ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 536 นอกจากเขา จะเป็นใครได้อีก
ยังไงก็อยู่ได้อีกไม่นาน เธอมีลางสังหรณ์แบบนี้ คนเราจะมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำก่อนตายไม่ใช่เหรอ?
……
กลับมาถึงเมืองs ไม่ได้มาซะนาน เมืองSก็ยังเป็นเมืองที่ทำให้ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยและมีความสุขมาก
ฉันทัชอุ้มเด็กน้อยมาตลอดทาง บนเครื่องบินเด็กน้อยก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเขา มีเสื้อสูทคลุมร่างน้อยเอาไว้
ตลอดทาง ฉันทัชได้รับความสนใจจากผู้คนรอบข้าง ยู่ยี่อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจเบาๆ รู้สึกจนใจ ผู้ชายอุ้มลูกนี่ก็ช่างแตกต่างเสียจริง!
สายตาส่วนใหญ่ที่มองมาเป็นของพวกผู้หญิง ที่ทั้งอิจฉาและริษยา และยังมีความลุ่มหลงด้วย
รับขวัญเดือนจัดขึ้นที่เฮทเค ไม่ได้แจ้งทางญาติฝั่งนี้ เมื่อกลับมาที่เมืองS ก็จึงย่อมต้องมีงานเลี้ยงรับขวัญโดยปริยาย
“งั้นไปจองโรงแรมล่วงหน้ากัน”ฉันทัชกล่าว“ บังเอิญว่ารถต้องขับเข้าเมืองพอดี ”
หลังจากครุ่นคิด ยู่ยี่ก็รับคำ แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาวุ่นวายกันอีก
ฉันทัชเป็นคนเลือกโรงแรมเอง มาตรฐานก็จึงไม่ธรรมดา ไม่เพียงเท่านั้น ผู้จัดการก็ยังพูดอยู่ตลอดว่า“เราสามารถจัดงานเลี้ยงนี้ให้กับประธานฉันทัชโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ ”
ฉันทัชยกยิ้มบางเบา และปฏิเสธ
ผู้จัดการมีความตื่นตัวและอัธยาศัยดีมาก อยากที่จะให้การสนับสนุนเป็นอย่างมาก
“หากเป็นเรื่องของธุรกิจ ผมอาจจะตอบตกลงสำหรับงานเลี้ยงรับรองนี้ แต่ครั้งนี้เป็นงานรับขวัญเดือนของลูกชายผม ความหมายมันต่างออกไป”
ได้ยินดังนั้น ผู้จัดการก็ไม่ได้คะยั้นคะยออีก แสดงความตั้งใจของตัวเอง ว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดงานเลี้ยงนี้ ให้คุณฉันทัชวางใจ
“เมนูอาหารให้ภรรยาผมเป็นคนตรวจดูแล้วกัน ขอแค่เธอพอใจ ผมไม่มีความเห็นอะไร”ฉันทัชมองไปยังยู่ยี่ ถ่อมตัวและอ่อนโยน
ผู้จัดการเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที ยกยิ้ม ให้พนักงานนำมันมา แล้วยื่นให้ยู่ยี่เลือก
อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรให้เลือกมากมายนัก ยู่ยี่มองดูเมนู ไม่อยากจะตะลอนไปที่อื่นอีก จึงตัดสินใจจองมันที่นี่
ทั้งสองกลับไปยังที่พักหลังเดิม มีคนมาคอยทำความสะอาดให้อยู่ประจำ ดังนั้นก็จึงสะอาดมาก ทันทีที่กลับมา ยู่ยี่ก็ล้มตัวลงนอน ไม่อยากจะขยับไปไหนอีก
แต่ทารกน้อยไม่ยอมนอน เขายังคงพูดพล่ามราวกับกำลังร้องเพลง ฉันทัชเต็มไปด้วยพลัง หลังจากที่ส่งสองแม่ลูกกลับไปยังที่พักแล้ว เขาก็เข้าไปที่บริษัทในเมืองS
ยู่ยี่อยากนอน แต่ทารกน้อยไม่ยอมนอน ดวงตาหลุบลง เธออุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน มือตบไปที่ตูดเพื่อกล่อม แล้วฮัมเพลงตามไปด้วย
