงยหน้าขึ้นมา
เมื่อถูกจับอาการได้แล้ว เชอร์รีนกระแอมออกไปเล็กน้อย และพูดว่า “ฉันรู้สึกว่ามันดูแปลก เรื่องพาดหัวข่าวของฉันที่ออกข่าว”
“พูดต่อ…” ออกัสขึ้นเสียงสูง เพื่อส่งซิกให้เธอพูดต่อไป
“เรื่องนี้มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเหมือนมีคนจงใจพุ่งเป้ามาที่ฉัน อีกอย่างยังเป็นคนใกล้ตัวฉันด้วย” เธอพูดถึงตรรกะความคิดของตนเองออกมา
เพราะคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีความอาฆาตแค้นกับเธอ คงไม่ทำร้ายเธอเช่นนี้
อีกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปในงานเลี้ยงฉลองใน ktv ก็ตาม หรือว่าคลิปวิดิโอในผับก็ตาม ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ข้างกายเธอ แล้วจะไปถ่ายรูปออกมาได้ยังไง?
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว จู่ ๆ เธอก็ตบท่อนขาทันที “หรือว่าจะเป็นคุณหญิงเกตุแก้ว?”
เขาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร และเหลือบมองเธอ “เหตุผลล่ะ?”
“คุณหญิงเกตุแก้วเคยไปหาผู้อำนวยการกีรติที่โรงเรียนสองครั้ง ประจวบเหมาะกับตอนที่ผู้อำนวยการกีรติซื้อกาแฟมาให้ฉันพอดี คงมีความคับแค้นอยู่ในใจแน่ ๆ ดังนั้นเลยใช้เงินว่าจ้างคนไปสะกดรอยตามฉัน และถ่ายรูปกับวิดิโอเหล่านั้นเอาไว้ แล้วค่อยส่งไปที่สถานีโทรทัศน์ เมื่อหวนกลับไปคิดอย่างละเอียดแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวก่อนหน้านี้ มีแค่เหตุผลนี้แหละที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ออกัสกระตุกมุมปากขึ้น และพูดทิ้งท้ายสื่อความหมายเอาไว้หนึ่งประโยค “ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่สุด แต่กลับไม่เป็นความจริงที่สุดเลย…”
เชอร์รีนไหวพริบดีพร้อมทั้งจับใจความสำคัญทันที “มีความหมายอื่นอยู่ในคำพูดของคุณ ไม่งั้นคุณพูดมาให้ฟังหน่อยสิ”
“ผลตรวจสอบจะออกวันพรุ่งนี้…” ตอนที่พูดออกมานั้น ปากกาในมือของเขาก็เริ่มขยับอีกครั้ง
แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะพูดคุยกับเธอแล้ว เชอร์รีนเกิดอาการไม่สบอารมณ์เล็กน้อยจนเหลือบมองเขาอยู่สักพัก
วุ่นวายมาตลอดทั้งวันแล้ว ตอนนี้ถือว่าง่วงจริงๆ แล้ว เธอเอนตัวลงบนเตียง หลับตา และพูดพึมพำออกมา “คุณออกัส ฝันดีค่ะ”
น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับขนนกลอยผ่านไปมา เขามองแผ่นหลังอันผอมบางนั่นอยู่สักพัก จากนั้นก็ตอบกลับอย่างสุขุม “ฝันดี…’
ผ่านไปนานพอควร ในห้องก็เงียบสนิท มีแค่ลมหายใจที่แผ่วเบาดังขึ้น
เชอร์รีนที่นอนอยู่บนเตียงหลับสนิทแล้ว พร้อมทั้งหายใจเข้าออก อย่างแผ่วเบา
ออกัสวางปากกาลง และใช้ฝ่ามือที่ข้อต่อนิ้วแยกออกอย่างชัดเจน นวดบริเวณหน้าผาก จากนั้นกูลุกขึ้น และยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างจรดพื้น
ท้องฟ้ามืดสนิท หิมะโปรยปรายจากท้องนภาไปทั่ว บนพื้นดินมีหิมะปกคลุมไปทั่ว
นัยน์ตาอันสุขุมมองความมืดของค่ำคืนด้านนอกหน้าต่าง ทั้งดำ ทั้งมืดเข้ม แต่ทำอย่างไรก็มองไม่เห็นจุดจบ
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็หยิบบุหรี่ออกมา จากนั้นก็จุด ควันบุหรี่ห้อมล้อมรอบตัว และลอยเหนือขึ้นไป ดวงตาดำทางซ้ายหรี่ตาลงอย่างเซ็กซี่
“หยาดฝน……”
ในที่สุดชื่อนี้มันก็หลุดออกจากปากไปหลังจากที่มันวนเวียนอยู่เป็นหมื่นเป็นพันครั้งรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดหม่นในยามราตรี
ความคิดของเขาก็เหมือนกับหมอกดำ มองไม่ออก คาดเดาไม่ได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
เชอร์รีนลืมตาขึ้น พลันรีบหยิบเอาโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียงออกมา ตอนนี้เจ็ดโมงแล้ว
อีกฝั่งเตียงนั้นว่างเปล่า พลันยื่นมือไปสัมผัส กลับเย็นเฉียบ แสดงให้เห็นว่าออกไปนานสักพักแล้ว
พลันยืดตัวบิดขี้เกียจ เธอก็ควรตื่นนอนได้แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อวาน ตรงช่องท้องน้อยมันดีขึ้นมากแล้ว อาการเจ็บปวดก็หายไปแล้ว
หลังจากเธอล้างหน้า แปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกจากห้องน้ำ ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา ชายหนุ่มเดินเข้ามา เขาใส่ชุดออกกำลังกายอยู่
“คุณออกัส Morningค่ะ” เชอร์รีนยิ้มให้ พร้อมทักทาย
เมื่อเหลือบมองนาฬิกา คิ้วอันน่ามองของออกัสพลันย่นหากันเล็กน้อย และเงยหน้า “Morning รอผมห้านาทีนะ…”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็สาวเท้าก้าวยาวเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากนั้นประมาณห้านาทีได้ ออกัสก็เดินออกมา ชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็ห่อหุ้มอยู่บนร่างกายอันสูงโปร่งของเขาแล้ว หน้าตาหล่อเหลาเรียบหรูมีระดับ “ไปกัน”
เชอร์รีนตะลึงเล็กน้อย “ไปไหนเหรอคะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูสับสนไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ออกัสกระซิบเสียงพูด “วันนี้ผลตรวจออกมาแล้ว…”
เร็วขนาดนั้นเชียว? เธอตกใจมาก แต่กลับสงสัยมากกว่า ว่าคนที่คอยใส่ความเธอตกลงว่าเป็นใครกันแน่!
