ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 404 คุณยุ่งมากเกินไปแล้ว
วินาทีที่สายตาของหัสดินละออกไป บังเอิญสบตาเข้ากับยู่ยี่อย่างไม่ตั้งใจ
เดิมทีมุมปากยู่ยี่มีรอยยิ้ม เมื่อสบตาเข้ากับเขา รอยยิ้มก็จางหายอย่างไร้ร่องรอยทันที แทนที่ด้วยความเย็นชาและเฉยเมย
เมื่อเลิกงาน ทุกคนก็ทยอยกลับ ฉันทัชกับยู่ยี่เดินอยู่ด้านหลัง ด้านข้างยังมีกรชวัลด้วย
รถเบนท์ลีย์จอดอยู่นอกโรงแรม ทั้งสามยืนอยู่ด้านข้างรถ ฉันทัชกับกรชวัลกำลังพูดคุยกัน ยู่ยี่ยืนอยู่ด้านข้าง
เธอฟังบทสนทนาของผู้ชายไม่ค่อยเข้าใจ และไม่มีความสนใจด้วย เธอมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นลมหนาวที่พัดพาเกล็ดหิมะมาด้วย ทำให้เธอหนาวจนสั่นสะท้าน
“ขออภัยครับ รอสักครู่” ฉันทัชเอ่ยปากพูดกะทันหัน จากนั้นก็พายู่ยี่ขึ้นรถไปนั่งตำแหน่งด้านข้างคนขับ เวลาเดียวกันก็ปรับอุณหภูมิในรถด้วย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาจึงกลับไปหากรชวัล จากนั้นก็สวมถุงมือหนัง ก่อนจะอธิบายด้วยรอยยิ้มเบา ๆ “เธอใส่เสื้อบาง อาการหนาวเกินไป”
กรชวัลยิ้มแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ“ผู้หญิงล้วนรักสวยรักงาม จึงใส่บางหน่อย เข้าใจได้ครับ ผมไม่รบกวนคุณฉันทัชแล้ว รบกวนคุณฉันทัชทักทายคุณพ่อและคุณปู่ของคุณแทนผมด้วยครับ ไม่ทราบว่าคุณฉันทัชช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ให้คุณปู่ของคุณได้ไหมครับ?”
เป้าหมายที่เชิญเขามาร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ คล้ายกับไม่บอกก็เข้าใจ……
“ผมจะช่วยคุณกรชวัลทักทายให้นะครับ สำหรับจดหมายฉบับนี้ คุณปู่มีกล่องรับสารโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีคนไปเอาทุกวัน ช่วงนี้ผมยังไม่กลับเมืองกิ่งลัย คุณกรชวัลส่งไปทางไปรษณีย์จะเร็วไปผมเอาไปเอง ถ้าธุระของคุณกรชวัลสำคัญ ผมคงทำให้เสียเวลาไม่ได้ สวัสดีครับ” ฉันทัชหมุนกายเดินขึ้นรถ
ประโยคนี้พูดอ่อนโยนและอ้อมค้อมมาก ทว่าความหมายของการปฏิเสธกลับชัดเจน สีหน้ากรชวัลดูแย่และทำตัวไม่ถูกมาก ทว่าก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
เขาสามารถเชิญฉันทัชเข้าร่วมงานวันนี้ได้ เพราะคุณปู่ของเพื่อนในเมืองกิ่งลัยไม่รับรู้ จึงจะมีโอกาสเข้าใกล้
ทว่าก็จนปัญญา เขาทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ของขวัญที่ตระเตรียมไว้ก็ไม่มีโอกาสมอบ
ด้านหลังรถพวกเขามีรถเบนซ์สีดำจอดอยู่ ซึ่งหัสดินกับเรนนี่ก็ยืนอยู่ด้านข้างรถด้วย หัสดินจึงมองเห็นทุกปฏิกิริยาของฉันทัชและยู่ยี่
ส่วนเรนนี่ก็เห็นความอ่อนโยน สุภาพบุรุษ และความเอาใจใส่ ละเอียดทั่วถึงของฉันทัชที่มีต่อยู่ยี่ด้วย
ยู่ยี่ยิ้มเบา ๆ อย่างเชื่อฟังและอ่อนโยน หัสดินก็เห็นอยู่ในสายตา ดวงตาดอกท้อหรี่ขึ้น มือใหญ่ที่วางไว้ที่ประตูรถกำแน่น เผยเส้นเอ็นขึ้นมา
สายตาเรนนี่หยุดอยู่ที่หน้าต่างรถคันด้านหน้า ยู่ยี่สวมเสื้อกันหนาวคอเสื้อสีแดง ทำให้หุ่นแลดูเพรียว โอ่อ่า สง่างามยิ่งขึ้น
ส่วนเธอใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์ ถึงแม้สีของขนสัตว์จะอยู่ในมาดผู้ดี ใส่แล้วเหมือนคุณนาย ทว่าเมื่อเทียบกับหุ่นที่แลดูเพรียว ทว่าก็แลดูอวบเล็กน้อย
คิ้วต้นหลิวของเรนนี่ขมวดขึ้น เธอรู้สึกว่าผู้หญิงไม่ควรหลงทาง ยิ่งไม่ควรยึดติดกับแบรนด์เนมและความสูงศักดิ์
วันหลังเธอควรใส่ชุดขนสัตว์ให้น้อยหน่อย……
เมื่อรถสตาร์ทจากไป ยู่ยี่ก็ถอนหายใจเบา ๆ พลางจ้องมองฉันทัช
ได้ยินเสียงถอนหายใจของเธอ จึงรับรู้การจ้องมองของเธอ มือขวาของฉันทัชที่จับพวงมาลัยรถไว้ คลานหามือเธอ จากนั้นก็กำฝ่ามือไว้ “เป็นอะไรเหรอ?”
