ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 442 คุณต้องการพูดอะไรกันแน
เป็นอย่างที่คิดไว้ เสื้อผ้านั้นตากจนแห้งเรียบร้อยแล้ว เธอจัดการพับให้ดี และหลังจากนั้นก็นำเสื้อใส่ในถุง เธอเดินออกมา และยื่นถุงให้เขา
คิ้วของฉันทัชเลิกขึ้นเล็กน้อย เขาเปิดถุงออกทันที และมองเห็นเสื้อสูทอยู่ข้างใน คิ้วของเขาขมวดกันนิดๆ สีหน้าปรากฏแววผิดหวังออกมาเล็กน้อย
“เสื้อสูทของคุณฉันซักให้แล้ว ไม่ได้เอาไปให้ร้านซักแห้ง อาจจะไม่ค่อยดีกับเนื้อผ้าของเสื้อสูทเท่าไหร่” เธออธิบาย เพิ่งมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอควรที่จะส่งเสื้อไปให้ร้านซักแห้ง
เมื่อได้ยินว่าเธอเป็นคนซัก คิ้วของเขาก็คลายออกอย่างรวดเร็ว ดูอ่อนโยนและนุ่มนวลยิ่งขึ้นไปอีก เขาหัวเราะอย่างแผ่วเบา ต่อให้คิดจะซ่อนอย่างไรก็ซ่อนไม่อยู่ เสียงนั้นล้นออกมา
เห็นได้ชัดว่า ฉันทัชไม่ได้มีความคิดที่จะอยากจากไปแต่อย่างใด เขาถือถุงเสื้อผ้า ดื่มน้ำอุ่นไป 1 แก้ว เติมน้ำเพิ่ม 1 แก้ว แล้วก็เติมเพิ่มใหม่อีก 1 แก้ว
ยู่ยี่ต้มน้ำไว้ไม่มากนัก เธอต้มไว้เพียงแค่ครึ่งกาเท่านั้น เป็นไปตามปกติ เขาดื่มน้ำทั้งหมดจนหมดลง แต่กลับยังไม่คิดจะจากไป
ยู่ยี่จ้องมองที่เขาเล็กน้อย เธอขนาดน้ำสักแก้วก็ยังไม่ได้ดื่ม อีกอย่าง ตอนนี้ก็ 5 ทุ่มแล้ว เขาควรจะไปได้แล้ว
ริมฝีปากฉันทัชยกยิ้มขึ้น เขาเองก็ชอบมองท่าทีขุ่นเคืองเช่นนี้ของเธอเช่นกัน คิ้วของเขาเลิกขึ้น ไม่แกล้งเธออีกต่อไป ยันกายลุกขึ้น เตรียมออกไป
เธอไปส่งเขาถึงแค่ชั้นล่าง ฉันทัชไม่ยอมให้เธอไปส่งต่อ ตอนนี้อากาศหนาวเย็น กลัวว่าเธอจะเป็นหวัด จีงให้เธอขึ้นไปข้างบน
เมื่อนั่งอยู่ในรถ เขาก็หยิบเสื้อออกมา กลิ่นแสงแดด ความอบอุ่น และกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยขึ้นมาปะทะหน้า เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูพึงพอใจ
ยู่ยี่ไปเข้าห้องน้ำแล้วออกมา และได้ยินเสียงข้อความดังขึ้น เธอเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอน นั่งลงตรงหน้าโต๊ะ แล้วคลิกเปิดข้อความ
——-นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนซักเสื้อให้ผม เสื้อผ้าที่ซักแล้วยังมีกลิ่นของคุณอยู่ด้วย ผมตั้งตารอตอนที่จะสวมใส่เสื้อผ้านี้และได้กลิ่นอายของคุณ เรายังไม่ได้แยกจากกันเลย แต่ผมก็เริ่มคิดถึงคุณแล้ว ทำยังไงดีครับ?
หัวใจของเธอเต้นตึกตัก แทบจะอดใจไม่ไหวที่จะลุกยืนขึ้น ตรงหน้าหน้าต่างนั้น เธอมองเห็นรถเบนท์ลีย์ มุลซานน์สีขาวเงิน เขายังไม่ได้จากไป
เวลาผ่านไปอีกไม่นาน รถก็เริ่มสตาร์ท สายตาของเขามองผ่านหน้าต่างรถที่เปิดไว้ จ้องมองมาในทิศทางนี้
……….
