ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง - บทที่ 597 จู่ๆก็ไม่เหมือนเดิม
อาคิระเดือดในอกปุดๆ ลมหายใจกระเพื่อมขึ้นๆลงๆ
“อามนตรีกับทำงานที่เดียวกัน ตอนเช้าก็ไปทำงานด้วยกันได้ พอเลิกงานพวกเขาก็ไปหาซื้อของมาทำกินด้วยกัน แบบนี้เหมาะสมสุดๆ เพราะฉะนั้นพ่อไม่ต้องไปหาแม่แล้วนะ”
หมีพูลกำชับอย่างไม่วางใจ
“หุบปากไปเลยแกน่ะ! ถ้ายังไม่หยุดพูดล่ะก็ ฉันจับแกโยนออกไปจริงๆด้วย”
ยิ่งฟังไฟก็ยิ่งลุก หัวใจมันบีบรัดไปหมด อาคิระจึงต้องเอ่ยดุลูกอย่างอารมณ์ไม่ดี
หมีพูลดื่มน้ำแล้วพูดว่า “
“พ่อ พ่อโกรธอีกแล้วนะ ทำไมล่ะ?”
ที่อาคิระคุยกับลูกเรื่องนี้ ก็เพราะว่าอยากให้ลูกคัดค้านเรื่องของมนตรีกับแม่ตัวเอง
เขานึกว่าลูกจะร้องไห้โวยวานเพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกทิ้ง แต่ว่าสิ่งที่ได้คือ?
สิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้ไม่เป็นจริงเลยสักนิด กลับกันเขากลับถูกกระตุ้นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบโมโหตาย เพราะเพลิงโกรธที่มีอยู่เต็มกาย
เด็กตัวแค่นี้ แต่กลับพูดออกมาซะคล่องปรื๋อ
เขาแทบจะเถียงอะไรลูกไม่ได้เลย กลับกันมีแต่ทำให้เขาโมโหหนักกว่าเดิม
อะไรดีๆไม่สืบทอดไปเลยหรือไง เอาแต่สืบทอดข้อเสียของพนาวันอยู่ได้
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ หมีพูลก็ถูกพาไปอาบน้ำ
ไม่ได้เจอหน้าคุณหนูสองวัน ลุงสินจึงคิดถึงเขามากๆ ถึงกับเดินเข้ามาอุ้มพาไปอาบน้ำ
ด้านอาคิระเองก็ตรงเข้าไปอาบน้ำเหมือนกัน เขาใช้น้ำเย็นๆดับไฟที่กำลังสุมอยู่ภายในกาย
น้ำเย็นๆไหลลงมาตามสายผ่านใบหน้า ฝ่ามือใหญ่ของเขาปาดเช็ดออก รู้สึกเย็นสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่จู่ๆคำพูดของหมีพูลก็สะท้อนเข้ามาในหัวอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า
เวลาเห็นแม่อยู่กับอามนตรี ทำไมต้องโกรธด้วย?
นั่นสิทำไมต้องโกรธด้วย?
เขาเองก็เอาแต่ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน ทำไมตอนนั้นถึงได้โกรธขนาดนั้น โกรธจนอยากใช้สายตาทิ่มแทงผู้ชายคนนั้นให้ตาย!
ก็เหมือนอย่างที่หมีพูลพูด หย่าก็หย่ากันแล้ว ไม่ว่าเธอจะไปยุ่งกับผู้ชายคนไหนมันก็เรื่องของเธอ เธอไม่ได้แอบไปมีชู้ลับหลังเขาซะหน่อย แล้วทำไมเขาต้องโกรธขนาดนั้น?
อาคิระสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นความอัดอั้นที่มีอยู่ข้างในออกมาให้หมด
เขาหลับตาลง เพื่อให้ความคิดสงบ
บรรยากาศรอบด้านเงียบกริบ ได้ยินแค่เสียงน้ำไหลกับเสียงหายใจของเขา
น้ำที่ไหลออกมาเย็นมาก แต่ก็ทำให้ได้สติมากขึ้น
ในหัวมันขาวโพลนไปหมด เหมือนหมอกหนาๆที่ปกคลุมในดงเกร็ดน้ำค้าง ขาวโพลนและเงียบสงบ
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
อาคิระที่ปกติมักจะตื่นเช้าวันนี้กลับยังไม่ตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
ส่วนหมีพูลทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว
ลุงสินจึงเทนมอุ่นให้เขา
ในตอนนี้เองเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมา เนื่องจากอาคิระกำลังบันไดมาอย่างเร่งรีบ
“เก็บของ” เขาเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามกับหมีพูล แล้วยกน้ำขึ้นมาดื่ม
“ทำไมครับ?”
หมีพูลยังคงดื่มนมอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เพราะว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เขาจึงไม่ต้องไปโรงเรียน
“ช่วงนี้งานที่บริษัทค่อนข้างยุ่ง ฉันไม่มีเวลาดูแลแก เดี๋ยวจะให้ไปอยู่กับแม่แกก่อน อาทิตย์หน้าเดี๋ยวฉันไปรับ” เขาเอ่ยพูด
ได้ยินแบบนั้น หมีพูลก็ส่งเสียงออกมาอย่างดีใจ กระโดดโลดเต้นขึ้นไปชั้นบน
ไม่นานเขาก็เก็บของเสร็จ ยกกระเป๋าเดินทางเอาไว้รอแล้ว
ลุงสินเดินเข้าไปถือให้ แล้ววางไว้หลังรถ
ส่วนอาคิระขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ
หมีพูลขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ ความร่าเริงบนใบหน้าเล็กๆไม่เคยขาดหายไปแม้แต่วินาทีเดียว ดูตื้นเต้นดีใจจนออกนอกหน้าออกตา
เมื่อเห็นท่าทางของลูก เขาก็แอบตัดพ้อออกมาว่า “ทำอย่างกับว่าอยู่กับพ่อเหมือนอยู่นรก อยู่กับแม่เหมือนอยู่สวรรค์ไปได้ หุบยิ้มไม่ได้เลยล่ะสิ หืม?”
