ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 542 ลูกชายสุดที่รักพูดได้แล้ว
บทที่ 542 ลูกชายสุดที่รักพูดได้แล้ว
หลังจากทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุ คุณแม่ธันยวีร์ คุณพ่อธนพงษ์ และคุณท่านประเสริฐต่างก็รีบตามมาดู
แม้ตอนที่อยู่เฮทเคจะรู้แล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร แต่ก็ยังไม่วางใจ ตามมาในคืนนั้นทันที พอได้เห็นกับตา ก็ถึงเบาใจลงได้จริงๆ
ยู่ยี่เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทั้งสามคนฟัง มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เกิดขึ้น
คุณแม่ธันยวีร์กล่าวว่า“ในเมื่อเขาสำนึกผิดแล้ว ก็ให้โอกาสเขาสักครั้งเถอะ แม้จะรู้สึกผิดกับยี่ แต่ใครใช้ให้ตระกูลยศณะราคินของเราเป็นหนี้ตระกูลอนันต์ธชัยของพวกเขากันล่ะ แต่นี้ต่อไปบุญคุณที่ติดค้างตระกูลอนันต์ธชัยก็ถือว่าชดใช้หมดแล้ว ฉันจะไม่ใจอ่อนและลังเลอีก ขอโทษนะยี่ หนี้ของตระกูลยศณะราคินของเราให้เธอต้องมาแบกรับเอาไว้ ”
ยู่ยี่ส่ายหัว แสดงให้รู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร“ หนูคิดเหมือนแม่ค่ะ ”
คุณพ่อธนพงษ์ก็พูดขึ้นว่า“พูดกล่อมฉันทัชเอาเถอะ ฉันก็คิดเหมือนพวกเธอ แต่ครั้งนี้เขาล้ำเส้นของฉันทัชจริงๆ”
“ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเรา บางทีโศกนาฏกรรมนั้นอาจจะหลีกเลี่ยงได้ ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงของเขาเกี่ยวข้องกับดาหวัน และสำนึกผิดแล้ว ก็ปล่อยเขาไปสักครั้งเถอะ ”
คุณท่านประเสริฐกล่าวว่า “การตัดสินใจครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ที่จะพูดกับฉันทัชแล้ว”
ยู่ยี่เงยหน้าขึ้น“ทำไมต้องเป็นหนูที่เป็นคนพูดด้วยล่ะคะ ? คุณปู่เป็นที่เคารพนับถือ ไม่ว่ายังไง คุณปู่พูดเองน่าจะเหมาะสมกว่า!คำพูดหนูไม่มีน้ำหนักหรอกค่ะ”
“สมัยนี้ถ้าอุ้มได้ใครยังจะแบกอยู่อีก ? เจ้าเด็กนั่นมันรักฉันหรือไง ? คำพูดเรายังมันยังพอฟัง คำพูดของฉันมันสนใจที่ไหน เข้าหูซ้ายออกหูขวา ทำไปแล้วค่อยมารายงานฉันทีหลัง!”คุณท่านเค้นเสียงหึออกมาอย่างไม่พอใจ“ เห็นปู่ดีกว่าคนรัก เคยได้ยินไหม?”
“……”ยู่ยี่
“ภารกิจสำคัญนี้ก็ฝากเราด้วยนะ!กิ่งทองล่ะ ? หลานรักปู่อยู่ไหน ? ปู่ไม่เจอนานแล้วนะ ขอปู่หอมหน่อยเร็ว!”หันหลัง คุณท่านประเสริฐก็ไปหาเหลนชายสุดที่รัก
ตอนดึกก่อนเข้านอน ยู่ยี่ก็คุยเรื่องนี้กับฉันทัชอีกครั้ง
ฉันทัชถามเธอทำไมถึงได้สนใจเรื่องนี้นัก ?
