ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 403 เขาเป็นใครกันแน
เธอไม่ใช่ผู้หญิงง่ายอย่างนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกเลี้ยงเลย……
ทว่าเมื่อครู่เห็นรอยจูบที่คอของยู่ยี่ หัวใจก็หัสดินก็เปลี่ยนแปลง ไม่ได้มั่นใจมากแล้ว
เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจแตก ไม่ได้ง่ายในเรื่องแบบนั้นด้วย สรุปก็คือเธอเป็นคนหัวโบราณด้วย
เขายังจำได้ดี ตอนนั้นเขาชวนเธอไปดูหนังฝรั่ง ซึ่งเนื้อหามีภาพชายหญิงแตะเนื้อต้องตัวกันเยอะ ตอนนั้นเธอเอียงอายไม่กล้าดู หลังกลับมาถึงบ้าน เธอตำหนิเขาที่หน้าไม่อาย มีหนังเยอะแยะ แต่ดันมาเลือกเรื่องนี้?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอรักเขามาเจ็ดปี อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนไม่รู้กี่วัน แต่พึ่งเลิกกันแค่สองเดือนกว่า เธอก็ลืมเลือนความรักอันลึกซึ้งเสียแล้ว จากนั้นก็ไปนัวเนียกับผู้ชายอื่น
หัสดินไม่อยากเชื่อเลย
ทว่ารอยจูบที่คอคือตัวยืนยันชั้นเยี่ยม จุดที่ผู้ชายโดนเล็บข่วนก็อย่าจะคลาดสายตา ถ้าไม่ใช่เด็กถูกเลี้ยงแล้วเป็นอะไรล่ะ?
ดังนั้น ในความเข้าใจของหัสดิน ยู่ยี่ต้องมีเสี่ยเลี้ยงดูแน่นอน
นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เขานึกสาเหตุอื่นที่ยู่ยี่นอนกับผู้ชายคนอื่นในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ไม่ได้แล้ว
มีผู้ชายเชิญยู่ยี่เต้นรำเยอะมาก ซึ่งเธอล้วนยิ้มปฏิเสธทุกราย จากนั้นก็นั่งจิบไวน์บนโซฟา
“คุณหนูแสนสวย ผมขอเชิญคุณเต้นรำหน่อยได้ไหมครับ?”ฉันทัชในชุดสูทหรูกล่าวออกมา พร้อมกับโค้งตัวแล้วยื่นมือซ้ายออกมาด้านหน้าเธอ อิริยาบถช่างเป็นสุภาพบุรุษอย่างแปลกหูแปลกตา
ยู่ยี่รู้สึกตลก พลางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะส่ายหัว
“คุณสุภาพสตรีจะปฏิเสธคำเชิญของคนอื่นทุกคนไม่ได้นะ……”ริมฝีปากบางของฉันทัชเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
เธอหลับตาเล็กน้อย ก่อนจะวางไวน์แดงไว้ที่โต๊ะ“คุณก็รู้ว่าฉันเต้นไม่เป็น รองเท้าหนังคุณเกือบโดนฉันเหยียบจนขาดแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ผมเชื่อว่าคุณพัฒนาขึ้นแล้ว……”
ยู่ยี่เอ่ยปาก“แม้แต่ตัวฉันยังไม่เชื่อเลยค่ะ”
คิ้วงามขมวดขึ้น เอ่ยขึ้นมาว่า“คุณไม่ทำให้ผมผิดหวังหรอก……”
เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ยู่ยี่ก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงพูดเกริ่นว่า“ถ้ารองเท้าหนังโดนเหยียบจนขาด ฉันไม่รับผิดชอบนะคะ”
มือของเธอยื่นไปที่มือซ้ายของเขา เมื่อสิบนิ้วประสานกัน มือใหญ่ของฉันทัชก็โอลเอวของเธอไว้ ก่อนจะพาเธอไปยังฟลอร์เต้นรำ
มีคนอยู่ในฟลอร์เต้นรำมากมาย ยู่ยี่รู้สึกลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย เธอไม่ถนัดด้านนี้จริง ๆ
“ความเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้การเต้นรำของคุณโดดเด่นสะกดสายตา…….” เขาจ้องมองเธอแบบไม่ละสายตา คล้ายกับมุ่งมั่นมาก“มอบร่างกายคุณให้ผมดูแล จากนั้นก็ก้าวอย่างอิสระ แล้วคุณจะกลายเป็นนักที่มีเสน่ห์ที่สุดในงาน ……”
“ฉันเต้นไม่เป็น” เธอตอบ เขาพูดง่าย แต่เวลาทำมันยาก
“งั้นก็ฟังคำพูดของผม สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ หลับตาด้วย ปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลาย ฟังเสียงดนตรีแล้วก้าวเท้าตามใจชอบได้เลย แล้วผมจะคล้อยตามฝีเท้าคุณเอง……” เสียงฉันทัชบางเบามาก คล้ายกับเป็นการสะกดจิตก็ไม่ปาน
เธอทำตามที่เขาบอก หายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วหลับตาก้าวเท้าตามใจปรารถนา
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ฉันทัชพูดพร้อมกับจับไหล่เธอไว้
ยู่ยี่คิดใคร่ครวญดูแล้ว จึงตอบตามความจริง“รู้สึกง่วงอยากนอนค่ะ รู้สึกสะลึมสะลือ”
เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมาย ลูกกระเดือกของฉันทัชขยับ จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะพร้อมกับส่ายหัว พลางทำหน้าจนปัญญานิด ๆ
“คุณหัวเราะเยาะฉันเหรอ? ฉันพูดความจริงนะ ไม่มั่วนิ่งเลย” เธอก็รู้สึกตัวเองไม่ได้เรื่องเลย เวลาโรแมนติกอย่างนี้กลับรู้สึกง่วงนอน
“ไม่ใช่ ผมเคยบอกว่าชอบตรงไปตรงมาของคุณ งั้นคุณก็เต้นรำกับผมอย่างง่วง ๆเถอะ……” ดวงตาเขาลุ่มลึก กล่าวเสียงได้นุ่มนวลมาก
ยู่ยี่ยกมุมปากขึ้นยิ้ม ใบหน้างามมีรอยยิ้มอันสดใสบานสะพรั่ง ชวนให้หลงใหลยิ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
หัสดินไม่ได้ไปเต้นรำ เรนนี่นั่งเป็นเพื่อนเขาที่โซฟา เธอกวาดสายตามองที่ฟลอร์เต้นรำบ่อยครั้ง พลางขมวดคิ้ว
เมื่อจบหนึ่งเพลง ยู่ยี่กับฉันทัชก็กลับไปนั่งที่เดิม แล้วมีผู้ชายมาขอเต้นรำต่อ ซึ่งเธอก็ปฏิเสธด้วยมีมารยาทอีกครั้ง
ฉันทัชพูดต่อจากเธอ“ขอโทษด้วย เธอมีแฟนแล้ว และเป็นเพื่อนเต้นรำในค่ำคืนนี้ด้วย คือคนที่นั่งข้างกายเธอคนนี้ อีกอย่าง ผมไม่ควรให้คุณแต่งตัวสวยขนาดนี้เลย แค่ชั่วพริบตา เหมือนผมจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย”
พวกผู้ชายที่มาขอเต้นรำเข้าใจในความหมาย ยิ้มขอโทษแล้วเดินจากไป
ใบหน้ายู่ยี่แดงระเรื่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกเก้อเขินกับคำพูดตรงไปตรงมาของเขา
หัสดินได้ยินเต็มสองหู เพลิงไฟลุกขึ้นกลางอกอีกครั้ง จ้องมองยู่ยี่อีกครั้ง จากนั้นเขากับเรนนี่ก็เข้าไปในฟลอร์เต้นรำ หัสดินเป็นคนเต้นรำเป็น เรนนี่ก็เป็นด้วย เมื่อทั้งสองเต้นเป็นคู่ จึงเต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ
ยู่ยี่แค่กวาดสายตามองผ่าน ๆ เท่านั้น เธอดื่มไวน์แดง จากนั้นก็ไม่มองพวกเขาสองคนอีก
ไม่ว่าพวกเขาจะเหมาะสมหรือสมบูรณ์แบบแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับยู่ยี่อย่างเธอ เธอไม่อิจฉาริษยาอะไรทั้งนั้น
