ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 431 ฉันจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เธอ
ทว่ามีเพียงเธอ เขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
ลมหายใจรดใส่หน้าผากเธอ ลูกกระเดือกของฉันทัชขยับ จากนั้นก็กอดเธอแน่นขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์
ยู่ยี่ยกเท้าเดิน พลางก้มหน้าลง
เส้นผมจึงบดบังสีหน้าของเธอ มองไม่เห็นความรู้สึกของเธอ ณ ขณะนี้
ครั้งนี้เขาไม่ได้ขัดขวาง และไม่ได้เอ่ยปากพูด ยืนอยู่กับที่ปล่อยให้เธอหายลับไปจากสายตา
เขาเลิกบุหรี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าวินาทีนี้กลับรู้สึกอยากสูบมาก อยากสัมผัสความรู้สึกที่สารนิโคตินเข้าสู่ปอด
เมื่อมีความอยาก ฉันทัชไม่ได้ข่มความรู้สึกนี้ไว้ เขาไปซื้อบุหรี่ในห้างสรรพสินค้าตรงข้ามมาหนึ่งซอง
ฉันทัชยืนใช้มือขวาหนีบบุหรี่แล้วสูบข้างรถ เมื่อควันบุหรี่ลอยละลิ่ว ดวงตาข้างซ้ายก็หรี่ขึ้นเล็กน้อย
ผ่านมาสิบกว่าปี พอมาสูบบุหรี่อีกครั้ง จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับท่าทางและกลิ่น
เขายืนตรงนั้นอยู่นาน ลมหนาวพัดใส่ร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง
ฉันทัชไม่อยากทำให้ร่างกายอบอุ่น สำหรับเขาแล้ว ความเหน็บหนาวจึงลมคือความรู้สึกที่ดีที่สุด
เขายืนตั้งแต่สองทุ่มจนถึงห้าทุ่ม
จากนั้นค่อยขึ้นรถจากไป
ยู่ยี่ไม่ได้มองหน้าต่าง และไม่ได้รู้ว่าเขาไปแล้ว เพราะเป็นอย่างที่เขาบอก เขาทำผิดเรื่องที่เธอไม่ชอบมากที่สุด
……
วันอาทิตย์ เธอไม่อยากทำงาน และเป็นวันหยุดพอดี
ยู่ยี่โทรหานาโน นัดอีกฝ่ายไปกินหม้อไฟหม่าล่า
หัวใจเธอเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อันที่จริง หลังจากผ่านเรื่องราวต่าง ๆ เธอจึงยิ่งเฉยเมยต่อสิ่งเลวร้าย เธอเคยยิ้ม เคยร้องไห้ แต่ไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป
หัวใจเธอเจ็บปวดรวดร้าว ทว่าเธอเปลี่ยนไปจากอดีตแล้ว
นาโนมาก็ใช้สโลแกน ไม่เผ็ดเราไม่กิน ทั้งสองกินเผ็ดสุด ๆ
ทั้งสองกินอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นนาโนก็เอ่ยปากถาม“เทพบุตรของฉันล่ะ?”
ตะเกียบในมือยู่ยี่ชะงักค้าง
ท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอหนีไม่พ้นสายตาอันแหลมคมของนาโน นาโนซักไซ้ไล่ถามให้ถึงที่สุด
สุดท้ายยู่ยี่ก็ยอมบอก
นาโนตะลึง จากนั้นกินหม้อไฟต่อ“สำหรับฉัน ความผิดของเทพบุตรเล็กนิดเดียว”
อาจเป็นเพราะนิสัยคนเราต่างกัน ในสายตาของนาโนคืออีกแง่หนึ่ง
“พ่อแม่ตายกันทั้งคู่เพราะสลับที่นั่ง อีกฝ่ายเป็นโรคหัวใจและโตมาด้วยกันอีก
เอาความรู้สึกต่างๆเข้ามารวมกันแบบนี้ จึงทำใจเห็นคนอื่นตายต่อหน้า แล้วตัวเองเสพสุขไม่ได้?