ร่างกายเธอเย็นตลอดปี มือเท้าก็เย็นเล็กน้อย ทว่าเขากลับอบอุ่น“ฉันกำลังนึกข้อเสียของคุณอยู่”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้?” มือซ้ายของฉันทัชที่จับพวงมาลัยรถไว้เลี้ยงทาง
“เพราะฉันเห็นคุณมีแต่เสน่ห์และข้อดีที่พูดไม่หมด แต่กับไม่เจอข้อเสียเลยสักนิด คุณไม่มีข้อเสียใช่ไหม?” ยู่ยี่รู้สึกประหลาดใจ
ฉันทัชคลี่ยิ้ม“คนทุกคนมีข้อเสียแน่นอน ผมมีประสบการณ์เยอะ เลยปกปิดได้ดี ถ้าคุณอยู่กับผมไปนานๆ จะเห็นข้อเสียผมเอง ……”
เธอได้ยินก็ยิ้ม“ฉันจะรอดูค่ะ คุณฉันทัช”
“ควรเปลี่ยนคำเรียกได้แล้ว พวกเขาเรียกผมว่าคุณฉันทัช แต่คุณไม่เหมือนคนอื่น” เขาพูดเสียงเบา พลางจ้องมองเธอ
ถูกจ้องมองเช่นนั้น ยู่ยี่หน้าแดงนิด ๆ คิดอยู่นานกว่าจะเรียกสองพยางค์ว่า “ฉันทัช……”
เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดว่าจะมีคนรักเป็นผู้ชายลักษณะนี้มาก่อน
เขาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ ชนิดที่ไม่กล้าสบประมาท เธอรู้สึกเคารพศรัทธาในตัวเขาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเรียกขานชื่อเขาโดยตรง รู้สึกดูไม่เหมาะสมเลย……
ทว่า ก็เป็นอย่างที่เขาบอก ตอนนี้พวกเธอกำลังคบกัน เธอไม่ควรเรียกเขาว่าคุณฉันทัช
พูดความจริงเลย เธอไม่เคยคิดว่าเธอคบเขาเป็นแฟน……
ฉันทัชจ้องมองเธอ มุมปากเผยรอยยิ้มแสนอบอุ่นขึ้น“อยากรู้ข้อเสียของผม งั้นก็ต้องรู้จักผมให้ลึกกว่านี้……”
หัวใจยู่ยี่เต้นตึกตัก จากนั้นก็ค่อยๆ สูญเสียการควบคุม จึงละสายตาไปอีกทาง
“วันหลัง ผมหวังว่าคุณจะเรียกผมว่าฉันทัชทุกครั้ง ซึ่งไม่ใช่คุณฉันทัช” เขาพูดต่อ
“คุณทำงานอะไรกันแน่ ทำไมถึงรู้จักผู้ว่ากับประธานของจิราซูกรุ๊ปด้วย?” เธอรู้สึกแปลกใจฐานะของเขา
ดวงตาลุ่มลึกของฉันทัชขยับเล็กน้อย ประกายแสงแวบผ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยิ้มเจือจาง “แค่รู้จักผ่าน ๆ เท่านั้นเอง”
เรื่องบางเรื่องยังไม่เหมาะที่จะพูดตอนนี้……
ถึงแม้เธอจะยอมรับเขาแล้ว ทว่าก็ยังคงตื่นกลัวจากเรื่องในอดีตอยู่……
ส่วนเรื่องพวกนั้น รอให้อำนาจเขามั่นคงแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบอกเธอหรือไม่……