คุณหมอไอแซ็คสั่งยาให้หัสดิน แต่ยานี้นั้นไม่ใช่ยาที่ใช้ประคองอาการหรือรักษาอาการอย่างแน่นอน แต่เป็นยาที่ใช้เพื่อทำให้อาการของโรคหนักขึ้นอีกเล็กน้อย
ตระกูลภูษาธรตั้งแต่แรกเริ่มนั้น ใช้คุณหมอไอแซ็คเป็นแพทย์ประจำตระกูลมาโดยตลอด ดังนั้นผลตรวจที่มาจากคุณหมอไอแซ็คนั้นจึงไม่เคยถูกตั้งคำถามมาก่อน
ชฎารัตน์กำลังคิด เธอต้องให้หัสดินมีลูกก่อน อีกทั้งลูกหลานของตระกูลภูษาธรนั้น ต้องเป็นเด็กผู้ชายเท่านั้น
เธอแต่เดิมทีก็มีความเชื่อที่ให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ในการมีลูกนั้นปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ แน่นอนว่าเธอนั้นอยากได้เด็กผู้ชาย แต่เธอเองก็รู้ดีว่า เรื่องการมีลูกแบบนี้นั้นไม่ใช่ว่าคิดอยากได้แบบไหนก็ได้แบบนั้น มนุษย์ไม่ใช่ว่าจะสามารถควบคุมอะไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม ภายในใจหัสดินนั้นมีความคิดเป็นของตนเองอยู่ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เขาต้องการและยอมรับที่จะมีลูกด้วยได้ เขาอยากมีลูกด้วยกันกับยู่ยี่
ดังนั้นแม้ในเวลานี้ เขาก็ไม่ต้องการที่จะเลือกผู้หญิงตามใจชอบเพื่อให้กำเนิดลูกของเขา เขาคิดอยู่ในใจ และยังคงคิดจะเอาเธอกลับคืนมาให้ได้
หลังจากนั้น เขาก็จะมีลูกด้วยกันกับเธออีกครั้ง เขาชื่นชอบความคิดแบบนี้ ทั้งยังรับได้อีกด้วย
พฤติกรรมของ คุณหมอไอแซ็ค นั้น เรนนี่รู้ดี อีกทั้งเธอยังมีไพ่ตายอยู่ในมือ ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องกังวลกับคุณหมอไอแซ็ค
สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้ก็คือเฝ้าติดตามท่าทีของหัสดินไว้อยู่ตลอดเวลา และเมื่อคลอดลูกแล้ว เธอก็จะได้แต่งเข้าตระกูลภูษาธรอย่างแน่นอน
ซาฮาร่าได้บอกร่องรอยของหัสดินมาโดยบังเอิญ เรนนี่นั้นฟังมันอย่างระมัดระวังและตั้งใจ เธอคิดคำนวณอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ที่เธอแยกจากข้างกายหัสดินนั้นก็นับว่านานมากแล้ว
หลังจากนี้ไม่นาน เธอก็ควรที่จะปรากฏตัวรอบๆ ตัวเขา และหลังจากนั้น……..
