ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 437 งั้นขอผมกอดหน่อย
บริเวณรอบ ๆ ไร้ผู้คน เขานั่งอยู่ด้านข้างแปลงดอกไม้ เส้นผมดกดำปลิวไหวตามแรงลมอย่างอิสระเสรี
เงียบไปสองวินาที ยู่ยี่ก็ยกเท้าเดินต่อ เธอไม่คิดที่จะหลบหน้าเขา
เธอยังอยู่ห่างจากเขาสักระยะหนึ่ง ทว่าเขากลับรับรู้การมาเยือนของเธอ เขาหันขวับไปมองเธออย่างจดจ่อแต่ไกล
ทั้งสองประสานสายตากัน เสี้ยววินาทีนี้ กระแสที่ส่งมายังสายตาแรงกล้ามาก ชวนให้ขดตัวและสั่นสะท้าน
ฉันทัชคืนแก้วน้ำให้รปภ. มุมปากเผยรอยยิ้มบางเบาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นขาอันมีเสน่ห์ก้าวออกไปด้านหน้าทีละก้าว
ยู่ยี่ยืนอยู่กับที่ไม่ได้เดินหนี เธอหยิบกระเป๋าถือที่ลื่นลงมาขึ้นไปบนบ่าอีกครั้ง
กางเกงสูทสีเทาของเขาก้าวออกไปตามจังหวะฝีเท้าของเขาอย่างเร็วไว จึงเดินใกล้เธอขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ยังไม่ได้เข้าใกล้มากนัก ทว่ายู่ยี่กลับรับรู้พลังแข็งแกร่งที่ฉุดไม่อยู่บนกายเขา
สุดท้ายฉันทัชหยุดเดินเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ซึ่งเว้นระยะห่างเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น อาจเป็นเพราะนั่งตากลมนานเกินไป ใบหน้าหล่อคมสันของเขาเริ่มแดงนิด ๆ แล้ว
จากนั้นริมฝีปากอันเซ็กซี่ของเขาขยับ เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาทีละคำว่า
“ผมรอคุณสามชั่วโมงแล้ว……”
ถึงแม้เสียงจะเคร่งขรึม ทว่าก็เสนาะหู ชวนให้หวั่นไหว
“ทำไมต้องนั่งรถของเขาด้วย?คุณเกลียดเขาขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องนั่งรถเขา ถึงแม้จะนั่งเพราะหลบหน้าผม แต่ก็ไม่จำเป็นเลย ผมยิ่งไม่ชอบที่คุณนั่งรถเขาเพราะผมเป็นต้นเหตุ ……”
เขาอยู่ใกล้เธอมาก เสียงทุ้มต่ำรดลมหายใจอุ่นใส่ศีรษะเธอ
ด้วยการกระทำของเขาทำให้ยู่ยี่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเจ้าลึก ๆ จากนั้นก็ใช้สีหน้าเย็นชาพูดกับเขาว่า “เวลาพูดอยู่ห่างจากฉันหน่อยได้ไหม รักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม?”
ฉันทัชเพ่งมองเธออย่างจดจ่อ นัยน์ตาประหนึ่งน้ำวนที่ลุ่มลึก“ทำไมต้องรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมด้วย?”
“ฉันไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ตอนคุยกันมานานแล้ว”ระหว่างที่พูด ยู่ยี่ถอยหลังไปสองก้าว เพราะเขาไม่ถอย ดังนั้นเธอจึงเป็นฝ่ายถอยเอง
ทว่าเธอถอย เขากลับก้าวเข้ามา“ไม่ชอบอยู่ใกล้ตอนคุยกันจริง ๆ หรือว่าตื่นเต้นที่อยู่ใกล้ผม?”
ยู่ยี่เกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด เธอรู้สึกกดดันมาก
ซึ่งถ้อยคำของเขาเฉียบคม พูดตรงจุดสุด ๆ สามารถทิ่มเข้ามาส่วนลึกสุดของหัวใจได้
“ต้องเป็นสาเหตุแรกอยู่แล้ว……”ยู่ยี่เงยหน้าด้วยความดื้อด้านหลายส่วน“ทำไมฉันต้องตื่นเต้นด้วย?”
