ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 410 คุณต้องเรียนรู้ที่จะเติบโต
“……”ยู่ยี่ยิ้มแห้ง ๆ เมื่อนึกได้ว่าอย่างไรเสียก็ขายหน้าหมดแล้ว ทำไมต้องใส่ใจอีก “ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะค่ะ ตรงข้ามนี้มีร้านอาหารที่อร่อยมากเลย”
“โอเค”
เรนนี่เดินออกนอกบริษัท สามารถจินตนาการได้ว่าถ้อยคำของเธอเมื่อครู่ เขาคงได้ยินไม่น้อยเช่นกัน
ถึงแม้จะขายหน้าต่อหน้าเขา และรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าก็ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ยู่ยี่ตายใจตายหัสดินแล้วจริง ๆ
ทันใดนั้นเธอรู้สึกคลื่นไส้ เธอหาถังขยะรอบกาย จากนั้นก็อ้วก แต่ไม่ได้อ้วกอะไรออกมาเลย
ตอนเช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย บวกกับขาดประจำเดือนด้วย เรนนี่พลันขมวดคิ้วมุ่น หรือว่าจะ ……
เธอคิดว่าควรไปตรงที่โรงพยาบาลสักหน่อย
ในร้านอาหารอิตาลี ยู่ยี่สั่งสปาเก็ตตี้สองจานกับไวน์แดงสองแก้ว
หลังจากที่เมื่อคืนคุยโทรศัพท์กับเขาแล้ว เช้าวันนี้เธอโทรบอกเขาว่าจะเลี้ยงข้าวกลางวัน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาประจวบเหมาะเช่นนี้ ……
พึ่งยกอาหารมาเสิร์ฟ ผู้จัดการก็โทรบอกเธอว่าให้สานงานที่เซ็นสัญญาเมื่อวานต่อ ซึ่งหมายถึงให้เธอรับผิดชอบงานส่วนนี้
เมื่อวานเธอยังยินดีจะหารายได้จากหัสดิน ทว่าตอนนี้เธอไม่อยากได้เงินของหัสดินแม้แต่แดงเดียว เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน
เธอปฏิเสธผู้จัดการทันที เธอไม่อยากรับผิดชอบโปรเจคนั้น ไม่ยินดีปรีดาเลยสักนิด
ฉันทัชจิบไวน์เล็กน้อย จ้องมองเธออย่างจดจ่อ เขาได้ยินเนื้อหาที่เธอคุยโทรศัพท์อย่างชัดเจน ……
ซึ่งผู้จัดการไม่ยอม ยู่ยี่ก็โมโหอย่างหาได้ยาก จากนั้นก็กดสายทิ้งเสียเลย
ผู้จัดการใช้เธอเป็นเครื่องมือในการกอบโกยผลประโยชน์ตลอด ไม่ว่าจะเรื่องโครงการก็ดี ไปจนถึงสัญญาเมื่อวาน เธอถูกใช้เป็นเครื่องมือตลอด แต่เวลาเดียวกันเธอก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยจริง ๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไม่มีบรรทัดฐานเป็นของตัวเอง
ปรกติดูเธอเหมือนนิสัยดี แต่เมื่อระเบิดอารมณ์ขึ้นมาเมื่อไหร่ คนทั่วไปนั้นต้านทานไม่ไหวแน่นอน
จากนั้นผู้จัดการก็โทรมาอีกครั้ง ซึ่งยู่ยี่ได้ยินเสียงเรียกเข้า ทว่ากลับจงใจไม่รับสาย
ผู้จัดการไม่ยอมเลิกรา โทรติดต่อกันอีกหลายสาย มาในทำนองที่ว่า ผมจะโทรจนกว่าคุณจะรับสาย
ในที่สุด ยู่ยี่ก็รู้สึกรำคาญ เปิดฝามือถือด้านหลัง จากนั้นก็เอาแบตเตอรี่ออกมา แล้วปิดเครื่อง
จากนั้นก็เกิดความเงียบเข้ามาแทนที่ บรรยากาศรอบกายเงียบงัน ไม่มีเสียงรบกวนใด ๆ
ยู่ยี่หยิบช้อนส้อมขึ้นมา เตรียมจะกินอาหารเที่ยง ทว่ากลับรู้สึกมีสายตาจับจ้องตัวเธอ คล้ายกับมองทะลุเธอจนหมดเปลือกแล้ว
เธอเงยหน้ามองเขาพลันรู้สึกแปลกใจ ไม่เข้าใจเอา