สำหรับเรื่องทั้งหมดนั้น ภายในใจของเรนนี่มีความคิดของตัวเองอยู่แล้ว การแยกจากที่ไม่ห่างแต่ก็ไม่ใกล้เกินไปนั้น ไม่สามารถที่จะทำได้นานเกินไป
ภายในใจหัสดินนั้นมีความรู้สึกกับเธอ แต่ความรู้สึกนั้น เทียบกับยู่ยี่ไม่ได้ เขามีความรู้สึกให้เธอ แต่มันไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น
ดังนั้น เธอควรอยู่ห่างๆ อย่างเหมาะสม และห่างเหินจากเขาอย่างเหมาะสม ซึ่งไม่อาจจะใช้เวลานานเกินไปได้ มิฉะนั้น เธอก็จะค่อยๆถูกเขาลืมไป และมันก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
วันนี้เป็นวันจัดพิธีฉลองครบรอบเดือน ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ขณะที่ยู่ยี่เพิ่งไปถึงนั้น หัสดินก็ยืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว ทั้งยังจ้องมองเธออยู่ตลอด
ตั้งแต่ที่แยกทางกันในวันนั้น เธอไม่ได้เห็นหัสดินเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธออีก
วันนี้เมื่อได้เห็นเขา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก แต่ว่ายู่ยี่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจนัก
คนที่มานั้นเยอะมาก ของขวัญที่ส่งมาก็เยอะมากเช่นกัน ล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่า ออกัสนั้นอุ้มลูกน้อยอยู่ในอ้อมอกตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับจับมือกับแขกที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยลูกน้อยลงแต่อย่างใด สีหน้าท่าทางดูมีความสุขในฐานะคนเป็นพ่อ
ยู่ยี่จ้องมองไปยังทารกน้อย เขานั้นมีหน้าตาที่ดูดีมาก ถึงแม้จะยังเล็กขนาดนี้ แต่ก็สามารถเห็นเค้าโครงหน้าได้อย่างชัดเจน
เชอร์รีนกำลังพักผ่อนอยู่ ออกัสนั้นไม่ปล่อยให้เธอเหนื่อยเกินไป หลังจากนั้นไม่นาน ยู่ยี่ก็เดินเข้าไป อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก
เขาตัวเล็กมาก อีกทั้งยังตัวเบา ขณะที่อุ้ม เธอดูเก้ๆ กังๆ เล็กน้อย ไม่กล้าออกแรงมาก กลัวว่าหากเธอไม่ระวังเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้เขาแตกหักได้ เขานั้นดูบอบบางเกินไป
ขณะที่ยู่ยี่หยอกล้อกับเด็กเล็กอยู่ อารมณ์ของเธอนั้นเบิกบานนัก ทั้งร่างดูนุ่มนวลลง ทันใดนั้น เงาสายหนึ่งก็เข้ามาประชิดใกล้ และหัสดินก็มายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอจ้องมองเขา ก่อนจะเบนสายตาออก ไม่ได้ให้ความสนใจเขาอีก อีกทั้งยังตั้งอกตั้งใจในการหยอกล้อกับมือเท้าเล็กจ้อยของเด็กน้อย
“อิจฉา?” ตาดอกท้อของหัสดินหรี่ลง จ้องมองเธอ คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง “ถ้ารู้สึกอิจฉาขนาดนั้นจริงๆ อุ้มลูกของตัวเองก็ได้หนิ……..”
ยู่ยี่ขมวดคิ้ว มองไปที่เขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของเขาหมายความว่าอะไร ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าเขาดูเป็นคนแปลกที่ยากจะเข้าใจขึ้นมา
เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่?
หัสดินเอนกายไปที่พนักพิงข้างหลังอย่างเกียจคร้าน และเอ่ยขึ้นว่า “ตอนที่ได้หยอกล้อกับลูกตัวเอง ไม่ดูน่าสนใจกว่าเหรอ?” เขาเอ่ยคำพูดนี้ แท้จริงแล้วยังมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง เป็นความหมายที่ลึกซึ้ง……
คิ้วของยู่ยี่ที่แต่เดิมขมวดอยู่นั้นคลายออก อีกทั้งยังไม่ได้สนใจเขาอีก และยิ่งไม่ได้ไปคิดถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดที่เขาพูดนี้ เพียงแต่คิดว่าหัสดินเป็นคนขี้อวดเวลาอยู่ในที่คนเยอะไปแล้ว!
