ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 398 คนดอกทองมันก็จะชอบดัดจริต
เธอกินโจ๊กซานจาที่มีรสหวานอมเปรี้ยว ไม่เพียงช่วยเรียกน้ำย่อย แต่ยังให้คุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย
ขณะกินโจ๊ก ยู่ยี่เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “พวกเธอบอกว่าฉันถูกคุณเลี้ยงไว้”
คิ้วที่หล่อเหลาเลิกขึ้นเล็กน้อย ฉันทัชหยุดการกระทำในมือ มองเธออย่างลึกซึ้ง มุมปากมีรอยยิ้มบางๆ “คุณตอบกลับอย่างไร?”
ยู่ยี่ไม่ตอบคำถามเขา เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย กะพริบตา “คุณคิดว่าจะเลี้ยงฉันต้องใช้เงินเท่าไร?”
เขายังคงมองเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ประเมินค่าไม่ได้ ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?”
เธอหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ “ก็เพราะมันน่าเบื่อเลยถาม แต่ดูเหมือนว่าฉันก็มีค่ามากเหมือนกันนะเนี่ย”
“ถ้าหากคนอื่นอยากจะเลี้ยงคุณ คุณจะมีปฏิกิริยายังไง?” ฉันทัชถาม
ยู่ยี่ส่ายหน้าทันที “ไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันไม่มีทางเห็นด้วยกับเงื่อนไขแบบนี้”
“ดังนั้นไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถซื้อคุณได้ แล้วชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับคุณเอง แบบนี้คุณถึงประเมินค่าไม่ได้…”
คำพูดของเขาเบามาก เพราะทั้งช้าและอ่อนโยนทำให้คนฟังใจเต้นได้
“ฉันแค่ยกตัวอย่าง คุณคิดว่าฉันจะขายได้ราคาเท่าไหร่ ถ้าตัวฉันอยู่ในสถานที่ขายเรือนร่างแบบนั้น” เธอถามอย่างจริงจัง
ยู่ยี่รู้สึกอยากรู้อยากเห็นและจริงจังกับคำถามนี้อย่างสุดหัวใจ
ฉันทัชหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับว่าคุณมีมุมที่ซุกซนขนาดนี้ด้วย…”
“…” เธอไม่ได้ซนจริงๆ จริงๆแล้วเธอแค่อยากรู้อยากเห็น แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอซน
สุดท้ายดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างออก ดวงตาเขากวาดมองร่างกายเธอ จากนั้นเสียงทุ้มก็ออกมาจากลำคอว่า “คืนนี้คุณแต่งตัวสวยมาก…”
จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ไม่หน้าแดงเมื่ออยู่ภายใต้สายตาที่ลึกและอ่อนโยนของเขา?
ใบหน้าของยู่ยี่เป็นสีชมพูอ่อนๆ ผิวที่ขาวแดงระเรื่อขึ้น ดูน่าดึงดูดมาก
ผู้หญิงที่ค่อนข้างขี้อายมักจะสวยที่สุด แววตาของฉันทัชสั่นไหวเล็กน้อย มือใหญ่อันอบอุ่นวางลงที่ข้างมุมปากของเธอ
ยู่ยี่ตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วเธอก็รู้สึกถึงอุณหภูมิความอบอุ่นจากมือใหญ่ของเขา ซึ่งมันร้อนผ่าวอย่างคาดไม่ถึง
นิ้วโป้งเขาบดเบียดมุมปากเธออย่างช้าๆ แผ่วเบา ค่อยๆ เขามองเธออย่างจดจ่อมากด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
ยู่ยี่รู้สึกว่าเขาจะจูบเธอ นี่คือความรู้สึกที่เขาให้เธอ
แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้จูบ มือใหญ่ยังคงบดเบียดช้าๆและอ่อนโยนมาก ราวกับว่าสนใจจุดนี้มากๆ
มันร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆราวกับไฟกำลังลุกโชน ยู่ยี่เริ่มทนไม่ไหว ขณะที่กำลังจะหลบ เขาก็ปล่อยมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “เด็กดี…”
“…” ยู่ยี่เงียบ แล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “อายุ 27 ยังเรียกว่าเด็กได้อยู่เหรอ?”
