ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 591 ยังไงก็ไม่ตายอยู่บนคานหรอก
ระหว่างทาง พนาวันก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ได้” มนตรีพยักหน้า
เมื่อพนาวันลุกขึ้น ก็มีพนักงานบริการพาเธอไปเข้าห้องน้ำ
ในตอนที่เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงอ่างล้างมือ เธอก็ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่
โลกช่างกลมจริงๆ
ในสถานที่แบบนี้ ยังต้องมาเจอกันอีก
แต่ว่าพนาวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ ทำเป็นมองข้ามอีกฝ่ายไป
“หยุดก่อน!”
อาคิระกระตุกริมฝีปากบาง น้ำเสียงทั้งเยือกเย็นและทุ้มลึก
พนาวันชะงักฝีเท้า “มีอะไรหรือเปล่า?”
“จะไปอเมริกาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมคนที่กำลังจะไปต่างประเทศถึงได้หางานที่เมืองจีต่ออยู่ล่ะ เหอะ พนาวัน คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอเคยมีคำไหนเป็นเรื่องจริงบ้างไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พนาวันก็หัวเราะออกมา “คุณอยากได้สิทธิ์เลี้ยงดูหมีพูล ไหนจะไม่ให้ฉันเจอเขาอีก ฉันก็เลยจงใจแต่งเรื่องว่าจะไปอเมริกาเพื่อตัดความคิดถึงของลูกนี่ไง น่าขำเสียจริง ตอนนี้ยังมีหน้ามาโทษฉันอีกนะ”
ดวงตาดำขลับของอาคิระจดจ้องมาที่เธอ พร้อมกับหรี่ตาลง
“อีกอย่าง ถึงฉันจะโกหกฉันก็โกหกแค่หมีพูล คุณเกี่ยวอะไรด้วย?”
เมื่อถูกสวนกลับมาแบบนี้ อาคิระก็นิ่งไป ถูกขัดจนพูดอะไรไม่ออก
แต่เพียงไม่กี่นาที เขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
อาคิระใช้มือทั้งสองข้างเหน็บกระเป๋ากางเกง พร้อมกับมองมาที่เธอ เอ่ยพูดว่า “ไม่ทันไรก็เอาตัวไปอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายเร็วขนาดนี้ คงขายดีมากสินะ”
พนาวันเค้นยิ้มออกมา แล้วเอ่ยพูดว่า “ฉันยังสาวยังสวย โบราณว่าเอาไว้ ยังไงก็ไม่ตายอยู่บนคานหรอก”
อาคิระมองมาที่เธอ นัยน์ตาลุ่มลึกอัดแน่นไปด้วยความโกรธ
แต่พนาวันกลับไม่กลัวเลยสักนิด เธอยืดอกสบตากับเขาอย่างไม่ลดละ
“อืม ธรรมชาติของมนุษย์”
อาคิระทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ ก็หันหลังเดินจากไป
เธอพูดถูก
เขาเองก็เห็นด้วย
คนที่หย่าแล้ว มีสิทธิ์ไล่ตามชีวิตใหม่ที่ตัวเองต้องการทั้งนั้น
เมื่อไม่มีอารมณ์ทานอะไรต่อ อาคิระก็หยิบชุดสูทเดินออกไปจากร้าน
บริเวณลานจดรถ
ลุงสินมารออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
อาคิระก้าวเดินยาวๆขึ้นไปนั่งบนรถ “กลับบริษัท”
สีหน้าของลุงสินลำบากใจเล็กน้อย ลอบถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณชาย แต่ผมต้องไปรับคุณชายน้อยที่โรงเรียนนะครับ หรือไม่อย่างนั้น ให้คุณอื่นไปรับแทนไหมครับ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อาคิระก็อดที่จะโมโหไม่ได้
เป็นแม่คนแล้วแท้ๆ ยังมีหน้าไปนัดเจอกับผู้ชายคนอื่น แม้แต่ลูกตัวเองก็ไม่สนใจ เหอะ ช่างกล้า
เขากระตุกริมฝีปาก ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “ให้พนาวันไปรับ”
ลุงชินชะงักนิ่ง “ห๊า?”