“เพราะผมมีแผนกับคุณ……”ฉันทัชจงใจพูดแช่มช้าและแผ่วเบา
เขาเป็นผู้ชายที่สุขุมมีความเป็นผู้ใหญ่สูง ไม่ได้จะเป็นเรื่องราวหรือการเข้าสังคม เขาล้วนรู้วิธีแสดงเสน่ห์เฉพาะกายออกมาได้อย่างเหมาะสม
อันที่จริงประโยคของเขาแสนจะธรรมดา ทว่าเขาพูดช้าและหยุดพูด ทำให้คนฟังรู้สึกหวั่นไหวราวกับถูกหยอดคำหวานใส่
วิธีการพูดเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงหน้าแดงง่าย และหัวใจก็จะเต้นเร็วไม่หยุด ซึ่งยู่ยี่ก็หน้าแดงนิด ๆ จริง ทว่าก็แค่ชั่ววูบเท่านั้น
เธอกลับมามีสติ ใจเย็นในชั่วพริบตา เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง“ฉันไม่ชอบพูดซ้ำ ๆ พวกเราเลิกกันเมื่อยี่สิบกว่าวันก่อน คุณน่าจะจำได้”
“ผมจำได้ดี และรับรู้ว่าคุณตั้งใจนับเวลาหลังพวกเราเลิกกันขนาดไหน……”ฉันทัชผู้ซึ่งมีความเป็นผู้ใหญ่สูง ไม่ค่อยมีการเอ่ยวาจาเชิงมัดมือชกแบบนี้บ่อยๆ“ตอนนี้ผมกำลังเริ่มจีบคุณใหม่……”
ยู่ยี่ไม่ได้ตอบ แค่ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น และไม่คิดจะพูดอะไรด้วย
“เรื่องนั้น ผมเป็นคนผิดเอง ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมจะไม่ข้อแก้ต่าง……”
เขาพูดต่อ สายตาจ้องไปยังเธอ
“และตอนนี้ผมก็จะไม่แก้ตัวอะไร แค่ขอให้คุณยกโทษให้ผม ผมแทงจุดอ่อนของคุณ ทำให้บาดแผลคุณเน่าเปื่อย ผมรู้ว่าสาหัสมาก ผมให้คุณดูสัญญาเงื่อนไขก่อนแต่งงานแล้ว แต่ถ้าคุณยังปล่อยวางไม่ได้ งั้นผมไปลงในหนังสือพิมพ์ก็ได้ ถ้าผมทำแบบนี้แล้วคุณยังให้อภัยผมไม่ได้ งั้นคุณบอกผมว่า ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยกโทษให้ผม แล้วผมจะทำตามแน่นอน ……”
คล้ายกับฉันทัชกำลังเจรจาเรื่องสำคัญอยู่ สีหน้าขึงขังจริงจัง น้ำเสียงแน่วแน่และหนักอึ้ง
ให้อภัย……
อันที่จริง วินาทีที่เอาสัญญากับหนังสือหย่ามาให้เธอดู ช่วงวินาทีนั้นความโกรธของเธอก็หายไปเยอะแล้ว
ทว่ารอยแผลก็ยังคงมีอยู่ อีกอย่างฐานะครอบครัวอันมั่งคั่งก็กองอยู่ตรงนั้นด้วย……
คำพูดของเขาทำให้หัวใจหวั่นไหว อบอุ่นใจ หากยู่ยี่บอกไม่สะทกสะท้าน เช่นนี้ก็คือคำโกหกแล้วละ
ทว่าสุดท้ายเธอก็มีสติ ปรับอารมณ์เสร็จสรรพก็มองเขาพร้อมกับพูดว่า“ขอโทษ”
ในหัวใจเธอ เขาต่างจากหัสดิน เธอพูดคำร้ายๆใส่หัสดินได้ ทว่าเธอทำกับเขาไม่ลง
ฉันทัชข่มกลั้นความรู้สึกหนักอึ้งกลางอก โค้งตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะจ้องหน้าผากอันเรียบเนียนและใบหน้าหมดจดงดงามของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย “งั้นให้ผมกอดหน่อย……”
ถึงแม้เธอพูดเช่นนี้ ทว่าเขาก็ยังคงอ่อนโยน
เขายื่นแขนยาวออกไปกอดยู่ยี่ไว้แน่นขนัด
เมื่อก่อนจะรู้สึกอ้อมกอดเขาอบอุ่นมาก ทว่าวันนี้อยู่กลางลมหนาวนานเกินไป จึงให้ความรู้สึกเย็นหนาว ไม่มีความอุ่นเป็นที่ผ่านมา
ตอนที่นิ้วมือเธอสัมผัสความหนาวจากเสื้อกันหนาวของเขา ยู่ยี่ก็คิดจะผลักเขาออก ทว่าก็นิ่งค้าง
หัวใจเธอเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ เกิดความรู้สึกไม่อยากผลักเขาออก
ฉันทัชกอดเป็นเวลานาน จากนั้นก็ปล่อยเธอ แล้วส่งยิ้มละมุนให้ “เข้าไปเถอะ ด้านนอกลมแรง……”
เมื่อปล่อยออก ยู่ยี่กลับยืนที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เธอชะงักงันชั่วครู่
เมื่อเธอได้สติกลับคืนมาก็ก้าวไปด้านหน้า ขึ้นลิฟต์แล้วเข้าห้อง เข้าไปถึงก็ไม่ได้เปลี่ยนรองเท้า หากแต่ไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
ฉันทัชยังยืนอยู่ที่เดิม และกำลังเพ่งมองยังทิศทางนี้ ด้วยความที่ไกลกันมาก ยู่ยี่รู้ว่าเขาคงมองไม่เห็นว่าเธอยืนอยู่ตรงนี่
เขายืนอีกประมาณสิบนาที จากนั้นก็ขึ้นรถแล้วจากไป
ยู่ยี่กำลังคิดว่าตอนเขารอทำไมไม่นั่งรอในรถที่มีอุณหภูมิให้ความอุ่นแก่ร่างกาย?
ตอนที่เขาหันหลังจากไป เธอเกือบอ้าปากเรียกเขาอย่างไม่รู้ตัวแล้ว……
อีกทางหนึ่ง
หัสดินไปโรงพยาบาลเอกชนที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองS ซึ่งค่ารักษาแพงลิบลั่ว จึงได้ใช้บริการเครื่องมือการรักษาที่แม่นยำและทันสมัย
ที่นี่มีแพทย์ประจำตัวของตระกูลภูษาธร ชื่อว่าคุณหมอไอแซ็ค เป็นเพศชาย อายุห้าสิบปี
หากสมาชิกในครอบครัวตระกูลภูษาธรมารักษายังโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาก็จะทำหน้าที่ตรวจอาการ ซึ่งกลายเป็นความเคยชินและกฎไปโดยปริยาย
ตอนที่หัสดินเดินเข้าไป คุณหมอไอแซ็คกำลังจัดแจงไฟล์ข้อมูล เมื่อเห็นเขาก็เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า“คุณชายหัสดิน วันนี้มีเวลามีเหรอครับ?”