“ทำไมไม่ได้ล่ะ?” ฉันทัชถามกลับเบาๆ สีหน้าเขาอ่อนโยนราวกับแสงกลางคืน
ยู่ยี่สูดหายใจเข้าลึกๆ…
วิธีพูดคำรักช่างแตกต่างจากคนทั่วไปมากจริงๆ แม้แต่คำที่พ่นออกมาก็หน้าแดงใจเต้นได้มากมากกว่าคนอื่นๆ
สิบนาทีต่อมา ทั้งสองกินโจ๊กเสร็จก็ออกจากร้านโจ๊ก จากนั้นเขาก็ส่งเธอกลับคอนโด
ระยะทางในการเดินทางนั้นไม่ไกล เรียกได้ว่าใกล้มาก เดิมระยะทางที่ใช้เวลาเพียง 10 นาที ฉันทัชกลับใช้เวลา 20 นาที
รถจอดอยู่ชั้นล่างของคอนโด มือที่ถูกเขาจับไว้อยู่ในฝ่ามือมาตลอดทางยังคงไม่คลายออก ยู่ยี่ทัดปอยผมที่ห้อยอยู่บนแก้มไว้หลังใบหู “ถึงแล้ว อยากขึ้นไปดื่มชาสักแก้วไหม?”
เมื่อกี้ขณะรถวิ่ง ฉันทัชจับมือเธอมาตลอดทางไม่ปล่อย
“คุณมีเพื่อนอยู่ ผมไม่ขึ้นไปชั้นบนละกัน แต่สำหรับคำเชิญของคุณ ผมดีใจและแปลกใจมาก…” เขากล่าว
“งั้นฉันจะขึ้นไปข้างบนแล้วนะคะ คุณก็ขับรถดีๆนะคะ เดินทางปลอดภัย” ยู่ยี่ดึงมือตัวเองกลับ ปลดเข็มขัดนิรภัย ขณะกำลังจะจากไป จู่ๆข้อมือกลับถูกฝ่ามืออันอบอุ่นจับไว้
ก่อนที่เธอจะทันตั้งตัว ร่างกายที่กำยำแข็งแกร่งของชายหนุ่มก็กดทับลงมา
ยู่ยี่ถูกกดลงบนโซฟาหนังชั้นหนึ่ง จูบที่เซ็กซี่เร่าร้อนทำให้เธอหายใจไม่ออก
จูบของชายหนุ่มลึกแต่นุ่มนวล ไม่สิ นุ่มนวลในตอนแรก สุดท้ายขณะจบก็บ้าคลั่งไม่ยอมหยุด เธอรู้สึกเจ็บเล็กน้อยราวกับถูกไฟช็อต
นี่เป็นครั้งแรกที่ยู่ยี่รู้สึกว่านอกจากความเป็นสุภาพบุรุษและความอ่อนโยน ฉันทัชยังบ้าคลั่งอีกด้วย
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็ปล่อยเธอ ปลายจมูกเขากดแนบกับเธอ ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน
บรรยากาศระหว่างพวกเขาเงียบมาก แต่กลับเร่าร้อน ลมหายใจของทั้งคู่กลับมาเป็นปกติ ไม่มีใครขยับ เขาไม่ขยับ เธอก็เช่นกัน
ฉันทัชมองเธอ แต่ยู่ยี่กลับไม่มีความอดทนพอที่จะมองเขาต่อ
ในเวลานี้ดวงตาของเขาเริ่มมืดและมองลึกขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหมึกที่ไม่สามารถละลายได้ ความปรารถนาที่เร่าร้องอยู่ภายในชัดเจนมาก
แต่ยังไงซะฉันทัชก็เป็นสุภาพบุรุษ เขาลุกขึ้น มือใหญ่ที่เห็นข้อต่อกระดูกอย่างชัดเจนจัดเสื้อผ้าที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อยของเธอ ช่วยทัดผมที่หล่นลงมาไว้ข้างหูเธอ “อากาศหนาวมากแล้ว ขึ้นไปชั้นบนเถอะ…”
แก้มของเธอแดงก่ำ จังหวะหายใจยังคงปั่นป่วน ริมฝีปากบวมแดง เธอพยักหน้าแล้วลงจากรถ
เธออยากจะมองดูเขาขับรถออกไปก่อน แต่เขากลับอยากดูเธอเดินจากไปก่อน ทั้งคู่ต่างยืนกรานเช่นนั้น
สุดท้ายยู่ยี่ก็ไปก่อน หลังจากที่ร่างเพรียวบางลับหายไปจากสายตา เขาก็สตาร์ทรถขับจากไป
แค่มองนาโนก็รู้ว่ายู่ยี่ไปอะไรมา เธอร้องโอ้ โอ้ ดูเหมือนว่าเทพบุตรก็บ้าคลั่งเหมือนกันนะเนี่ย
ยู่ยี่ที่เดิมก็หน้าแดงอยู่แล้ว พอถูกเธอพูดแบบนี้อีก ใบหน้าก็ยิ่งแดงราวกับเลือดพุ่ง จึงบิดแขนนาโนอย่างแรง
นาโนถูกบิดจนเจ็บ จึงพยายามหลบ แล้วถามเธอเรื่องงานเลี้ยงรวมเพื่อน
ยู่ยี่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า เรนนี่ก็ไป แถมยังสวมแหวนที่เธอมอบให้หัสดินตอนแต่งงานด้วย
คนดอกทองมันก็จะชอบดัดจริตจริงๆ นาโนสบถ ไม่ใช่รุ่นเดียวกัน และไม่ใช่สาขาเดียวกันเสียหน่อย งานเลี้ยงรวมเพื่อน ยัยเรนนี่นั่นไปเกี่ยวอะไรด้วย เธอจะต้องไปเพื่ออวดแน่ๆ หญิงโฉดชายชั่ว เหมาะกันดีแท้ๆ
ยู่ยี่เทน้ำหนึ่งแก้ว นั่งอยู่บนโซฟา ไม่พูดอะไร
นาโนถามเธออีกว่า เพื่อนของเธอพวกนั้นได้รังแกเธอหรือเปล่า?