เมื่อฉันทัชกลับมา ภาพที่เห็นตรงหน้า หนึ่งร่างใหญ่กับร่างเล็ก สองแม่ลูกกอดกันกลม และหลับไปอย่างเงียบๆ
เดิมทีเขาไม่ได้รู้สึกง่วง ยังเอาซุปปลาเนื้ออ่อนที่เธอชอบมาด้วย แต่เมื่อได้เห็นภาพอันอบอุ่นนี้ของแม่ลูก ก็มีอาการง่วงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถอดเสื้อสูทออก แล้วขึ้นไปบนเตียง แขนที่เรียวยาวรวบกอดสองคนแม่ลูก แล้วหลับตาตาม
ยู่ยี่ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนค่ำ ท้องฟ้ามืดแล้ว สายตามองไปยังสองคนพ่อลูก เธอก็ไปที่ห้องครัว
เสียงดังมาจากในครัว ปลุกฉันทัชที่ความรู้สึกไวตื่นขึ้น ทารกน้อยก็ตื่นด้วยเช่นกัน ลืมตาแป๋ว ดูดนิ้ว และเป่าปากเล่นน้ำลายอยู่
“ไปดูกันว่าแม่เราเขาทำอะไรอยู่ ”พูดประโยคหนึ่งกับเด็กน้อย อุ้มขึ้น แล้วมายืนอยู่หน้าห้องครัว
ยู่ยี่ทำอาหาร แล้วอุ่นซุปปลา มีข้าวต้ม กลิ่นหอมตลบอบอวล พอหันมา ก็เห็นชายหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าประตู เธอตบไปที่หน้าอกเล็กน้อย “ทำไมถึงมาเงียบๆล่ะ ฉันตกใจหมดเลย !”
“ขวัญอ่อนจัง?”
“ไม่เกี่ยวเลย แต่ตกใจเพราะคุณนี่แหละ”ทันใดนั้น ยู่ยี่ก็เบิกตากว้าง ตบไปที่หน้าผาก “ลูกชายคุณหางานให้แล้ว!”
ฉันทัชเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ จากนั้นก็รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมออกจากในถุงเท้า หลุบตาลง เด็กน้อยฉี่รดกางเกงสูทที่เรียบตึงไร้รอยย่นของเขาไหลลงเป็นทางยาว แล้วเข้าไปที่ถุงเท้า
ส่ายหัว วางถ้วยชามและตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ ยู่ยี่รีบพาเด็กน้อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที ส่วนฉันทัชก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งสองวุ่นกันสักพัก อาหารบนโต๊ะก็เย็นลงไปเล็กน้อย ยู่ยี่ตบไปที่ก้นเด็กน้อยเบาๆ“ หาเรื่องให้ไม่หยุดไม่หย่อนเลยจริงๆนะ”
อย่างไรเสีย ความเป็นอยู่แบบนี้ก็เป็นเรื่องปรกติของคนมีครอบครัว ความรู้สึกที่เรียบง่าย
ในระหว่างมื้ออาหารค่ำ เด็กน้อยไม่ยอมนอนเตียง ไม่มีทางเลือก จึงต้องอุ้มไว้ในอ้อมแขน ยู่ยี่กินก่อน หลังจากที่เธอกินเสร็จก็อุ้มเด็กน้อยมาจากอ้อมแขนของฉันทัช จากนั้นก็เปลี่ยนให้ชายหนุ่มได้กินบ้าง
วันรับขวัญเดือนมาถึงในที่สุด ที่นั่งในโรงแรมเต็มหมดแล้วทุกที่นั่ง เสียงของประทัดดังอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ครึกครื้นและมีชีวิตชีวามาก
งานเลี้ยงรับขวัญเดือนในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นญาติทางฝั่งยู่ยี่ สำหรับยู่ยี่ ญาติๆต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะมีวาสนาขนาดนี้ แต่งงานครั้งที่สองก็ยังหาคนดีๆได้
ได้ยินพ่อแม่เธอบอก ว่าสามีเธอนั้นฐานะร่ำรวยมาก เป็นมหาเศรษฐีในเฮทเค!นั่นก็ถือว่ารวยจริง!นี่ขนาดแค่มื้ออาหารยังไม่ธรรมดาเลย !