“ห๊าอะไร? มีเวลาไปเฉิดฉาย แต่ไม่มีเวลาไปรับลูกตัวเองหรือไง?”
คำพูดนี้พอฟังดูแล้ว มันดูแปลกๆยังไงชอบกลนะ?
ลุงสินประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าถามเยอะ “คุณพนาวันไม่ค่อยไปโรงเรียน ถึงโทรไปหา ก็คงไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
อาคิระจับประโยคของเขาได้แค่บางคำ “ทำไมถึงไม่ค่อยไปโรงเรียน?”
“ก่อนหน้านี้คุณพนาวันเคยไปส่งคุณชายน้อยที่โรงเรียนครั้งหนึ่ง แต่ว่าพวกเพื่อนๆของคุณชายน้อยเอาแต่พูดถึงเรื่องขาของคุณพนาวัน แถมยังแอบพูดลับหลังว่าเธอขาเป๋ คุณชายน้อยเลยทะเลาะกับเพื่อน พอกลับมาถึงบ้าน คุณก็เอาแต่ด่าว่าคุณพนาวัน ตั้งแต่วันนั้น เธอก็ไม่ไปที่โรงเรียนอีกเลย”
“ฉันด่าเธอ? ด่าว่าอะไร?” เขาจำไม่ได้เลยสักนิด มากไปกว่านั้นคือจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยด่าเธอเอาไว้
ลุงสินเหลือบมองเขาสองที แล้วก้มหน้าลงพวงมาลัยรถ “คุณด่าคุณพนาวันว่าขาเป๋ แถมยังด่าเธอว่าไม่รู้จักเจียมตัว สร้างความขายหน้าให้ครอบครัวไม่พอยังจะไปสร้างความขายหน้าที่โรงเรียนลูกอีก คุณยังบอกอีกว่าต่อไปนี้ห้ามเธอไปที่โรงเรียนอีก”
ขณะที่ฟัง อาคิระก็ค่อยๆจำได้ขึ้นมารางๆ จึงอธิบายว่า “ตอนนั้นผมเมา”
“ถึงยังไงหลังจากนั้น คุณพนาวันก็ไม่ไปที่โรงเรียนอีกเลย แล้วก็ไม่ชอบออกไปข้างนอกด้วย ทั้งๆที่ปกติเธอชอบออกไปข้างนอกจะตาย”
คิดไม่ถึงเลยว่าพอน้ำเมาเข้าปาก แล้วเขาจะด่าเธอแบบนั้นออกไป
อาคิระปวดหัวตุบๆ เขาจึงใช้นิ้วนวดหัวคิ้วเบาๆ
“งั้นลุงไปรับหมีพูล เดี๋ยวผมเรียกรถคันอื่นมารับ”
“ครับ”
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตอนที่มาถึงห้องทำงาน ก็เกือบสายไปสองนาที
เมื่อนั่งลงบนเก้า พนาวันก็หอบหายใจแฮ่กๆยกใหญ่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วให้นิ่ง
ถึงยังไงเธอก็เพิ่งมาทำงานที่บริษัทได้ไม่นาน ถ้ามาสายมันคงดูไม่ดีแน่ๆ
ในตอนนี้เอง ก็มีแขนของผู้ชายคนหนึ่งพาดมาจากด้านหลัง
พร้อมกับน้ำเต้าหู้และขนมปังที่วางลงตรงหน้า พนาวันเงยหน้ามองอย่างสงสัย จึงพบว่าเป็นมนตรี
เขายกยิ้ม “เมื่อกี้เห็นคุณดูรีบๆ ต้องลืมทานข้าวเช้าแน่ๆ ผมมีข้าวเช้าอยู่สองชุดพอดี เลยเอามาแบ่งให้คุณชุดหนึ่ง”
พวันนานิ่งไป อดที่จะอึ้งไปไม่ได้ที่ตัวเองถูกเอาใจใส่ เธอรีบส่ายหน้ารัวๆแล้วพูดว่า “เอ่อขอบคุณนะ แต่ว่าฉันมากินมาแต่บ้านแล้วล่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”
มนตรีย่นคิ้ว “ซื้อมาแล้วด้วยสิ จะเอาไปคืนก็ไม่ได้ด้วย เอาไว้กินเป็นขนมก็ได้ ผมไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวค่อยเจอกัน”
“นี่……”
พนาวันกำลังจะเอ่ยพูด เขาก็วิ่งหายไปแล้ว
เธอนวดหัวคิ้ว ถ้าจะโยนทิ้งก็เสียดาย ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็กินมันซะให้หมดนี่แหละ
เมื่อเช้าอุตส่าห์ดื่มนมจากห้องมาแล้ว คราวนี้ต้องมาดื่มน้ำเต้าหู้อีกแก้ว เธอรู้สึกท้องตัวใกล้จะเป็นอ่างเก็บน้ำเต็มที
เห็นแบบนั้น เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆก็มองมายิ้มๆ จับไหล่เธอเบาๆแล้วพูดว่า “มนตรีคิดอะไรกับเธอแน่ๆ!”