“ไม่รู้สึกว่าคุณจัดการเรื่องนี้ไม่เหมาะสมหรอกหรือ?” ฉันทัชเอ่ยปากพูด แขนกำยำวางไว้บนโต๊ะ
“เขาเป็นหัวหน้าของฉัน ท่าทีของฉันเมื่อกี้ไม่เหมาะจริง ๆ แต่ในสายตาเขา ฉันก็เป็นหมากตัวหนึ่ง เขาจะใช้เพื่อหาผลประโยชน์ทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เขาทำแบบนี้ ฉันรู้สึกเอือมระอามาก”
ผู้จัดการให้ความรู้สึกว่า เขาชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือมากเกินไป ซึ่งเธอไม่ปลื้มจุดนี้เป็นอย่างมาก
ฉันทัชยิ้มเบา ๆ ก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบ และพูดต่อว่า
“สังคมสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น และเรียกได้ว่าแบบนี้คือกฎ ถ้าคุณมีจุดที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ ทุกคนก็จะใช้สิ่งนั้นของคุณ พวกเขาไม่คำนึกถึงความรู้สึกของคุณหรอก นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงนะ และท่าทางที่คุณควรมี ไม่ใช่รู้สึกรำคาญหรือเอือมระอา แต่คุณต้องเปลี่ยนจากถูกพวกเขาใช้เป็นเครื่องมือ ให้กลายเป็นอะไรบางอย่าง หรือยื่นเงื่อนไขก่อนรับงาน”
ยู่ยี่รับฟังเงียบ ๆ จากนั้นก็เลิกคิ้ว“พูดตรง ๆ ก็คือ ใช้เป็นเครื่องมือซึ่งกันและกัน”
“ฉลาดมาก ถ้าคุณรู้สึกฟังไม่เข้าหู คุณก็คิดซะว่าต่างฝ่ายต่างช่วยเหลือกันก็ได้” ฉันทัชพูดต่อ
ยู่ยี่“……”
“ที่ผมบอกว่าท่าทีของคุณไม่เหมาะ เพราะคุณพูดเยอะเกินไปหรืออารมณ์เสียด้วย แต่สุดท้ายที่ทำไปก็ไม่มีความหมาย คนเราไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่พูดจับประเด็นอย่างเรียบง่ายก็พอ ถ้าจับประเด็นสำคัญได้ จะไม่ทำให้หัวหน้าเคืองใจ และยังบรรลุเป้าหมายของตัวเองด้วย ซึ่งจะดีต่อทั้งสองฝ่าย”
ยู่ยี่ไม่ได้พูดอะไร แค่ฟังเขาพูดเงียบ ๆ
ฉันทัชเตือนเขาอีกครั้ง“คุณมีประสบการณ์ด้านสังคมน้อยเกินไป การทำงานมีสามระดับ อันแรกคือตั้งใจทำงาน อันที่สองคือต้องเข้ากับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าให้ได้ ส่วนสุดท้ายคือ วิธีจัดการเรื่องงาน เวลาควรใช้ไม่แข็งก็อย่าได้ใจอ่อน แต่เวลาควรอ่อนข้อก็อย่าแข็งกระด้างเกินไป ……”
ยู่ยี่พยักหน้า สื่อให้รู้ว่าเธอตั้งใจฟังมากและฟังอย่าละเอียด ซึ่งสิ่งที่เขาชี้แนะนี้ ล้วนเป็นจุดบกพร่องของเธอทั้งหมด
จากนั้นเธอกัดริมฝีปาก มองเขา“แต่ฉันไม่อยากรับโปรเจคนี้จริง ๆ”
“คุณไม่อยากรับเพราะเรื่องส่วนตัว แต่อันนี้คือโอกาสฝึกฝนของคุณ เมือง Sไม่ได้ใหญ่เลย ต้องเจอกันสักครั้งแน่ คุณไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องหลบหน้าเขา”
ยู่ยี่ส่ายหัว“ฉันไม่ได้หลบหน้า แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา”
“ถ้าคุณไม่ใส่ใจ ไม่สะทกสะท้าน เห็นหน้าเขาหรือไม่ก็ไม่แตกต่างกัน” เขาจ้องมองเธอย่างจดจ่อ เสียงแผ่วเบามาก
ยู่ยี่ยิ้ม ไม่รู้สึกหงุดหงิดแล้ว“ทำไมคุณพูดมีเหตุผลจัง?”