ยู่ยี่ตอบคำถามนี้ตามจริง พวกเธอบอกว่าเธอถูกเสี่ยเลี้ยง
คนเหล่านั้นชอบประสบสอพลอ นาโนเคยเจอมาเยอะ แล้วถามเธออีกว่า แล้วทำไมสุดท้ายถึงมาอยู่กับเทพบุตรได้?
ยู่ยี่ยังคงตอบตามจริง คิดดูแล้ว นาโนก็พูดว่าเทพบุตรช่างเอาใจใส่จริงๆ เห็นได้ชัดว่าออกหน้าแทนเธอ
ยู่ยี่พูดว่า รู้ได้ยังไง?
นาโนทิ้งท้ายประโยคให้เธอ เทพบุตรไม่ใช่คนชอบออกงานสังคม
“…” ยู่ยี่เงียบ
จากนั้นก็มีคนโทรหานาโน อีกฝ่ายน่าจะเป็นแม่ของดนัย ยู่ยี่เห็นว่าสีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีนัก น้ำเสียงก้าวร้าวมาก
หลังจากวางสาย ยู่ยี่ไม่ได้เดาผิด คือแม่สามีของเธอจริงๆ
แม้จะทนเห็นนาโนไม่ได้ แต่แม่ของดนัยก็ไม่ได้ทำเกินไป เธอพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าจะให้พวกเขาหย่ากัน
นาโนโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆแล้วไปห้องนอน ยู่ยี่ถอนหายใจเบาๆ เข้าตามเข้าไปในห้องนอน พวกเธอนอนด้วยกันบนหนึ่งเตียงใหญ่ แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง
ยู่ยี่กำลังคิดว่างานเลี้ยงรวมเพื่อนวันนี้ถ้าเธอรู้ว่าจะไปเจอเรนนี่ เธอจะไม่ไปแน่นอน ไม่ใช่เพราะต้องการหลบหรือกลัว เธอเกลียดเรนนี่มาโดยตลอด และรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเจอกัน
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น มุลซานน์สีเงินกำลังแล่นอยู่บนถนน ฉันทัชเอนหลังพิงเก้าอี้หนัง หลับตาแล้วผล็อยหลับไป
โก๋กำลังขับรถ อยากจะพูดว่า “คุณฉันทัชครับ วันพรุ่งนี้ตอนเย็นมีงานเลี้ยงทางธุรกิจรับเชิญให้คุณไปร่วมงานครับ”
“หาเหตุผลปฏิเสธ…” ฉันทัชมีสีหน้าไม่แยแส ดูเหมือนไม่สนใจนัก
เขาไม่ชอบออกงานสังคมมาโดยตลอด หากสามารถเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง
“แต่คุณท่านโทรมาบอกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลูกชายของเพื่อนเก่า ให้คุณฉันทัชต้องไปเข้าร่วมเท่านั้น” โก๋ค่อนข้างลำบากใจ
ฉันทัชหรี่ตา เอาขายาวที่ไขว้กันอยู่ออก “ตอบเขาว่าพรุ่งนี้จะเข้าร่วม”
“แล้วคู่ควงล่ะครับ?” โก๋ถามอีกครั้ง
ฉันทัชไม่ได้พูดอะไร โก๋ชิงพูดก่อนด้วยรอยยิ้มว่า “คุณยู่ยี่ใช่ไหมครับคุณฉันทัช?”