ทุกคนล้วนมีชะตาชีวิตของตัวเอง แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับยู่ยี่ หัสดินทำงานอย่างหนักในทุกวัน เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องคิดถึงเธอ ทำงานหนักเพื่อให้ตัวเองด้านชา ทำงาน กินข้าว นอน เป็นแบบนี้ทุกวัน ราวกับเครื่องจักร
ซาฮาร่าก็หย่าแล้วเช่นกัน ชฎารัตน์กำลังจะจับคู่นัดบอดให้เธอ ตระกูลภูษาธรมีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน ตอนนี้ลูกชายหย่าแล้ว ลูกสาวก็หย่าตาม ทำเอาภาพลักษณ์เสียหายไม่น้อย
อาคิระก็รีบกลับมาจากเฮทเคเพื่อมาที่นี่เช่นกัน ในตอนที่เขามาถึง เป็นช่วงที่กำลังจุดประทัดพอดี พึมพำด้วยความปีติยินดี
มีความสุขขนาดนี้เลยเหรอ? ราวกับกลัวว่าจะไม่มีใครรู้ว่าคนอย่างฉันทัชมีลูกชายแล้ว ที่เฮทเคก็เพิ่งจะจัดงานรับขวัญเดือนไป มาที่เมืองSก็จัดต่ออีก?
เหอะๆดีใจจนลืมตัวไปแล้วมั้ง……
การตายของเอวา การตายของดาหวัน เขาเอามันไปไว้ที่ไหน?
ดูท่า เขาคงลืมมันไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีความจำอะไรในส่วนนี้อีก สิ่งเดียวที่จำได้คงเป็นเพียงหญิงชั่วคนนั้น!
ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขายังจะต้องเกรงใจอะไรอีก ? ฉันทัชยังทนให้สำนักข่าวพูดจาด่าทอเอวาที่ตายไปแล้วได้ แล้วเขาจะปล่อยให้ชายหนุ่มมีชีวิตดีๆได้ยังไง?
หงุดหงิด และสับสนวุ่นวาย อาคิระคลายเนกไทที่ผูกตรงคอออก ยืนอยู่หน้าโรงแรม มุมปากมีรอยยิ้มที่เย้ยหยัน
อาหารที่โรงแรมจัดให้มีมากมาย ญาติๆต่างก็กินกันอย่างอิ่มเอมใจ รอยยิ้มบนใบหน้าแทบไม่หุบลเลย
หลังจากที่งานเลี้ยงเสร็จสิ้น ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ยู่ยี่รู้สึกเหนื่อยมาก รองเท้าที่เธอสวมใส่มีส้นด้วยเล็กน้อย เป็นหวัดด้วย ร่างกายจึงไม่ค่อยสบายนัก วันนี้ทั้งวันก็ฝืนตัวเองอยู่ตลอด
ฉันทัชให้เธอกลับบ้านไปก่อน เขาจะอยู่จัดการงานเลี้ยงนี้เอง ยู่ยี่ไม่ยอม ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ให้คนขับรถมารับ และพาเธอไปส่งบ้านพักทันที
ยู่ยี่“เอาลูกมาให้ฉัน ฉันจะพากลับไปด้วย”
“เหนื่อยและยังเป็นหวัดอีก กลับไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีพยาบาลอยู่ ดูแลลูกได้ ไปเถอะ”ฉันทัชบอกเธอ และให้คนขับรถพาเธอกลับไป
ยู่ยี่ขึ้นรถและจากไป อาคิระเห็นอย่างชัดเจน สตาร์ทรถ แล้วขับตามหลังไป
ญาติที่มามีจำนวนมาก ฉันทัชได้เตรียมของกำนัลไว้มากมาย แม้ทางโรงแรมจะให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอด แต่จะให้เขาออกจากงานไปก่อนก็คงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไร
รถก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไว้ให้บริการแขก ฉันทัชยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงแรม ทำเพียงทักทายเท่านั้น
ยู่ยี่ที่นั่งในรถก็นวดคลึงไปที่หน้าผากไม่หยุด อาการหวัดรุนแรงนิดหน่อย และไม่สบายอย่างมาก โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นแม่เลี้ยงที่โทรมา“ฉันกับพ่อเธอเราสนใจทำธุรกิจ ตอนนี้ขาดเงินทุนนิดหน่อย ให้เรายืมหน่อยสิ ”
“ไม่มี”เธอพูดตรงๆ ไม่มีอะไรให้ทั้งนั้น โดยเฉพาะเงิน
“เธอไม่ให้ก็ช่าง เดี๋ยวฉันไปคุยกับลูกเขยเอง” แม่เลี้ยงก็วางสายในทันที
อารมณ์ของยู่ยี่ถูกกวนจนขุ่น กดโทรหาฉันทัช ด้วยท่าทีที่จริงจัง ห้ามให้ยืมแม้แต่บาทเดียว ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาร้ายแรงแน่ !