“ผมเคยบอกแล้ว ผมไม่มีทางพูดสิ่งที่ไม่มีเหตุผล” ยกมุมปากโค้งขึ้น แล้วกล่าวต่อว่า “แต่พวกคุณต้องเจอากันเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น ผมในฐานะแฟน มีสิทธิ์ควบคุมเรื่องนี้”
ยู่ยี่ยิ้มหน้าชื่นตาบาน พูดแหย่เย้าว่า“ถ้าเป็นแฟนหนุ่มของคนอื่น เมื่อเห็นแฟนสาวของตัวเองโมโหก็จะตบไหล่แฟน แล้วบอกว่าไม่ต้องโมโห ผมจะช่วยคุณจัดการเรื่องนี้เอง”
ฉันทัชจ้องเธออย่างไม่ละสายตา พูดเสียงแผ่นเบา ทว่าหนักแน่น คล้ายกับจะซึมซับเข้าสู่หัวใจเธอ “แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว แบบนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เส้นทางของคุณ คุณควรเดินเอง ถ้าคุณเหนื่อยมากจนเดินไม่ไหว ยอมรับสิ่งที่พบเจอไม่ได้ ตอนนั้นผมจะดึงคุณไปอยู่ด้านหลังผม ช่วยคุณจัดการอุปสรรคต่าง ๆ เอง ……”
ยู่ยี่ชอบคำตอบนี้มาก และหัวใจหวั่นไหวด้วย เห็นเขาจ้องแบบนี้ เธอก็หน้าแดงและหัวใจเต้นตึกตักขึ้นมา
ชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวที่ผ่านมาให้บทเรียนเธอว่า อย่าคิดเป็นนกน้อยที่หวังพึ่งแต่คนอื่น อย่าฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ผู้ชาย ยิ่งไม่ต้องคิดว่ามีผู้ชายอยู่ข้างกายแล้วจะไม่มีอุปสรรคขวากหนาม สามารถทำตามใจปรารถนา
เพราะเงื่อนไขของสิ่งเหล่านั้นคือ ผู้ชายต้องรักคุณตลอดไป เช่นนั้นจึงจะสามารถให้คุณสมดั่งใจหมาย
ทว่า หากเขาไม่รักคุณเมื่อไหร่ วินาทีที่จากลา คุณจะพบว่าตัวเองจากเขาไปแล้ว ช่างยากจนอย่างน่าสงสาร
การยืนลำแข้งตัวเองถึงจะสบายใจที่สุด เพราะหากไม่มีความรักหรือคู่ครองขึ้นมา คุณก็ยังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอยู่
ผู้หญิงก็ควรเรียนรู้ เติบโต ควรมีทางเดินเป็นของตัวเอง ไม่ควรพึ่งแต่ผู้ชายอย่างเดียว หากพึ่งพิงไปนานวันเข้า มันจะกลายเป็นความเคยชิน
……
เรนนี่ไปโรงพยาบาล แล้วต่อคิวตรวจร่างกาย ระหว่างที่รอผล เธอคำนวณเวลาอย่างละเอียด พบว่าขาดประจำเดือนหนึ่งเดือนแล้ว
ผลตรวจออกมาเร็วมาก เธอไปกินข้าวเที่ยงเสร็จกลับมาก็ทราบผลแล้ว
คุณหมอบอกว่าเธอตั้งท้องหนึ่งเดือนกว่าแล้ว……
สองมือเรนนี่กุมที่ท้อง เธอคาดเดาถูกต้อง เธอท้องหนึ่งเดือนกว่าแล้ว
เธอมองผลตรวจด้วยดวงตาที่ลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ตอนบ่าย ที่บริษัทไม่มีธุระสำคัญต้องจัดการ เธอจึงกลับคฤหาสน์
เธอไม่ปกปิดเรื่องท้องต่อหัสดินแน่ และเธอก็มีแผนในใจแล้ว
ตอนกลางคืน เมื่อหัสดินกลับถึงคฤหาสน์ เรนนี่ก็เตรียมกับข้าวที่สั่งมาจากด้านนอกไว้แล้ว ซึ่งมีทั้งน้ำซุปและโจ๊ก