“ไม่ได้สนใจ แค่รู้สึกหนักอึ้ง มันเหมือนเป็นภาระ กับความมีน้ำใจของเขาที่มีให้ในตอนนั้นทำฉันรู้สึกไม่อยากจะโหดร้ายกับเขามากนัก ”
ไม่พูดอะไร ฉันทัชเดินไปห้องน้ำ ทำเอายู่ยี่โกรธจนต้องกระโดดไปมา เขาช่างเป็นคนเปลี่ยนเรื่องได้เก่งจริงๆ
สองวันต่อมา อาคิระกลับจากเฮทเคมาที่เมืองS เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังเป็นตัวเดิมกับที่ใส่ไปในป่าวันนั้น สกปรก และเลอะเทอะมาก
เขาไม่ได้พักผ่อนเลย ดวงตามีเส้นเลือดฝอย ตอนที่เขามา ยู่ยี่กับฉันทัชก็อยู่ด้วยกันทั้งคู่
“เรื่องนั้นเป็นความผิดของฉันเอง ตอนนี้ฉันมาแล้ว ทำตามที่สัญญาเอาไว้”เขาไม่ได้นอนมาหลายวัน ร่างกายเหนื่อยล้าถึงขีดสุด
ยังไม่ทันที่ยู่ยี่จะได้พูดอะไร ฉันทัชก็ลุกขึ้น เหวี่ยงหมัดไปที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง
อาคิระที่ไร้เรี่ยวแรงล้มลงกับพื้น มุมปากมีเลือดไหลออก สองมือพยุงพื้น ยืนขึ้น ไม่ขัดขืน และไม่โต้ตอบ
แต่ยืนนิ่งได้ไม่นาน ฉันทัชก็ต่อยเข้ามาอีกหมัด เลือดที่มุมปากไหลมากขึ้นอีก อาคิระเดินตัวลอย ยืนไม่นิ่ง
ยู่ยี่วิตกกังวลและเป็นห่วง เอื้อมมือไปดึงแขนของชายหนุ่มเอาไว้ จากนั้น กลับถูกฉันทัชพาไปยืนซะไกล
กว่าอาคิระจะยืนนิ่งได้ และพูดกับยู่ยี่ว่า“ รบกวนคุณช่วยออกไปก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับเขาตามลำพัง ”
เธอไม่วางใจ กลัวอาคิระจะถูกซ้อมจนตาย และยิ่งกังวลกลัวว่าฉันทัชจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้
แต่แล้ว อาคิระก็พูดขึ้นว่า “ได้โปรด”
สูดหายใจลึก ยู่ยี่มองไปยังฉันทัช แล้วพูดว่า “อย่าลืมว่ายังมีฉัน มีกิ่งทอง อย่าวู่วามเด็ดขาด ”
เธอยืนอยู่หน้าประตู ด้านในกำลังคุยอะไรกัน ก็แทบไม่ได้ยิน แต่ก็ยังคงเอาหูแนบไปกับประตู
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องขอโทษนายด้วย กับสิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมดก่อนหน้า” อาคิระมองไปยังฉันทัชด้วยสายตาที่จริงจัง
เขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แววตาเต็มไปด้วยความหมางเมินและเย็นชา เย็นชาจนราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง“หากคำขอโทษมันมีประโยชน์ โลกนี้ก็ไม่ต้องมีกฎหมายแล้วสิ……”
“ฉันรู้ว่านายไม่มีทางยกโทษให้ฉัน และฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่านายจะยกโทษให้ ทำอะไรไว้ก็สมควรที่จะต้องชดใช้ แต่มีเรื่องหนึ่ง ฉันขอได้ไหม ? ”อาคิระพูดอย่างเชื่องช้า เสียดสี“เพื่อนฉันมีไม่มาก คนที่ฉันไว้ใจ และเชื่อใจก็มีแค่นายคนเดียว ในระหว่างที่ฉันอยู่ในคุก ลูกกับบริษัทฝากนายช่วยดูแลที นอกจากนายแล้ว ฉันก็ไม่ไว้ใจใครเลย……”
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าคำขอนี้มันดูจะมากเกินไป แต่เขา ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“เพื่อน ขอโทษ……”อาคิระพยุงตัวยืนขึ้น ตอนที่เดินผ่านฉันทัช เขายื่นมือไป จากนั้นก็ทักทายกันในแบบที่พวกเขาชอบทำกันประจำ ตบไปที่หน้าอกเบาๆ ริมฝีปากยกยิ้ม “ อภัยให้ฉัน เพื่อน ดูแลตัวเองด้วย ……”
เพื่อน นายจะเป็นเพื่อนของฉันตลอดไป!ต่อให้ นายจะไม่เรียกฉันว่าเพื่อนแล้ว !หรือต่อให้ ต่อไปเราจะเป็นแค่คนแปลกหน้าระหว่างกัน ฉันก็จะถือว่านายเป็นเพื่อนของฉันตลอดไป!
ดวงตาของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย ปลายนิ้วของฉันทัชขยับ แต่ไม่พูดอะไร หลังจากที่เขาจากไป ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทรออก
ยู่ยี่วิ่งเข้ามา“อาคิระไปไหนแล้ว?”
“คงไปสถานีตำรวจ……”ริมฝีปากบางเปล่งเสียงออกมา เขาคลายเนกไทที่คอออก
มีคนกลับร้อนใจขึ้นมา ยู่ยี่มองดูชายหนุ่ม พึมพำอย่างไม่พอใจ อยากจะไปขวางเขาเอาไว้ รู้สึกโกรธ และไม่อยากจะสนใจชายหนุ่ม
ขาที่เรียวยาวและชวนหลงใหลของฉันทัชก้าวขยับ หลุบตาลง จ้องมองเธอ แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่ก็มีความไม่พอใจแฝงอยู่“ ที่รัก นี่คุณกำลังโกรธผมเพราะคนอื่นอย่างนั้นเหรอ?”