ผู้ชายไม่ควรไร้ความปรานี แต่ก็ไม่ควรใส่ใจอะไรมากเกินไป
เมื่อมีสัญญาเงื่อนไข แสดงว่าตอนแต่งงาน เทพบุตรก็ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว พยายามลดการถูกทำร้ายของทั้งคู่ให้มากที่สุด
เขาไม่เหมือนคนที่ถูกบุญคุณมัดตัว และไม่เหมือนผู้ชายบุ่มบ่าม โดยเฉพาะการแต่งงาน
ฉันรู้สึกว่าเทพบุตรจัดการได้ดีมาก ถ้าตอนนั้นต่อต้านหรือยอมแต่งงานแต่โดยดี แบบนั้นถึงเรียกว่าไม่มีความรับผิดชอบ และทั้งสองแบบนั้นล้วนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด”
ยู่ยี่ไม่ฟัง
นาโนเลยหุบปากของตัวเอง เธอเคยบอกว่าทุกคนมองไม่เหมือนกัน
กินหม้อไฟจนถึงเที่ยง ตอนบ่ายก็อยู่บ้านผ่อนคลายอารมณ์ และปรับอารมณ์ให้มีความสุข
ตอนกลางคืนนาโนกลับถึงบ้านก็โทรหาเชอร์รีน แล้วเล่าเรื่องของยู่ยี่ให้ฟัง และบอกความคิดเห็นของตัวเองด้วย แฟนของเธอยังบอกว่าแบบนี้คือการแต่งงานการกุศล
เชอร์รีนยิ้ม ถามนาโนว่า“รู้ไหมอะไรถึงเรียกว่าการกุศล?นั่นมันเกิดจากน้ำใจ แต่คุณฉันทัชไม่ได้แต่งงานเพราะมีน้ำใจ แต่เป็นเพราะละอายแก่ใจ และอยากชดใช้บุญคุณ ต่างกับการกุศลมาก เขาอยากสบายใจ ไม่ได้เสียใจภายหลัง แบบว่าหากวันหนึ่งย้อนระลึกกลับไปก็ยังคงสบายใจ”
สำหรับความคิดพวกนั้น ต่างคนต่างคิดไม่เหมือนกัน สาเหตุที่นาโนไม่ติดใจเรื่องนี้ เป็นเพราะไม่เคยเจ็บปวดจากการทรยศของเมียน้อยมาก่อน
ทว่ายู่ยี่เจ็บปวดจากการที่เมียน้อยเข้าแทรกชีวิตคู่ แล้วจู่ๆตัวเองกลับกลายเป็นสิ่งนั้น เมื่อยืนอยู่ในมุมมองของเธอ ย่อมยอมรับไม่ได้แน่
แต่สำหรับคุณฉันทัช ถึงแม้เธอไม่ได้เจอหน้าบ่อย แต่ก็ดูออกว่าเขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง มีดุลพินิจและมีความรับผิดชอบ ที่สำคัญคือจริงใจกับยู่ยี่
ส่วนระยะเวลาที่ยู่ยี่คบและแต่งงานกับหัสดินเป็นเวลาเจ็ดปี เธอเจอหน้าผู้ชายคนนี้ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่รู้จักนิสัยของหัสดินเลย แต่คุณฉันทัชไม่เหมือนกัน
“ให้ความรักของพวกเขาปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ หากมีวาสนาต่อกัน ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นบททดสอบ ถ้าความรักพวกเขาราบรื่นเกินไป บวกกับตัวคุณฉันทัชเองก็สมบูรณ์แบบอย่างนั้น จะทำให้ยู่ยี่ระแวงได้ เมื่อมีอุปสรรคอย่างนี้ก็จะทำให้ความรักของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น ความรักก็แบบนี้แหละต้องมีอุปสรรคขวากหนามเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าไม่มีวาสนาต่อกัน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
นาโนยิ้มตาหยี“คิกๆ เวลาคุณครูพูดแล้วไม่เหมือนกันจริง ๆ แต่ฉันชอบเทพบุตรมากนะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปิดบัง”
เชอร์รีนเห็นด้วย หากยู่ยี่รู้จากปากของหัสดิน แบบนั้นจะยิ่งเจ็บกว่า
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เชอร์รีนก็คิดถึงเรื่องเลวๆ ของออกัสกับหยาดฝนขึ้นมา
ทว่าไม่ใช่ออกัสเป็นคนบอกเธอ เธอรู้จากปากคนอื่น เธอนำมาเปรียบเทียบดูแล้วก็โมโห ต้องไปหาผู้ชายบางคนคิดบัญชีเสียหน่อยแล้ว
นาโนรู้สึกเสียว “อารมณ์คนท้องไม่มั่นคงจริงๆ นี่พูดถึงเรื่องยู่ยี่นะ แล้วทำไมเธอถึงโมโหล่ะ?”
……
ยู่ยี่ย้ายบ้าน ตกแต่งห้อง จากนั้นก็ซื้อวอลล์เปเปอร์มาติดผนัง แต่ยังไม่พอใจเลยจ้างให้ช่างมาตกแต่งเพิ่ม ซึ่งห้องที่เธอเลือกเช่านั้นมีขนาดเล็ก เพราะเธอเน้นแค่ความปลอดภัยเท่านั้น
ยู่ยี่ไม่มีเสื้อที่ใส่ในฤดูหนาวมากนัก จึงไปที่ห้างสรรพสินค้า ซื้อกันหนาวขนสัตว์กับกางเกงยีนส์ในราคาทั่วไปอย่างละหนึ่งตัว
ตรงข้ามที่พักมีร้านกาแฟด้วย ยู่ยี่ชอบนั่งดื่มกาแฟพักผ่อนตรงนั้นที่สุด
เธอที่นั่งอยู่ในร้านสั่งของหวานมาด้วย นั่งจิบกาแฟและกินขนมไปด้วย ส่วนสายตาก็จ้องนอกหน้าต่าง
ช่วงนี้ผู้ช่วยโก๋กับเขาไม่มาให้เห็นหน้าแล้ว ชีวิตจึงกลับมาสงบเงียบ ไร้คลื่นใด ๆ
เสียงกระดิ่งลมใสๆ ดังกึกก้อง เรนนี่ที่ไม่เจอหน้านานเดินมาหาเธอ อีกฝ่ายใส่เสื้อกันหนาวสีแดงชาด รองเท้าส้นสูงที่บางมาก ผ้าพันคอสีบริสุทธิ์ สวมใส่ได้ดูดีมาก
ส่วนยู่ยี่ใส่แบบธรรมดามาก กางเกงหนังขายาว
ขาที่เรียวอยู่แล้วของเธอ เมื่อใส่กางเกงหนังจึงยิ่งแลดูเรียวเล็กมากขึ้น เธอใส่เสื้อกันหนาวสีเขียวที่ด้านในเป็นขนแกะ เรียบง่ายทว่าดูสูงศักดิ์ แน่นอน เธอก็ใส่รองเท้าส้นสูงที่โดดเด่น
เรนนี่มองยู่ยี่มาแต่ไกล ส่วนเธอก็จ้องอีกฝ่าย
ได้ยินว่ายู่ยี่เล่นโยคะ เธอก็เรียนแบบ แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยดีนัก ยู่ยี่เป็นคนตัวสูงกว่าเธอ ใส่อะไรก็ดูดีกว่า
เรนนี่เดินเข้าไปนั่งลง ยู่ยี่มีสีหน้าเรียบเฉย ดื่มกาแฟอย่างไม่แยแสอีกฝ่าย
“เธอเลิกกับแฟนแล้วเหรอ?หรือว่าเธอโดนทิ้ง?”เรนนี่ถามพร้อมกับนั่งบนโซฟา
ยู่ยี่ไม่มองเธอ คนกาแฟอยู่อย่างนั้น จากนั้นเรนนี่ก็เอ่ยปากพูดว่า “หลายวันก่อนฉันเห็นเขาซื้อของกับผู้หญิงในห้าง ความสัมพันธ์ของพวกเขา บอกจะสนิทชิดเชื้อก็ไม่ใช่ แต่บอกไม่สนิทก็ไม่เชิง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดาแน่”
“สะกดคำว่าออกไปเป็นไหม?ต้องการให้บริกรเชิญเธอออกไปหรือเปล่า?”ยู่ยี่ไม่ได้ฟัง สีหน้าไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ทว่าในใจกลับรู้สึกรำคาญ เหลืออด
เรนนี่ยิ้มแล้วนั่งอยู่อย่างนั้น“ฉันแค่รู้สึกสงสารหัวอกเดียวกัน เธอถูกทิ้ง ฉันก็เหมือนกัน”
คนเมืองSมีคนรู้ว่าฉันทัชแต่งงานแล้วน้อยมาก ก็เหมือนกับฐานะของเขา คนเมืองSไม่รู้เลย ดังนั้นเรนนี่จึงไม่รู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว
ก็เหมือนกับงานเลี้ยงนักธุรกิจครั้งนั้น มีคนรู้ฐานะของเขาไม่กี่คน ซึ่งไม่กี่คนที่ว่าก็แค่รู้พอประมาณเท่านั้น ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก
“แต่เธอเชื่อไหม สุดท้ายแล้วฉันจะได้แต่งงานกับหัสดิน”เสียงเรนนี่นุ่มนวล ทว่าหนักแน่นมาก