สายตาลุ่มลึกของฉันทัชหยุดอยู่ที่เธอ ซึ่งเป็นสายตาที่เรียกว่าจดจ่อก็ได้ ไม่จดจ่อก็ดีได้เช่นกัน
เมื่องานเลี้ยงดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย เสียงเพลงก็หยุดบรรเลง ภายในงานเงียบงันทันที กรชวัลยืนกล่าวบนเวทีว่า วันนี้เป็นงานนี้ของนักธุรกิจ ผมหวังว่าคนที่ประสบผลสำเร็จด้านธุรกิจสุดสูง จะให้เกียรติขึ้นมาชี้แนะแนวทางบริหารธุรกิจให้ยั่งยืนไปนาน ๆครับ
สายตาทุกคนในงานจ้องไปยังหัสดิน ประธานบริษัทสิริไพบูรณ์กรุ๊ปไม่มาร่วมงานในค่ำคืนนี้ ดังนั้นผู้ที่ประสบผลสำเร็จที่สุดก็ต้องเป็นหัสดิน
กรชวัลสังเหตุเห็นสายตาพวกนั้น จึงยิ้มเชิญหัสดินขึ้นมา เรนนี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อตกเป็นที่จับตามอง เธอก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
หัสดินเดินขึ้นไปพูดประมาณยี่สิบนาที
“เชิญคุณฉันทัชขึ้นมาพูดคุยด้วยครับ” กรชวัลยิ้มเชื้อเชิญ
สายตาของทุกคนหยุดอยู่ที่ตัวฉันทัช ลำดับแรกต้องยอมสยบให้กับกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่และความสง่าผ่าเผยของเขา ทว่าเมื่อครุ่นคิดโดยละเอียดแล้วก็ไม่รู้ว่าเมือง Sมีบุคคลสำคัญเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
คนเมืองSรู้จักฉันทัชน้อยมาก เพราะเขาไม่มีธุรกิจในเมืองSและไม่มีชื่อเสียงในเมืองนี้ด้วย
ฉันทัชส่ายศีรษะเบา ๆ พร้อมกับโบกมือปฏิเสธด้วยท่าทีถ่อมตัว ไม่หยิ่งยโสใด ๆ“ขอบคุณเจตนาที่ดีของ张总裁 แต่ผู้ร่วมงานล้วนเป็นผู้มากความสามารถกันทั้งนั้น ผมสอนจระเข้ว่ายน้ำคงไม่ดี อีกอย่างเสียงของผมก็แหบด้วย ไม่สะดวกพูด”
ทว่ากรชวัลกลับไม่ยินยอม ต้องเชิญเขาขึ้นไปให้ได้ แม้จะพูดเพียงสองประโยคก็ยังดี
เมื่อเชิญขนาดนี้แล้ว ฉันทัชที่นั่งไขว้ขาเอาเท้าย่ำพื้น จากนั้นก็ก้าวขึ้นเวที เขาที่ยืนอยู่กลางเวที เมื่อมีแสงใต้ส่องกระทบร่างกาย จึงเผยรัศมีผู้โดดเด่นกว่าผู้อื่น เฉกเช่นนกกระเรียนในฝูงไก่
เขาเกิดมีก็มีรัศมีราชาแล้ว
“ในเมื่อเชิญอย่างตั้งใจเช่นนี้ งั้นผมขอพูดง่าย ๆ สองประโยคนะครับ ธุรกิจจะยั่งยืนได้ ต้องหนีไม่พ้นสายสัมพันธ์อันดีงามกับพนักงาน สำหรับวิธีการปฏิบัติต่อพนักงาน ผมขอพูดโดยสังเขป ประการที่หนึ่ง คุณให้โบนัสยังไงก็จะได้รับผลกำไรเช่นนั้น ประการที่สอง โบนัสที่ไม่รู้สาเหตุของการให้ก็ไม่ควรให้ ประการที่สาม ตอนที่มอบหมายภารกิจ ต้องให้ความเชื่อมั่นในตัวพนักงานด้วย ประการที่สี่ ต้องมีเป้าหมายชัดเจน จึงจะบรรลุได้…….”
คำพูดของเขาเรียบง่าย ทว่าทรงพลัง เจือความสุขุมและมองทะลุเรื่องราวไว้ในที พูดตรงจุดตรงประเด็น
กรชวัลปรบมือนำ ทุกคนก็พากันปรบมือตาม ต้องชมว่า ด้านการปฏิบัติต่อพนักงาน เขาพูดแค่สองสามประโยคก็สามารถพูดจับใจความได้อย่างเข้าใจ
หัสดินกลอกตา ดวงตาดอกท้อหรี่ขึ้นแล้วมองฉันทัช เป็นการมองพินิจพิจารณา
เขาคนนี้ ตกลงมีฐานะอะไรกันแน่