เธอทำอาหารไม่เป็น และไม่คิดจะฝึกด้วย เธอเกลียดพวกน้ำมันและควัน และเกลียดกลิ่นอาหารที่ติดตัว
และที่สำคัญ หากโดนน้ำมันหรือควันเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ผิวพรรณหยาบกร้าน เธอจึงเกลียดความมันพวกนั้นที่สุด
หัสดินล้างมือเสร็จก็ถอดเสื้อสูทออก แล้วโยนใส่บนโซฟา ก่อนจะกวาดสายตามองเห็นอาหารเลิศรส “มีโจ๊กข้าวเดือยไหม?”
“คุณอยากกินเหรอคะ?ฉันจะโทรสั่งให้นะ” พูดพร้อมกับหยิบมือถือขึ้น
“แค่กินโจ๊กถ้วยเดียวก็ต้องให้คนอื่นใช้เวลาส่งสี่สิบนาที คุณต้มเป็นไหม” พูดตามความจริง หัสดินกินข้าวร้านอาหารจนเลี่ยนแล้ว
เรนนี่ส่ายหัว“ฉันก็ไม่ชอบกินอาหารจากร้านมากเหมือนกันค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะหาแม่บ้านมา คุณอยากกินอะไรก็สั่งให้ทำแบบนั้นนะคะ”
หัสดินพยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมา รสชาติอาหารไม่เลว แต่รู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่าง
เรนนี่เอาผลตรวจวางไว้ด้านหน้าเขา ใช้น้ำเสียงเงียบสงบพูดกับเขา “ฉันท้องค่ะ ครั้งนั้นป้องกันไม่ดี ท้องโดยไม่คาดคิดค่ะ”
ดวงตาดอกท้อหรี่ขึ้น หัสดินเอารายงานมา พลางกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่เขามองผลตรวจ เรนนี่สังเกตสีหน้าเขาอย่างละเอียด ไม่ละเว้นกระทั่งสีหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย
เธออยากมองให้ชัดเจนว่าเขาคิดแบบนั้นจริงหรือไม่……
ทว่าหลังจากดูผลตรวจแล้ว หัสดินไม่ได้พูดอะไร นิ่งเงียบตลอด ในห้องนอนเงียบมาก กระทั่งเสียงเข็มนาฬิกายังได้ยินชัดเจน
เรนนี่ไม่รู้การตัดสินใจของเขา ไม่รู้ว่าต้องการ หรือไม่ต้องการ……
เงียบครึ่งค่อนวัน เรนนี่จึงจ้องหัสดินอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวว่า “ลูกคนนี้ ถ้าคุณจะเอา ฉันจะเก็บไว้ แต่ถ้าคุณไม่เอา ฉันจะไปเอาออกที่โรงพยาบาล”
เรนนี่เป็นผู้หญิงฉลาด พูดความคิดและการตัดสินใจก่อนหัสดิน
ซึ่งความคิดนี้ เธอผ่านการพินิจพิจารณาและกรองคำพูด จึงจะตัดสินใจเอ่ยออกมา
หากหัสดินต้องการลูกในท้องคนนี้ก็ถือว่าดีมากเลย แต่ถ้าเกิดเขาไม่ต้องการ ลำพังเธอคงรักษาไม่อยู่
แต่ประโยคนี้ การพูดก่อนและหลังจะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
เพราะเมื่อเธอเป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน หัสดินจะรู้สึกติดค้างเธอ เธอมองออกว่าหัสดินเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก