ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 535 เธอสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน
“แต่ฉันอยากมีลูกให้คุณ ฉันอยากเห็นคุณมีความสุขแบบนี้” ยู่ยี่เงยหน้าขึ้นมองเขา “เห็นคุณตื่นเต้นมาก ฉันก็เต็มใจ”
จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่ลืมช่วงเวลาที่ลูกออกมาจากท้องของเธอ ดวงตาของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่และสง่างามกลายเป็นสีแดง…
“ผมเคยบอกคุณไหม ผมชอบได้ยินคำพูดคำหวานหูแบบนี้มาก…” อ้อมแขนอันแข็งแกร่งของเขาโอบรอบเอวบางของเธอ ท่าทางของเขาอบอุ่นราวกับสวนหลังบ้านที่มีดอกไม้ผลิบาน “แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเพียงพอแล้ว คนแรกเป็นเด็กผู้ชายดีมาก ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ต้องคลอดจนกว่าจะได้ลูกผู้ชาย”
ยู่ยี่ขมวดคิ้วถือเครื่องเป่าผมด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างดันหน้าผากของเขา “นี่ ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าคุณยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่”
คนแรกเป็นเด็กผู้ชายดีมาก ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ต้องคลอดจนกว่าจะได้ลูกผู้ชายหมายความว่ายังไง
ผู้ชายเป็นใหญ่หรอ!
“ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินของตระกูลยศณะราคินหรือของผม ลูกทุกคนจะต้องได้รับมรดกอย่างแน่นอน ถ้าเป็นผู้หญิง ผมไม่ต้องการให้เธอทำงานหนัก ต้องเข้มแข็ง! ในฐานะลูกสาวของฉันทัช ผมจะทำให้เธอขึ้นไปบนฟ้า เหมือนกับเจ้าหญิงตัวน้อย ผมให้ในสิ่งที่เธอต้องการได้ ทำไมล่ะ ผมแค่ต้องการให้เจ้าหญิงตัวน้อยของผมได้ทำในสิ่งที่เธอควรทำเมื่ออายุเท่าเธอ อาจจะซน อาจจะไม่เรียนหนัก และอื่นๆ บางทีเธออาจจะตกหลุมรักแต่เนิ่นๆ บางทีเธออาจจะติดใครบ้าง ร้องไห้บ้าง แล้วเธอจะพบกับความพ่ายแพ้ที่คาดไม่ถึง ผมจะไม่สอนหรือตำหนิเธอ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องเจอเมื่อโตขึ้น ผมจะบอกเธอเท่านั้นว่าอะไรถูกอะไรผิด ให้ความอบอุ่นเมื่อเธอรู้สึกหดหู่ กอดเธอเมื่อเธอเศร้า และเตือนเธอในเวลาที่เหมาะสม ชีวิตของเธอผมจะไม่เข้าไปยุ่งหรือก้าวก่าย…”
เสียงของเขาเบาและอ่อนโยนมาก ทำให้คนฟังรู้สึกมึนเมาและลุ่มหลง
“ทำยังไงดี ฉันก็อยากมีลูกสาวเหมือนกัน” ยู่ยี่ถูกล่อลวงแล้ว “พวกเรามีลูกสาวอีกคนเถอะ! ต้องมี! ต้องมีเท่านั้น!”
ฉันทัชหัวเราะเบาๆ “ผมว่าเธอคงจะน่ารักและสวยมากเหมือนกับคุณ”
“ใช่ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ทั้งสองคนยังคงคุยกันอยู่ ก่อนที่ทารกน้อยในรถเข็นจะร้องไห้
“เพราะคุณเลยนะ กิ่งทองถึงได้ประท้วงขึ้นมา” ยู่ยี่ปล่อยเขาและยิ้ม “ประท้วงว่าเราไม่รักเขาอีกต่อไป”
ฉันทัชเดินเข้าไปอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน และจูบใบหน้าเล็กๆของเขา นี่คือลูกของเขา เขาไม่รักได้อย่างไร
เขากอดทารกและกอดเธออีกครั้ง กอดอย่างเปรียบเสมือนการกอดโลกทั้งใบ ความสุขที่เต็มตื้นนั้นไม่ต้องพูดก็รู้
หลังจากร้องไห้เพียงสองครั้ง เขาก็สงบลง และเชื่อฟังมาก ยู่ยี่ให้เขาวางลูกลง เพราะผมเขายังเปียกอยู่
เขาจึงนั่งลงบนโซฟา เธอยืนอยู่ข้างหน้า แขนเขายังคงโอบรอบเอวบาง หน้าผากของเขาแนบกับหน้าท้องอันอ่อนนุ่มของเธอจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายและกลิ่นหอมส้มอ่อนๆ และปล่อยให้เธอเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาผ่านการสางเส้นผมซึ่งมอบความผ่อนคลายและความสบายอย่างเต็มที่
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ยู่ยี่และฉันทัชจัดกระเป๋าเดินทาง คุณแม่ธันยวีร์กังวลจึงส่งผู้ช่วย และพยาบาลติดตามพวกเขาไปตลอดทาง
ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำเรียบกริบ ตัวสูงและหล่อยังสวมแว่นกันแดด แต่กลับกำลังอุ้มทารกอยู่ในอ้อมแขน ทำให้ความสนใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ผู้ชายในชุดสูทมีเสน่ห์ที่สุด อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่สวมสูทแต่ยังอุ้มทารกด้วย ผู้ชายแบบนี้มีเสน่ห์ถึงตายยิ่งกว่า
ยู่ยี่เดินมือเปล่าและไม่ถืออะไรเลย ขณะที่ผู้ช่วยและพยาบาลกำลังถือกระเป๋าเดินทาง ทั้งสี่คนกำลังเดินทางไปเมืองs
พวกเขาออกไปเช้าและรีบร้อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สนใจพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ที่ฮ่องกง
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกต ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครไม่สังเกต ตอนนี้อาคิระกำลังถือหนังสือพิมพ์อยู่ ใบหน้าของเขาซีดเผือด ขณะมองดู…
พาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับไวน์ในคืนครบรอบเกิดหนึ่งเดือนเมื่อวานนี้ และรูปที่ถ่ายคือรูปที่เขาปล่อยแก้วไวน์ลงพิ้น และใบหน้าที่ดูไม่ดีของคุณแม่ธันยวีร์
เนื้อหาข่าวละเอียดมากเพราะ ฉันทัชแต่งงานกับภรรยาคนที่สามของเขา และก็มีลูกอย่างรวดเร็ว เป็นการแต่งงานที่มีความสุข
แต่การแต่งงานครั้งที่สองก็กินเวลานานแต่ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องการตั้งครรภ์เลย ตอนนี้ดูจะไม่ใช่ปัญหาของประธานฉันทัชเลย อาจเป็นปัญหาของคุณเอวา เธอท้องไม่ได้ เลยเลือกที่จะหย่า
พิจารณาจากการแสดงออกของอาคิระและแม่ธันยวีร์ เห็นได้ชัดว่ามีความขัดแย้งกัน ไม่มีความสุขมาก และยังแอบได้ยินชื่อคุณเอวา เป็นเพราะคุณเอวา ความสัมพันธ์ของตระกูลอนันต์ธชัยกับตระกูลยศณะราคินจงไม่ดีนัก
นอกจากนี้เมื่อดูจากภาพรวมแล้ว สะใภ้ตระกูลยศณะราคินก็สวย บริสุทธิ์ มีเสน่ห์และเซ็กซี่ แต่สง่าผ่าเผย เธอลึกลับมาก ผู้คนต่างหลงใหลและสงสัยว่าเธอยังมีด้านที่น่าอัศจรรย์ที่ยังไม่ได้เปิดเผย
แม้ว่าคุณเอวาจะสวย แต่เธอก็สู้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามผู้ตายได้ล่วงลับไปแล้ว และตระกูลอนันต์ธชัยก็เอาส่วนแบ่งของตระกูลยศณะราคินหลังการหย่าไปแล้ว เป็นการหย่าร้างอย่างสงบ ไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลอนันต์ธชัยยังคงมีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อตระกูลยศณะราคินอยู่…
เนื้อหายาวมาก กินทั้งหน้าซึ่งเกี่ยวกับตระกูลอนันต์ธชัยและตระกูลยศณะราคินทั้งหมด ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น
ดวงตาของอาคิระมองไปที่มันด้วยความเจ็บปวด และความโกรธที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็ปรากฏขึ้น เขากำและขนำหนังสือพิมพ์จนเป็นก้อน
เอวาไม่สวยเท่าหญิงสาวเหรอ
หลังจากแต่งงานมาหลายปี เอวาล้มเหลวในการให้กำเนิดแก่ตระกูลยศณะราคิน มันคือเอวาที่มีอาการป่วยแอบแฝง…
หึหึ เอวามีอาการป่วยแอบแฝงหรอ ผลดูดีมาก!