ตอนนี้พวกเขาสองคนยังไม่ได้คบกันนาน เพียงแต่เธอรู้สึกดีกับเขา และเขาก็เช่นกันเท่านั้น
แต่ความรู้สึกดี ๆ ก็ไม่ได้ลึกมาก ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องพวกนั้นออกมา ทุกเรื่องราวจำเป็นต้องหาเวลาที่เหมาะสม และต้องผ่านการตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนก่อน สุดท้ายยังต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายสำคัญกับตัวเองมาก จึงจะสามารถพูดออกมาได้
อย่างที่เขาบอกเธอ เพราะประสบการณ์และอายุ จึงทำให้เขาสุขุม หนักแน่น มักครุ่นคิดก่อนกระทำเสมอ ……
ยู่ยี่ไม่ได้ถามต่อ เมื่อมาถึงใต้ตึก เขาก็บอกให้เธอรีบขึ้นไป เพราะหิมะยังคงตกอยู่ มันหนาวเหน็บเกินไป
จากนั้นเขาก็ขับรถจากไป หิมะตกหนักมาก ทว่าก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการขับรถ……
ยู่ยี่อาบน้ำเสร็จก็ไปนอนที่เตียง นาโนถามว่าวันนี้ทำอะไรกับเทพบุตรบ้าง เธอกลับตอบว่า วันนี้เห็นหัสดิน
นาโนชะงัก ยู่ยี่กลับหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดหนึ่งประโยคว่า คบกันมาเจ็ดปี ฉันยังไม่รู้จักเขาดีพอ แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่สายเกินไป
ใช้เวลาเจ็ดปีมองคนคนหนึ่งให้ทะลุปรุโปร่ง นับว่ายังไม่สาย ทว่าหากใช้เวลายี่สิบปีถึงจะรู้ตัวตนของเขา เช่นนั้นจะเสียเวลาเกือบครึ่งชีวิต แบบนั้นมันจะสายเกินไปจริง ๆ
นาโนไม่เข้าใจประโยคนี้ ทว่ายู่ยี่ก็หลับตานอนเสียแล้ว……
เช้าวันรุ่งขึ้น
เชอร์รีนกำลังกินข้าวเที่ยงอยู่ รถเบนซ์สีดำเงางามก็มาจอดตรงหน้า จากนั้นหัสดินก็เดินลงมา
สีหน้าเธอเปลี่ยนเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้แสดงคลื่นอารมณ์ใด ๆ แค่หมุนกายเดินขึ้นไปชั้นบน
หัสดินกับออกัสเป็นเพื่อนรักกัน เธอคงให้พวกเขาตัดความเป็นเพื่อนด้วยเรื่องยู่ยี่ไม่ได้ แต่ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้าอีกฝ่าย
หัสดินเอ่ยขึ้นมาว่า“เดี๋ยวก่อนครับ ผมมีเรื่องจะถามคุณ”
เชอร์รีนหยุดเดิน ก่อนจะนั่งที่โซฟา หัสดินนั่งตรงข้ามเธอ พลางพูดตรง ๆว่า “คุณรู้เรื่องยู่ยี่เป็นเด็กเสี่ยหรือเปล่า?”
ยู่ยี่เป็นเด็กเสี่ย?