ฉันทัชยกยิ้มบางเบา ให้เธอรีบไปพักผ่อน ป่วยขนาดนี้แล้ว ยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวได้แบบนี้อีก
“ฉันเอาจริงนะ! อย่าคิดว่าฉันกำลังล้อเล่น ฉันไม่มี ห้ามให้พวกเขายืมเงินเด็ดขาด ฉันขอเตือนคุณ!”
เธอเตือนเขา และเขารับคำ ตอบรับทั้งหมด
จังหวะกับที่มาถึงใต้ตึกพอดี ยู่ยี่เปิดประตูรถและเดินลงไป รถสีดำคันหนึ่งก็หยุดจอดอยู่ไม่ไกลกันนัก
เธอหยิบกุญแจออกมาแล้วขึ้นไปยังชั้นบน กำลังเดินไปที่หัวมุม จู่ๆก็รู้สึกเจ็บที่คอ จากนั้นก็มีอาการวิงเวียน ร่างของเธอซวนเซแล้วทรุดลงกับพื้นทันที
อาคิระรับร่างเธอไว้พอดี หลบเลี่ยงกล้องวงจรปิด พาเธอขึ้นรถ สตาร์ท แล้วขับออกไป
อยู่เมืองSมานานพอสมควร ดังนั้นตรงไหนมีกล้องวงจรปิด เขาก็จึงรู้ วิ่งไปตลอดทาง แล้วขับรถออกจากตัวเมือง
บนยอดเขา มีบ้านร้างหลังหนึ่ง เพราะอยู่ในป่า จึงซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี ผู้คนสัญจรไปมาในละแวกนี้ก็ไม่ได้มีมากนัก
อาการสลบของยู่ยี่เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็ค่อยๆรู้สึกตัว ห้องที่ไม่คุ้นเคย กับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
มือและเท้าถูกมัดด้วยเชือก ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ ที่ปากยังมีผ้าขนหนูอุดอยู่ จึงไม่สามารถส่งเสียงได้
เธอกำลังครุ่นคิด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ และคนที่ลักพาตัวเธอคือใครกัน ?
เรนนี่ เป็นไปไม่ได้ เธอติดคุกไปแล้ว หัสดิน? ก็เป็นไปไม่ได้ เธอยังคงคาดเดาไปต่างๆนานา หัสดินไม่ใช่คนหัวรุนแรงแบบนี้ แล้วคนคนนี้เป็นใครกัน?
เธอครุ่นคิด ที่เมืองSเธอมีศัตรูกี่คน ?
ไม่ได้ตื่นตระหนก เธอมีสติและนิ่งมาก แล้วจุดประสงค์ของการลักพาตัวมันคืออะไร?
ยู่ยี่เอาแต่คิดเรื่องนี้ เมื่อคิดไม่ออก เธอจึงมองไปรอบๆ ดูว่าพอมีอะไรที่จะช่วยเธอได้บ้าง เพื่อให้เธอหลบหนีไปได้อย่างราบรื่น
แต่น่าเสียดาย นอกจากมีซากหินปูนที่ผุพัง กับก้อนอิฐ ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก……
ดิ้นรนบิดตัวไปมา ก็พบว่าเสียแรงเปล่า การพันธนาการนั้นแน่นหนามาก ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้เลย……
ถูกมัดไว้แบบนี้จนมืดค่ำ สองแขนเริ่มเป็นตะคริวเล็กน้อย ช่วงเท้าเหน็บชาจนขยับไม่ได้
รู้สึกกระหายอย่างมากและเจ็บปวดบวกกับเป็นพื้นที่บนหุบเขา ลมที่พัดผ่านในช่วงค่ำคืนนั้นกัดกินไปถึงกระดูก ราวกับน้ำแข็งที่ราดรดลงบนผิวกาย หนาวจนเธอต้องขดตัวเป็นก้อน
การลักพาตัวต้องมีจุดประสงค์อยู่แล้ว ไม่มีการลักพาตัวโดยไร้เหตุผลแน่ หรือเป็นเพราะเงิน หรือเพราะเรื่องอื่น ดังนั้นคนที่ลักพาตัวเธอไม่มีทางที่จะไม่ปรากฏตัวขึ้น
กำลังครุ่นคิดอยู่ รองเท้าหนังของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ฉายแวววับ กางเกงสูทที่สวมใส่ไม่มีรอยยับย่นใดๆ ไม่ต้องมองใบหน้าของคนที่เข้ามา ในใจของยู่ยี่ก็พอจะเดาได้
นอกจากอาคิระ จะเป็นใครได้อีก ?
จังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้น ก็ยืนยันการคาดเดาของเธอได้ในทันที เป็นเขาจริงๆ !