พนาวันส่ายหัว “เธอคิดมากเกินไปเอง”
“อะไรคือบอกว่าฉันคิดมากไปเอง? เขาชงกาแฟอร่อยแต่พวกฉันก็ไม่เคยมีบุญวาสนาได้ลองชิมสักครั้ง แถมเขายังไม่เคยนัดพวกฉันไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ยิ่งข้าวเช้ายิ่งไม่เคยซื้อมาให้ใคร แค่นี้ยังไม่เรียกว่าคิดอะไรกับเธออีกเหรอ?”
“แต่เอาจริงๆนะ หน้าตามนตรีก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเดือนประจำบริษัท ถึงจะไม่รู้ว่าครอบครัวฐานะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยเขาก็มีรถขับ ฉันว่าก็ไม่เลวเลยนะ เสียดายเขาไม่ได้ชอบฉัน ถ้าชอบฉันล่ะก็ ฉันคงตอบรับไปแล้ว”
เพื่อนร่วมงานกระซิบอยู่ข้างหูของเธอ
พนาวันเพียงแค่หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มนตรียังคงปกปิดฐานะที่แท้จริงเอาไว้ ถ้าหากเปิดเผยออกมา เกรงก็แต่ว่าจะยิ่งเป็นที่นิยมในบริษัทมากกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าเธอเพียงแค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร เพื่อนร่วมงานจึงเห็นว่าพอควรแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่ตบไหล่ของเธอแล้วพูดว่า “มีคู่ดีๆมาให้เลือกขนาดนี้จับได้ก็จับไว้ให้แน่นเลยนะ อย่าให้พลาด”
พนาวันส่ายหน้ายิ้มๆ
คนเป็นโรคมะเร็งอย่างเธอ แค่ค่ารักษาพยาบาลยังเก็บไม่ครบ จะไปพูดถึงเรื่องมีคู่ได้ยังไงกันล่ะ?
อีกอย่างใกล้จะถึงวันส่งงานแล้ว เธอไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น เพราะต้องคอยทุ่มเทให้กับต้นฉบับ
คุณปราณีรู้สึกเห็นใจ จึงตบไหล่เธอเบาๆ “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้น พักผ่อนบ้าง ไม่ต้องรีบ”
เพราะถึงอย่างไร เธอก็ป่วยอยู่ จะเอาไปเทียบกับคนปกติไม่ได้อยู่แล้ว
“ขอบคุณนะคุณปราณี”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ร่างกายของใคร คนนั้นก็ต้องดูแลสิ”
พักกลางวัน มนตรีก็มาหาเธออีกครั้ง คราวนี้นัดเธอไปทานข้าวเย็นด้วยกัน
พนาวันคิดหาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธคำชวน
ไม่ว่ามนตรีจะคิดอะไรกับเธอหรือไม่ก็ตาม ยังไงก็ต้องรักษาระยะห่าง
ถ้าไปกินข้าวด้วยกันอีก ต้องถูกนินทาแน่ๆ คงไม่ส่งผลดีเท่าไหร่
ไม่รอให้เธอได้เอ่ยพูดอะไร มนตรีก็พูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานคุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามีบะหมี่ร้านหนึ่งอร่อยมาก ผมกับคุณปราณีชอบกินบะหมี่ แต่ก็หาร้านอร่อยไม่เคยเจอ เพราะงั้นเลิกงานนี้เราไปกินด้วยกันนะ”