ยู่ยี่ไม่สนใจเขา คิดไปถึงภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้ที่คนทั้งครอบครัวฝากความหวังไว้กับเธอ แต่เธอกลับพ่ายแพ้มันอย่างราบคาบ
ตลอดทั้งวันเธอแทบไม่คุยกับชายหนุ่มเลย เธออุ้มกิ่งทอง หยอกเล่น คุณแม่ธันยวีร์ คุณพ่อธนพงษ์ และคุณท่านประเสริฐก็กำลังเก็บข้าวของอยู่ พรุ่งนี้จะกลับเฮทเคแล้ว
อีกคืนของวันถัดมา ในตอนที่กำลังจะเดินทางจากคฤหาสน์ไปสนามบิน ฉันทัชให้คุณท่านประเสริฐและคนอื่นๆเดินทางไปก่อน บอกว่าจะพายู่ยี่ไปยังที่ที่หนึ่ง
ยู่ยี่มึนงงเล็กน้อย ถามเขา แต่เขาไม่ตอบ เมื่อมาถึงยังจุดหมาย ก็เพิ่งรู้ ว่าที่ที่เขาพาเธอมานั้นคือสถานีตำรวจ
เจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจนั้นเป็นกันเองมาก ท่าทีของฉันทัชไม่ได้ดูสนิทสนมหรือเหินห่างมากนัก ยังคงไว้ท่า จับมือกัน
ทั้งสองนั่งกันในสำนักงาน มีชามาเสิร์ฟ ยู่ยี่ไม่แตะ ฉันทัชก็พูดเสียงเบาว่าไม่รับ แล้วพูดออกไปตรงๆว่า ให้ปล่อยตัวเขา
ตำรวจย่อมรู้ว่าคนที่เขาหมายถึงนั้นคือใคร พูดว่า“ คุณฉันทัชจะพาเขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวชใช่ไหมครับ?”
โรงพยาบาลจิตเวช? ยู่ยี่ตกอยู่ในอาการมึนงง ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ?
“คืออย่างนี้ครับ ไม่กี่วันก่อนคุณฉันทัชโทรมาที่สถานี บอกว่าเพื่อนของเขามีอาการทางประสาทจะมามอบตัวที่สถานีตำรวจ บอกว่าตัวเองลักพาตัวคน ให้ทางเราช่วยควบคุมตัวเอาไว้สักสองสามวัน รอเขามา แล้วค่อยปล่อยตัวครับ”
เมื่อตำรวจพูดมาแบบนี้ ยู่ยี่ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วคิดออกในทันที ยกยิ้ม บีบมือของฉันทัชที่อยู่ใต้โต๊ะ“ นี่คุณตั้งใจใช่ไหม!เห็นชัดว่าคุณยกโทษให้เขาแล้ว!”
ฉันทัชยกยิ้ม เอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กๆของเธอ “ยกโทษให้ในวินาทีสุดท้าย……”
บางทีอาจจะเป็นในตอนที่พวกเขามือสัมผัสกัน หรือบางทีอาจเป็นตอนตบหน้าอกทักทายกันในแบบของพวกเขา หรือก็อาจจะเป็นในจังหวะที่เขาพูดว่าลาก่อนเพื่อน ดูแลตัวเองคำนั้นก็เป็นได้……
สองวันในคุก เขาให้ทางตำรวจจัดห้องขังที่สภาพแวดล้อมแย่ที่สุด และอนาถที่สุดให้เขา ไม่มีข้าวกิน ต้องนั่งยองๆหลบอยู่แต่ในมุม และไม่มีเวลาอิสระให้
ตอนนี้เขาได้รับการปล่อยตัวแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาหลังจากนี้ เขาไม่ได้คิด ปล่อยให้มันเป็นไปแล้วกัน
และหลังจากนี้ ชีวิตของเขาก็จะต้องมีแต่ความสุขอย่างแน่นอน มีคนที่รัก มีลูก สามคนครอบครัว !