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม สีหน้าฉันทัชเรียบเฉย “นายนี่ก็รู้ไม่น้อยเลย…”
โก๋ยังคงยิ้ม เก็บความคิด เริ่มมีสมาธิกับการขับรถ
ในอีกด้านหนึ่ง
งานเลี้ยงทางธุรกิจก็โทรหาหัสดิน เพื่อขอให้เขาต้องมาเข้าร่วมในวันพรุ่งนี้
บริษัทของหัสดินก็ติดอันดับต้นๆหนึ่งในห้าของสมาคมธุรกิจทางการเงินของเมืองS งานเลี้ยงแบบนี้จะออกหน้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
แต่เนื่องจากขณะนี้มีโครงการความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัท ดังนั้นหากไม่มาร่วมก็ค่อนข้างดูไม่ดีนัก
หัสดินให้เลขาตอบกลับอีกฝ่ายมาจะไปเข้าร่วมอย่างตรงเวลา
เมื่อเลขาถามถึงเรื่องคู่ควงแฟนสาว หัสดินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่าเขาเตรียมการไว้แล้ว พอเลขาออกจากห้อง เขาก็โทรหาเรนนี่
ได้ยินเช่นนี้ เรนนี่ก็ตอบรับอย่างนุ่มนวล ในอีกด้านของปลายสายที่ไม่เห็นหน้า สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความสุข
งานเลี้ยงทางธุรกิจเป็นงานเลี้ยงสังคมชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองS งานจะจัดขึ้นปีละครั้ง คนที่เข้าร่วมล้วนมีหน้ามีตาทางสังคม
แน่นอนว่าความหมายของการพาคู่ควงหญิงคนหนึ่งไปงานเลี้ยงเช่นนี้ย่อมแตกต่างออกไป มันเท่ากับการยอมรับฐานะของเธอ
หัสดินเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม เขาย่อมไม่ควงสาวไปงานเลี้ยงแบบนี้อย่างมั่วๆแน่นอน
เรนนี่อดดีใจไม่ได้ จากนั้นเธอไปห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกชุดราตรีที่จะใส่ในวันพรุ่งนี้ งานเลี้ยงแบบนี้ไม่สามารถละเลยได้
ขณะยู่ยี่เลิกงาน รถก็จอดรออยู่แล้ว วันนี้คนขับรถคือฉันทัช ไม่ใช่โก๋
เขาไม่ได้ส่งเธอกลับบ้านเลย แต่พาไปที่เรือสำราญในแม่น้ำ ในตอนกลางคืน แสงไฟระยับยิ่งทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น
ยู่ยี่งงเล็กน้อยว่าทำไมถึงพาเธอมาที่นี่ ฉันทัชให้พนักงานนำเก้าอี้และเบ็ดตกปลามาให้เธอ
เห็นได้ชัดว่าต้องการจะตกปลา?
ฉันทัชเตรียมคันเบ็ดไว้แล้ว ตอนกลางคืนหนาวเกินไป เขาเอาเสื้อโค้ตมาสองตัว สีดำตัวหนึ่ง สีแดงตัวหนึ่ง คอเสื้อทั้งสองมีปลอกคอขนสัตว์ ปลอกคอขนสัตว์นั้นมีขนาดใหญ่ อ่อนนุ่มเป็นมัน สีสันก็สวยยิ่งขึ้นไปอีก
“ฉันตกปลาไม่เป็น” ยู่ยี่กล่าว
ฉันทัชสวมเสื้อโค้ตสีดำ ปลอกคอขนสัตว์ยิ่งทำให้เขาดูสูงศักดิ์และสง่างาม เมื่อนั่งท่ามกลางลมหนาว ยิ่งทำให้ละสายตาไม่ได้ “การตกปลาไม่ต้องมีทักษะอะไร แค่ถือคันเบ็ดนั่งรออยู่ตรงนั้นเงียบๆก็พอ หากมันยินดีก็จะติดเบ็ดเอง เป็นการทดสอบความอดทนของคุณ…”
ยู่ยี่มักเป็นคนไม่ค่อยอดทนอะไร เธอนั่งอยู่ตรงนั้นจ้องมองเบ็ดตกปลา
ฉันทัชนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาลึกของเขาหรี่ลงเล็กน้อยมองไปยังทะเลสาบ ภายใต้แสงไฟนั้นเขาก็ดูเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอละสายตาจากเบ็ดตกปลามองไปรอบๆ มองไปมองมา ไม่รู้ทำไมสายตาถึงไปหยุดที่เขา เขาเงียบ สง่า โดดเด่น
ยู่ยี่คิดว่านี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย เธอไม่ค่อยเห็นผู้ชายนั่งอยู่กับที่เงียบๆขนาดนี้