เด็กน้อยในอ้อมกอดดูเหมือนจะปัสสาวะแล้ว เขาเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก ในมือเธอนั้นถือผ้าอ้อมไว้อยู่ และอยากจะเปลี่ยนมันให้กับเด็กน้อย ให้เขาได้รู้สึกแห้งและสบายตัว
เมื่อหามุมที่สงบได้แล้ว ยู่ยี่ก็นั่งลงบนเก้าอี้ และวางเด็กน้อยไว้ที่หน้าตักของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำเรื่องแบบนี้ การเคลื่อนไหวของมือเธอนั้นดูสั่นหงึกหงักและแข็งทื่อ ประกอบกับที่เด็กน้อยยังค่อนข้างเล็กเกินไป ท่วงท่าเช่นนี้ดูเหมือนจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว เสียงร้องไห้งอแงดังออกมา
ยู่ยี่ตื่นตกใจมือไม้พันกันยุ่งไปหมด อีกทั้งร่างกายของเด็กน้อยนั้นก็บอบบางมากเกินไป เธอไม่กล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วใดๆ อีก สถานการณ์ค่อนข้างแย่เล็กน้อย
ในขณะนั้น หัสดินที่เดินตามมาอยู่ตลอดก็โน้มตัวลง และอุ้มเด็กน้อยเข้าอ้อมอก หลังจากนั้นไม่นานก็นั่งบนเก้าอี้ “เปลี่ยนสิ”
การเคลื่อนไหวของเขาก็แข็งทื่อเช่นกัน เด็กนั้นดูอ่อนนุ่มกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูราวกับไร้กระดูกไม่ปาน
คิ้วยู่ยี่ย่นขึ้นอีกครั้ง แต่เธอยังคงย่อตัวลงไปเล็กน้อย หยิบผ้าอ้อมออกมา และหยิบผ้าขนหนูเนียนละเอียดขึ้นมาอีกครั้ง เช็ดก้นนุ่มละมุนของเด็กน้อย
การเคลื่อนไหวของเธอเป็นไปอย่างช้าๆ และนุ่มนวล สีหน้าดูตั้งอกตั้งใจ นำพามาซึ่งความอ่อนโยน เธอนั้นดูสวยมาก
ช่วงเวลาที่หัสดินเงยหน้าขึ้น เขาก็ถูกดึงดูดด้วยความอ่อนโยนที่เป็นแบบนั้นของเธอ ความคิดนั้นล่องลอยไปไกล จับจ้องเธออย่างเหม่อลอย
ในที่สุดก็เปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่สำเร็จ ยู่ยี่ถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก
สติหัสดินนั้นกลับมา เขาจ้องมองเด็กน้อยในอ้อมอก หน้ากลมขาวผ่อง นุ่มนิ่ม เนียนละเอียด อีกทั้งยังส่งกลิ่นของน้ำนมออกมาจางๆ
เมื่อได้อุ้มไว้อย่างนี้ จู่ๆภายในใจเขาก็เต็มไปด้วยพึงพอใจ สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม เขาเอนตัวไปจุ๊บเบาๆ ที่หน้าของเด็กน้อย
ในขณะนี้ หากไม่นับเหตุผลทางร่างกายของเขาเองแล้ว ความรู้สึกที่อยากมีลูกของเขานั้นก็เข้มข้นขึ้นไปอีก เขาอยากมีลูกคนหนึ่ง และต้องเป็นลูกของยู่ยี่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่ายู่ยี่นั้นไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ เมื่อรับเด็กน้อยกลับมาแล้ว ก็กล่อมเขาเบาๆ
“หลังจากนี้ คุณจะมีลูกไหม?” หัสดินเปิดปากเอ่ยถาม
“นั่นเป็นเรื่องของฉัน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย? และต่อให้ฉันมีลูก ฉันก็ไม่มีทางจะมีลูกกับคุณอย่างแน่นอน! คุณไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรให้มากความ!” ยู่ยี่เอ่ยออกมา คำพูดไม่ค่อยสุภาพนัก โต้ตอบเขากลับไปทันทีทันใด
คิ้วของหัสดินขมวดขึ้น คำพูดนี้ เขาไม่ชอบฟังเป็นที่สุด และเพียงแต่งุ่นง่านถึงขีดสุดอยู่ในใจเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงความโกรธออกมา และไม่ได้ถามคำถามต่อ ท่าทีของเธอนั้นได้อธิบายทุกอย่างแล้ว หากเขายังคงถามคำถามต่อไป เธอก็เพียงแต่จะเสียดสีเหน็บแนมเขาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และมีแต่คำพูดจะกระแหนะกระแหนเขา
ตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องทำคือทำลายเกราะป้องกันในใจของเธอ และรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่ากับเธอ ขอเพียงแค่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน เด็กก็เกิดขึ้นมาได้
เขาอยากดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้เธอตั้งท้องลูกของเขาโดยเร็ว
แขกที่มานั้นมีเยอะมาก อย่างไรเสียออกัสในเมืองSนั้นก็มีความสามารถมากพอที่จะเรียกแขกมาได้ แขกที่เดินไปมานั้นยิ่งทำให้บรรยากาศดูครึกครื้น พวกเขามางานด้วยเครื่องแต่งกายหรูหรา ดูไม่รู้เรื่องรู้ราวทั้งยังคิดว่าที่นี่จัดงานเลี้ยงสำหรับเหล่าคนดัง
ยู่ยี่และนาโนอยู่เป็นเพื่อนเชอร์รีนตลอดเวลา ในขณะที่เลอแปงมากับซารางที่ดูแปลกประหลาด
แขกเหรื่อนั้นมีมากมายเหลือเกิน หลังจากที่ส่งแขกทุกคนกลับ เวลาก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง
พิธีฉลองครบรอบเดือนนี้นั้นพวกเขาต่างคอยคารวะเหล้า และ รับรองบรรดาเพื่อนฝูงและแขกเหรื่ออยู่ตลอด ไม่ได้กินอะไรเลยสักนิด ขณะนี้กลับมาถึงบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ ทั้งหมดต่างก็นั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร ทานอาหารค่ำ
ออกัสนั้นไม่ได้กิน เขานั่งอยู่บนโซฟา ในอ้อมอกยังอุ้มเจ้าตัวน้อยเอาไว้ เขาในตอนนี้กำลังขยับตัวแกว่งไกวเบาๆ อยู่
ท่าทางในการอุ้มลูกของเขานั้น สามารถพูดได้ว่าดูเชี่ยวชาญจริงๆ
เชอร์รีนให้เขาวางลูกลง และทานอะไรสักหน่อย เขายิ้มบางพลางส่ายศีรษะ ป้อนนมให้ลูกชายของเขาต่อไป หากวันหนึ่งเขาไม่ได้อุ้มเจ้าเด็กนุ่มนิ่มคนนี้ เขาคงรู้สึกว่างเปล่า
ซารางนำไวน์แดงออกมา บนหน้าเล็กนั้นเต็มไปด้วยความโอ้อวดและภาคภูมิใจ ไวน์แดงเหล่านี้เธอและแด๊ดดี้หม่ามี๊เป็นคนหมักเองกับมือ อีกทั้งยังเป็นองุ่นที่เธอเก็บมาจากสวนผลไม้เอง
ยู่ยี่และนาโนลองชิมดู รสชาตินั้นกลมกล่อมมาก พลางถามว่าเริ่มหมักไวน์ตั้งแต่ตอนไหน
เชอร์รีนยิ้มจางๆ ตอนที่หมักไวน์เหล่านี้นั้น ทั้งสองคนยังไม่ได้คบกัน เขาพาตัวซารางไปโดยไม่ได้รับอนุญาต และพวกเขาก็ได้บ่มเพาะความรักกันในช่วงเวลานั้น
ทั้งสองคนต่างหัวเราะ ไอ้หยา คิดไม่ถึงเลยว่าไวน์แดงเหล่านี้จะมีเรื่องราวแบบนี้ได้ ที่แท้สิ่งนี้ก็คือผลึกความรักของพวกเธอนี่เอง และยังคงระลึกถึงได้
เมื่อเล่าจบ ทุกคนต่างหัวเราะ ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความชื่นมื่นกลมเกลียว
เวลานั้นเริ่มจะดึกเกินไปแล้ว ดังนั้นยู่ยี่และนาโนจีงไม่ได้กลับไป ดนัยและหัสดินก็ไม่ได้กลับไปเช่นกัน ต่างค้างคืนกันที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
เมื่อกลับมาถึงห้อง ยู่ยี่ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที เธอรู้สึกตัวเองเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ได้ กระดูกทั่วทั้งร่างราวกับไม่ใช่ของตัวเธอเองอีกต่อมา
มือเผลอแตะเข้ากับโทรศัพท์มือถือโดยไม่ตั้งใจ เธอกดเปิดโทรศัพท์ ข้างในขึ้นสายโทรศัพท์ที่ไม่ได้รับ 10 สาย ทั้งหมดเป็นสายจากคนเดียวที่โทรมา แน่นอนว่าคนนั้นคือฉันทัช
วันนี้เธอนั้นค่อนข้างยุ่งเกินไป อีกทั้งยังตั้งโทรศัพท์ให้ปิดเสียงไว้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่เธอจะได้ยิน
ยู่ยี่เงียบอยู่สักพัก เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะโทรหาเขากลับ โทรศัพท์ขึ้นเสียงรอสาย หัวใจของเธออดไม่ได้ที่จะเต้นเล็กน้อย
เมื่อรับสาย เสียงของเขากรอกผ่านโทรศัพท์เข้ามา เป็นเสียงทุ้มต่ำๆ “ยังไม่นอนอีกเหรอ?”