เอวาตายไปนานแล้ว ไม่เพียงแต่เธอไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่กลับเยาะเย้ยแทน!
ฉันทัชก็เป็นฉันทัชจริงๆ เขาสามารถโหดร้ายและไร้ความรู้สึกได้ถึงเพียงถึง ยอมให้สื่อปฏิบัติต่อเอวาที่ตายแล้วและปฏิบัติต่อตระกูลอนันต์ธชัยด้วยความเยาะเย้ย เหยียดหยาม เขาจะปล่อยให้เขามีความสุขหรอ ไม่มีทางให้ฉันทัชมีความสุขแน่นอน!
เขายกมือใหญ่ขึ้นโยนหนังสือพิมพ์ไปข้างหลังเขาด้วยวงโค้งอย่างสวยงาม แต่มันกลับกระแทกหน้าหญิงสาวอย่างจัง
ขอบและมุมของหนังสือพิมพ์มีความคมเล็กน้อย และในขณะที่หล่นไป ก็มีรอยแผลบนใบหน้าของหญิงสาวทำให้เลือดไหลออกมา
แต่อาคิระไม่ได้มองกลับไป เขายังคงนั่งอยู่บนโซฟา ขมวดคิ้วแน่นและกำมือแน่น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่พอใจ
เด็กผู้ชายออกมาจากห้อง และยืนอยู่ข้างหญิงสาว “แม่ หน้าของแม่เลือดออก”
“อืม อยากกินอาหารเช้าอะไร” หญิงสาวยกมือไปเช็ดเลือดลวกๆ และถามเด็กชาย
เด็กชายส่ายหัว ทำเพียงแค่มองดูบาดแผลบนใบหน้าของเธออย่างเป็นกังวล “เจ็บไหม”
“ไม่เป็นไร” หญิงสาวยิ้มบางๆ
เด็กชายมองไปที่อาคิระซึ่งยังคงนั่งอยู่บนโซฟา “พ่อ พ่อโยนของโดนแม่!”
อาคิระถึงเพิ่งหันหน้าไป เขามีอารมณ์ไม่ดี พอพูด คำพูดที่ออกมาก็เป็นพิษราวกับหางผึ้ง จนต่อยใบหน้าของคนฟังบวมทันที “ขาพิการไม่พอ สายตาก็ยังไม่ยาวอีก ไม่มีประโยชน์จริงๆ”
ร่างกายของหญิงสาวทื่อ เธอหยุดนิ่งอยู่กับที่
เด็กชายกางแขนและยืนข้างหน้าหญิงสาวด้วยท่าทางป้องกัน ”ผมไม่อนุญาตให้คุณทำแบบนี้กับแม่!”