เขา ตั้งหน้าตั้งตารอให้เด็กน้อยเติบใหญ่ว่าจะเป็นยังไง อนาคตข้างหน้าที่สดใส เขารอการเจริญเติบโต และพัฒนาการทุกย่างก้าวของเขา
จากนั้นก็มองไปที่หญิงสาวข้างๆที่กำลังมองเขาด้วยรอยยิ้ม ท่าทีแบบนี้ราวกับกำลังต่อว่าเขาว่ายกก้อนหินขึ้นแต่กลับหล่นทับขาตัวเอง
เอนตัว มือใหญ่บีบไปที่แก้มของเธอ แล้วจูบอย่างเสน่หา“ ขอบคุณนะที่รัก สำหรับทุกสิ่งที่คุณทำให้……”
“ขอบคุณที่รัก ที่ให้ฉันได้เจอคนที่ใช่ในช่วงเวลาที่แย่……”เธอจูบเขา อย่างอบอุ่น ยิ้มจนตาหยี ราวกับพระจันทร์เสี้ยว เจิดจ้า ระยิบระยับ……
จากนี้ไป เขาและเธอจะมีช่วงเวลาดีๆแบบนี้ไปตลอด……
กิ่งทองคลานได้ในช่วงอายุหกเดือน ร่างเล็กๆหมอบอยู่บนพื้น ไม่ต้องพูดว่าจะคลานได้อย่างมีความสุขแค่ไหน มุมปากมีน้ำลายไหลอยู่เป็นครั้งคราว
ไม่ต้องบอกว่าคุณท่านประเสริฐนั้นรักเหลนชายคนนี้มากแค่ไหน นั่งบนโซฟา เขย่าของเล่นไปมาเบาๆ พูดด้วยรอยยิ้มว่า“ทอง ทอง ของเล่น”
เด็กน้อยนั่งก้นจ้ำเบ้าลงบนพรม เหลือบมองไปอย่างไม่ได้สนใจ คิ้วมุ่น แสดงออกถึงความไม่พอใจ
ราวกับถูกตีแสกหน้า คุณท่านประเสริฐให้คนใช้เอากระดูกมา ที่เคี่ยวแล้ว นิ่มๆ มีกลิ่นหอม จากนั้นก็โยกมันไปมา“ทอง กระดูก กระดูก !”
ได้ยินดังนี้ ยู่ยี่ที่เดินออกมาพอดีใบหน้าก็ดำขลับ“คุณปู่ อย่าเลี้ยงลูกหนูเหมือนเลี้ยงสุนัขได้ไหมคะ?”
“เธอคิดว่าฉันอยากจะเลี้ยงเหลนชายของฉันให้เป็นสุนัขหรือไง?”คุณท่านก็ดูหมดหนทางเช่นกัน“ทองไม่ชอบของเล่น ชอบแต่เนื้อติดกระดูก ฉันจะทำยังไงได้?”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เจ้าตัวน้อยก็ปีนป่ายมาถึงตรงหน้าคุณท่านแล้ว ดวงตากลมโตแวววับมองมาที่คุณท่าน ก้นบิดไปมาที่ผ้าห่ม ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยจริงๆ
ยู่ยี่อดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าผาก นี่ลูกชายของเธอ……
ฉันทัชลงมาจากชั้นบนจะเข้าบริษัท นิ้วที่เรียวยาวกำลังผูกเนกไทสีน้ำเงินอยู่ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและหลงใหล มือใหญ่โอบเธอไว้ในอ้อมแขน ก้มหน้าลง แล้วจูบเธอ
ในที่สุด ยู่ยี่ก็พูดกับเขาอย่างเศร้าใจว่า “ลูกชายคุณไม่ชอบอะไรเลย ชอบแต่เนื้อติดกระดูก เหมือนสุนัขเข้าไปทุกที!”
ไม่ได้สนใจ ฉันทัชจูบไปยังริมฝีปากชมพูอ่อนของเธออีกครั้ง ชายหนุ่มมาดสุขุมพูดติดตลกว่า“ นั่นก็เป็นหนึ่งในสายพันธุ์บริสุทธิ์ ราชาแห่งทิเบตันมาสทิฟฟ์ ”
ตั้งแต่นั้นมา กิ่งทองก็มีชื่อเรียกเพิ่มมาอีกสามชื่อ เจ้าดุ๊ก เจ้าบ๊อบ แล้วยัง อืม เจ้าหมาน้อย!
เจ็ดเดือน บ่อยครั้งที่เด็กน้อยมักจะพูดออกมาได้เป็นคำๆ และเริ่มที่จะค่อยๆหัดเรียนรู้ที่จะพูดแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง คุณแม่ธันยวีร์พาเจ้าตัวเล็กกลับมาอย่างดีอกดีใจ ใบหน้าที่สง่างามซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด“ทองพูดได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินข่าวดีที่น่าตื่นเต้นนี้ ทุกคนในตระกูลยศณะราคินต่างก็มารวมตัวกัน ห้อมล้อมร่างเล็กนี้เอาไว้ รอเขาให้รางวัลเป็นคำพูด
เด็กน้อยนั่งอยู่บนโซฟา เล่นของเล่นอยู่ ไม่พูดไม่จา คุณแม่ธันยวีร์ร้อนรน หอมไปที่แก้มน้อยๆ “ทองเด็กดี เหมือนเมื่อกี้ พูดออกมาสิ”