เชอร์รีนไม่อาจปะติดปะต่อประโยคนี้ให้รวมกันได้ เธอเชื่อว่ายู่ยี่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น
“ไม่รู้” เธอไม่ได้พูดตรง ๆ แค่ตอบถูไถไปงั้น ๆ
“คุณเป็นเพื่อนสนิทของเธอ เธอทำตัวเหลวแหลกขนาดนี้ คุณยังไม่รู้อีกหรือ”
เชอร์รีนรู้สึกตลกสิ้นดี“ชีวิตใคร คนนั้นก็ต้องเดินเอง ฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายชีวิตของเพื่อน คุณยิ่งไม่มีสิทธิ์ ไม่ว่าตอนนี้เพื่อนฉันทำตัวยังไง แต่ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เธอเป็นเมียเก่าผม เคยรักกันมาเจ็ดปี ผมให้เธอทำตัวเหลวแหวกต่อไปไม่ได้ เพราะเคยมีความรู้สึกฉันท์สามีภรรยากัน และความรู้สึกฉันท์เพื่อนร่วมเรียนด้วย” หัสดินกล่าว
ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไง แต่ความรู้สึกดี ๆที่มีให้นั้นเป็นความจริง เห็นการความรู้สึกนี้ เขาควรยื่นมือให้การช่วยเหลือ
“ฉันคิดว่า ยู่ยี่อาจไม่ต้องการความช่วยเหลือของคุณ สิ่งที่เธอไม่ต้องการที่สุดคือความช่วยเหลือของคุณ ถึงแม้เธอจะตกอับขนาดไหน แต่ก็ไม่ต้องการคุณ เธอเป็นเด็กเสี่ยแล้วยังไง?ขอแค่เพื่อนรักฉันมีความสุข เต็มใจ ขอแค่ผู้ชายคนนั้นดีต่อเธอก็พอ มีประโยคหนึ่งพูดได้ดีมาก ดอกไม้ในบ้านสู้ดอกไม้ริมทางไม่ได้ สังคมสมัยนี้ คนเป็นเมียถูกทอดทิ้ง ส่วนเมียน้อยจะถูกทะนุถนอมเป็นอย่างดี แม้เมียน้อยจะเปิดเผยไม่ได้ก็ตาม ซึ่งคุณก็เป็นตัวอย่างในนี้ไม่ใช่เหรอ”
เชอร์รีนพูดแทงใจดำมาก ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
ตอนนี้เธอรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์หัสดินมาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะนอกใจยู่ยี่ได้
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าหล่อของหัสดินก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด
เชอร์รีนรู้สึกยังประชดประชันเขาไม่พอ ทำตาขวางใส่เขา จากนั้นก็พูดต่อว่า “คนรักกับเมียต่างกันมาก ไม่ว่าคนรักทำอะไรก็จะดูเหมือนอ่อนโยน มีเสน่ห์ เมียน้อยสมัยนี้ทั้งดัดจริตและทำตัวต่ำทราม ส่วนเมียก็เหมือนคนใช้ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเดือน ซึ่งในสายตาสามี กลับมีจุดบกพร่องมากมาย แต่คนรักใส่เสื้อผ้าหรูหรา ใช้จ่ายอย่างเดียว ซึ่งผู้ชายกลับเต็มใจคว้ากระเป๋าเงิน ดังนั้นไม่ว่าของอะไรก็ตาม ราคาต้องแพงหน่อยจึงจะดี ยิ่งแพงยิ่งหอม ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าผู้หญิงทำตัวต่ำทราม หรือผู้ชายทำตัวต่ำทรามกันแน่ ……”
ประโยคนี้โหดกว่าประโยคเมื่อกี้มาก ทั้งยังฟังไม่ได้เสียเลย
จากนั้นใบหน้าคมคายของหัสดินยิ่งมืดครึ้มมากขึ้น ถ้าประโยคนี้ออกจากปากคนอื่น เขาต้องไม่ให้คนนั้นอยู่เย็นเป็นสุขแน่
ทว่าเจ้าของวาจาเป็นเชอร์รีน ถึงจะพูดไม่น่าฟังเพียงใด เขาก็ไม่อยากโจมตีอีกฝ่าย
อีกอย่าง เรนนี่ก็ไม่ได้ใช้เงินเขามากนัก บัตรที่เคยให้เธอไปก็ไม่เห็นรูดเลยสักครั้ง เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
เชอร์รีนไม่มีทีท่าพูดต่อ กุมท้องไว้เบาๆ จากนั้นก็ดื่มน้ำอุ่นแล้วลุกขึ้น “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตเพื่อนฉันดีมาก มีเงินใช้ และไม่มีอะไรทำให้เครียด และไม่ต้องกังวลว่าจะโดนทอดทิ้งหรือหย่า ระหว่างพวกคุณควรหยุดตรงนี้ได้แล้ว ไม่ว่าในใจคุณจะเหลือความรู้สึกของสามีภรรยา หรือความรู้สึกของเพื่อนร่วมเรียนก็ดี แต่ก็ไม่ต้องมาใช้กับยู่ยี่ของพวกเรา เธอไม่มีวาสนา รับอะไรแบบนี้ไม่ได้”
จากนั้นเธอขึ้นไปชั้นบน ไม่ได้หันหน้ากลับมามอง
หัสดินลุกขึ้นยืนด้วยหน้าดำคล้ำเครียด และสบตากับเลอแปงพอดี
เลอแปงเลิกคิ้ว มองเขาด้วยความประหลาดใจ เตรียมจะกล่าวทักทาย ทว่าหัสดินก็เดินผ่านไปเสียก่อน