ยู่ยี่รู้สึกว่าเธอตลกมาก“ต้องการให้ฉันมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เธออีกไหม”
“เธออาจคิดว่าฉันกำลังพูดเล่น แต่ฉันจริงจังนะจะบอกให้ อีกอย่าง เขาต้องเป็นของฉัน ตอนนี้แค่หลงใหลเธอชั่วคราวเท่านั้น ……”
ยู่ยี่หัวเราะเบาๆ“เธอไม่ใช่ทำให้เขาหลงตั้งนานหรอกหรือ?แต่สุดท้ายจุดจบก็ไม่สวย อนาถกว่าที่ฉันคิดอีก”
หน้าอกเรนนี่อัดไปด้วยความโกรธ ทว่าไม่ได้แสดงออกมา เธอแค่ส่งเสียงฮึ จากนั้นก็สั่งกาแฟสองแก้วที่เคาน์เตอร์ แล้วเดินถือออกไป
หลังเดินออกจากร้าน ตรงทางเลี้ยงมีรถBMWสีแดงจอดอยู่ เรนนี่เดินเข้าไปยื่นกาแฟให้ซาฮาร่าที่อยู่ในรถ
ช่วงนี้เธอสังเกตสีหน้าจนในที่สุด เธอก็ตีสนิทกับซาฮาร่าสำเร็จ ช่วงนี้พวกเธอเข้ากันได้ดีมาก มีทั้งคุยเล่นและช้อปปิ้งด้วยกัน
เธอเคยพูดแล้ว ระยะเวลาเจ็ดปี เธอไม่เคยฝึกอย่างอื่น แต่เธอการอ่านใจคน เธอเรียนรู้จนทะลุปรุโปร่งเลยละ
และเธอยังรู้จักกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเพื่อให้ภารกิจอันหนักอึ้งประสบผลสำเร็จ สุดท้ายคือเข้มงวดกับตัวเองเพื่อจะได้ฟันฝ่าอุปสรรคและลบล้างการถูกหยามเกียรติ
ในสายตาของซาฮาร่า สามีมีชู้กับน้องชายมีชู้ต่างกัน เพราะสามีมีชู้นานหลายปีแล้ว เรียกได้ว่ากลายเป็นสันดานของเขาไปแล้ว
แต่เจ็ดปีมานี้น้องชายแค่มีชู้ครั้งเดียว จึงแตกต่างกัน
เรนนี่ต้องครอบครองหัสดินให้ได้ แต่เธอจะไม่ลงมือทำร้ายยู่ยี่เด็ดขาด เพราะนั่นไม่ฉลาดเอาซะเลย หากเธอลงมือแล้วโดนจับ ผลลัพธ์จะร้ายแรงมาก
ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตของตัวเองไปเดิมพันเพียงเพราะยู่ยี่ มันไม่คุ้ม และเธอก็ไม่ใช่คนโง่ดักดาน
สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้ก็คือ ทำชีวิตของตัวเองหลังจากนี้ให้สวยหรู ไม่ใช่ทำพฤติกรรมเสี่ยงอันตรายกับผู้หญิงคนหนึ่ง
เมื่อวานซืน หัสดินกับแม่ของเขาไปที่ร้าน ซึ่งแม่ของเขาก็ต้องเห็นหน้าเธอแล้ว และมีท่าทีเฉื่อยชากับเธอ สัญชาตญาณบอกว่าแม่ของหัสดินไม่ชอบเธอ
เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าแม่ของหัสดินกับยู่ยี่เข้ากันได้ดีมาก ตอนนี้ไม่ชอบหน้าเธอก็สมควรอยู่
เห็นทีเธอต้องใส่ใจกับคุณแม่ของหัสดินให้มากหน่อย
ณ เฮทเค
คฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณ
ฉันทัชกำลังดื่มน้ำอุ่น ส่วนเอวากำลังเก็บกระเป๋าเดินทาง เขายกมุมปากกล่าวว่า“พักก่อนเถอะ”
“ค่ะ”
เอวานั่งลง เธอมีใบหน้าที่เด็กมาก อายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ยังไม่แก่เลย สวรรค์ช่างรู้จักจัดสรรใบหน้าตุ๊กตาให้เธอจริง ๆ
“พวกเราแต่งงานมาสองปี ตอนนี้คุณคิดยังไงบ้าง?”ฉันทัชมองเธอ