รถแลนด์โรเวอร์สีดำทะยานไปทางด้านหน้า สายตาของเชอร์รีนก็มองออกนอกหน้าต่าง มองไปเรื่อยเปื่อย
จู่ ๆ เธอก็ขมวดคิ้วหากัน พลันจ้องมองคนที่เดินอยู่ข้างถนนที่ดูคุ้นตา และอ้าปากถาม “นั่นอาหญิง…ใช่ไหม?”
ออกัสไม่ได้พูดอะไร พลันเหลือบตามองเล็กน้อย พร้อมทั้งหรี่ตามอง จากนั้นก็จอดรถริมถนนทันที
การถูกขวางทางเดินเอาไว้ ทำให้หยาดฝนต้องหยุดฝีเท้าทันที พลันเงยหน้าขึ้น พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เชอร์รีนออกัส”
“อาหญิงจะไปไหนเหรอ?”
“ไปเทศบาล ไปเอาเอกสารบางอย่างนะ”
“ทางเดียวกันเลย อาหญิง ไปด้วยกันเร็ว” เชอร์รีนเปิดประตูรถอย่างมีมารยาท
เมื่อขึ้นรถมาแล้ว หยาดฝนนั่งเบาะหลัง ตลอดทาง ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย บรรยากาศในรถมันวังเวงมาก
เมื่อผ่านร้านอาหารที่เปิดในตอนเช้า เชอร์รีนก็ให้จอดรถ เพราะยังไม่ได้กินอาหารเช้ามา จนตอนนี้มันหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หยาดฝนยิ้มตอบ “อาหารเช้าคงยังไม่ได้กินกัน งั้นไปกินด้วยกันเลย”
บรรยากาศในร้านอาหารที่เปิดตอนเช้าช่างหรูหรามาก สงบเงียบ เสียงเพลงบรรเลงมาอย่างช้าๆ แต่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกสับสน แต่กลับสบายใจ
เชอร์รีนสั่งไม่น้อยเลย มีน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ผัดดองปรุงรส แถมยังมีเสี่ยวหลงเปาอีกหนึ่งเข่ง
หยาดฝนสั่งน้ำผลไม้มาหนึ่งแก้ว และขนมปังที่เพิ่งจะอบเสร็จใหม่ๆ
เมื่อใช้สายตามองข้ามไป เธอก็เห็นว่าเขาสั่งโจ๊กหนึ่งชาม แถมค่อยๆ กินอย่างสง่างามมาก
ผู้ชายตัวโต แต่กินน้อยมาก?
เธอขมวดคิ้วเอาไว้ พร้อมทั้งยื่นปาท่องโก๋ ดันมาทางด้านหน้าของเขา ยังไม่ทันพูดอะไร หยาดฝนก็พูดทันที “เขาไม่ชอบกินพวกของทอด”
“แบบนี้เอง” เชอร์รีนดันเสี่ยวหลงเปาให้
“เขาไม่ชอบกินหอมที่สุดเลย” หยาดฝนตอบอีกครั้ง
“แล้วพวกผักดองล่ะ? ชอบหรือเปล่า?”
“เขาไม่ชอบกินแครอท…”
เมื่อได้ยินดังนั้น เชอร์รีนเหลือบมองออกัส พลันเลิกคิ้วขึ้น “เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมเลือกกินขนาดนี้เนี่ย”
หยาดฝนยิ้มและอธิบายทันควัน “คนเรามักมีรสชาติเป็นของตนเอง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
ออกัสทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันอยู่ พลันเหลือบตามองอาหารที่วางอยู่ด้านหน้าของเชอร์รีน และกระดกนิ้วขึ้น และเคาะลงบนผิวโต๊ะ “รีบกิน…”
“เรารีบไปเหรอ?”
“ทำไมถามแบบนี้?” เขาเลิกคิ้วขึ้น ตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้ หางตัวของเขายังไม่มองหยาดฝนสักครั้งเลย
“ไม่เคยได้ยินเรื่องเวลากินข้าวอย่าเที่ยวไปเร่งคนอื่นทำแบบนี้มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีมารยาทเลยเหรอ?”
ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย พลันเกิดความสงสัยขึ้น “เป็นครั้งแรกที่ได้ยิน แต่ว่า ประโยคนี้ใครเป็นคนพูดมาเหรอ?”
เชอร์รีนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่เพียงแต่คิดไม่ออก ในทางกลับกันแก้มของตนเองก็แดงระเรื่อขึ้นมา พร้อมทั้งส่งเสียงพึมพำอย่างเขินอาย เธอยอมสงบปากทันที และไม่พูดอะไรต่อ และเริ่มกินอาหารเช้าอย่างเงียบ