แต่อาคิระก็พูดว่า “กระเป๋านักเรียนจัดรึยัง”
เด็กชายไม่พูด ยังคงยืนอย่างนั้น ด้วยท่าทางดื้อรั้นผิดปกติ
“ฉันจะถามครั้งสุดท้ายว่า กระเป๋านักเรียนพร้อมหรือยัง” เขาลดเสียงลง
เวลานี้หญิงสาวกลับมามีสติ และพูดว่า “แม่เห็นหนังสือลูกอยู่บนเตียง ไม่มีเวลาแล้ว ลูกต้องไปโรงเรียน รีบไปจัดกระเป๋าเถอะ”
เด็กชายเหลือบมองหญิงสาว แล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้อง เขาฟังคำพูดของหญิงสาวมากที่สุดเสมอ
“ขนาดลูกตัวเองยังสอนไม่ได้ เธอจะทำอะไรได้อีก” อาคิระเริ่มเย้ยหยันมากขึ้นเรื่อยๆ พูดอย่างเย็นชา โดยไม่สนใจว่าคำพูดของเขารุนแรงแค่ไหน
เธอไม่พูด และเมินเฉยต่อเขา หญิงสาวหันกลับมาเดินไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า แต่ปลายมีดคมกลับเฉือนเข้าที่นิ้วโป้งทำให้เลือดไหลทะลักออกมา เธอหลับตาลงอย่างขมขื่น ปล่อยให้ความเจ็บปวดแผ่ขยายออกไปในร่างกาย
อันที่จริงความเจ็บปวดแบบนี้เธอเคยชินกับมันแล้วไม่ใช่หรอ อีกอย่างมันเจ็บตรงไหน แค่สองคำที่ไม่น่าฟังเท่านั้นเอง
เมืองs
เรนนี่ก็ถูกกักตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานานเช่นกัน ตอนนี้เป็นเวลาเยี่ยม สามารถมาเยี่ยมชมได้ เนเน่จึงไปที่คุก
ไม่ได้เจอหน้ากันสองสามวันสั้นๆ แต่เรนนี่กลับผอมแห้ง หน้าเหลือง จนเหลือแต่กระดูก
ที่นี่เธอกินอะไรไม่ได้เลย
“เธอเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่ว่าอาหารจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องกินให้หมด” เนเน่ตกใจและกังวล
“ฉันกินไม่ลง เป็นอย่างตอนนี้ก็เหมือนทางตัน ติดคุกตลอดชีวิตแถมติดเอดส์ มีความหวังอะไรในชีวิตได้อีก” เรนนี่ดึงผมที่มันเยิ้มแล้วและยังไม่ได้ทำความสะอาดมาหลายวันแล้วของเธอ
เนเน่รู้สึกเศร้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ผู้หญิงที่ดี ทำไมเธอถึงทรมานตัวเองแบบนี้
“มีอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกเธอ บัตรธนาคารของฉันอยู่ในกระเป๋า ในนั้นมีเงินฝาก เธอสามารถเอาไปได้ เป็นเงินสะอาด มันคือเงินเดือนของฉัน และคุณยายของฉันก็ฝากเธอดูแลด้วย อย่าดูแลเธอให้ดีเกินไป ไม่อย่างนั้นคุณลุงของฉันจะรู้สึกว่ามีที่พึ่ง แล้วจะไม่ดูแลเธออีก สภาพฉันตอนนี้ดูแลเธอไม่ได้ ส่วนเงินที่เหลือเธอก็เก็บไว้” เรนนี่
เนเน่ พยักหน้าเห็นด้วย และถามเธอว่าช่วงนี้หลับสบายดีไหม อาการเป็นยังไง
เรนนี่นอนหลับไม่สนิท เมื่อหลับตาลง เธอก็จำฉากการตายของชายชราได้ ฉากเลือดกำลังไหล ส่วนเรื่องอาการป่วยก็อย่างที่เห็น
เวลาในการเยี่ยมสั้นมาก และสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว เรนนี่ถูกนำตัวเข้าคุก ในตอนท้ายเธอหันกลับมาและถามว่า “ข้างนอกยังคึกคักอยู่ไหม”
เนเน่ไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไรในประโยคนี้ เมื่อเธอกำลังจะถามอย่างชัดเจน เธอก็หายตัวไปจากสายตาของเธอแล้ว ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเท่านั้น
เธอคิดว่าโลกภายนอกต้องมีชีวิตชีวาอยู่แล้ว ถ้าโลกนี้ขาดใครไป โลกก็จะยังหมุนอยู่ ไม่ต้องพูดถึงว่าขาดคนไม่สำคัญเพียงคนเดียว
ยิ่งกว่านั้นคือสภาพเธอตอนนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน อาจจะเดือนเดียว สองเดือน หรือสามเดือน….