หมีพูลเอ่ยพูดอย่างมีเหตุผลโต้เถียง “ก็ผมโตมากับแม่นี่นา”
ได้ยินแบบนั้น อาคิระก็เงียบลงถนัดตา
ที่ลูกพูดมาก็ถูก ตลอดแปดปีที่ผ่านมา เธอเป็นคนเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมาเองกับมือ
ส่วนเขากับลูกเพิ่งมาอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยวันด้วยซ้ำ ถ้าให้เลือก ยังไงลูกก็คงต้องชอบอยู่กับแม่มากกว่าอยู่แล้ว
พนาวันได้รับสายโทรศัพท์จากลุงสินตั้งแต่เช้าๆ ตอนนี้จึงลงมารออยู่ที่ใต้ตึก
สักพัก รถคันสีดำก็มาจอด
รถจอดสนิทได้ไม่ทันไร หมีพูลก็รีบปลดเข็มขัดออกอย่างอดรนทนรอไม่ไหว แล้วกระโดดลงจากรถวิ่งไปหาผู้เป็นแม่อย่างรวดเร็ว
อาคิระลงจากรถมาทีหลัง
เขาเปิดกระโปรงท้ายรถ หยิบกระเป๋าเดินทางออกมาแล้วเดินเข้าไปหาสองแม่ลูก
พนาวันลูบใบหน้าเล็กๆของหมีพูลอย่างรักใคร่
อาคิระเหลือบมองมาอย่างบางเบา เอ่ยพูดกับหมีพูลว่า “เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บก่อน”
หมีพูลพยักหน้าแล้วจับกระเป๋าเอาไว้
แต่เพราะว่าเขายังเด็ก การยกกระเป๋าขึ้นตึกจึงเป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบาก ใบหน้าเล็กๆของเขาแดงไปหมด
พนาวันเดินเข้าไปรับกระเป๋าจากมือของเขามาถือเอาไว้ “เดี๋ยวแม่ถือให้”
“ให้พ่อถือสิฮะ พ่อเป็นผู้ชาย แรงเยอะกว่า” หมีพูลเอ่ยพูด
พนาวันไม่คิดอย่างนั้น
เดิมทีอาคิระก็ไม่ใช่ผู้ชายที่จะเห็นอกเห็นใครผู้หญิงอยู่แล้ว กับเธอยิ่งแล้วใหญ่ เธอจึงไม่เคยหวังว่าเขาจะช่วยสักครั้ง
ทว่าวันนี้กลับแปลกไป อาคิระเดินดุ่มๆเข้ามาคว้ากระเป๋าไปถือ
พนาวันนิ่งอึ้ง
ฝนจะตกเป็นสายเลือดหรือเปล่านะ?
หรือว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
หมีพูลพึงพอใจเป็นอย่างมาก กระตุกมุมปากขึ้น แล้ววิ่งลิ่วๆหายวับไปจากตรงหน้าของคนทั้งสอง
บริเวณบันได จึงเหลือแค่พวกเขาสองคน
พนาวันไม่อยากเห็นหน้าหรือติดต่ออะไรกับเขาอีกทั้งนั้น
เธอขมวดคิ้ว ก้าวเท้าเตรียมเดินขึ้นบันได
เห็นแบบนั้น อาคิระก็เดินพรวดพราดเข้าไปจับข้อมือของเธอเอาไว้
พนาวันเอ่ยพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ปล่อยนะ! ปล่อยสิ! บอกให้ปล่อยไง!”
เธอออกแรงดิ้นสุดกำลัง แก้มขาวใสแดงระเรื่อเหมือนลูกท้อ
อาคิระหลุบตาลง จ้องมองเธอแน่นิ่ง “คุณจะดิ้นต่อ แล้วมาดูกันว่าจะสู้ผมได้หรือเปล่า หรือจะยอมอยู่นิ่งๆ แล้วฟังที่ผมพูดให้จบ เลือกเอา”
แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องแรง พนาวันสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว
เธอหอบหายใจเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมหยุดดิ้น
อาคิระปล่อยมือ เอ่ยพูดว่า “ถึงจะหย่ากันแล้ว แต่คุณก็ยังมีสิทธิ์เจอลูก ซึ่งเงื่อนไขในการมาเจอหมีพูล ผมจะอนุญาตให้คุณไปรับเขามาอยู่ด้วยในทุกๆวันเสาร์ แต่ต้องพาเขามาส่งที่คฤหาสน์อนันต์ธชัยก่อนสี่ทุ่มของวันอาทิตย์ ติดปัญหาอะไรไหม?”
คราวนี้ พนาวันนิ่งอึ้งเป็นตอไม้อีกครั้ง
อาคิระเป็นอะไรไป?
ทำไมวันนี้ดูแปลกๆ ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจอยู่เรื่อย
จู่ๆก็มาพูดเรื่องหมีพูลกับเธอ แถมยังบอกว่าให้เธอไปเจอลูกได้อีก
เมื่อเห็นเธอเงียบ อาคิระก็ขมวดคิ้ว “มีปัญหาเหรอ?”
ได้ยินแบบนั้น พนาวันก็เรียกสติกลับมา
วันปกติเธอต้องไปทำงาน ถึงหมีพูลมาหาก็ไม่มีเวลาดูแล เอาตามที่เขาบอกก็ดีเหมือนกัน เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ฉันเห็นด้วย”
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร งั้นก็เอาตามนี้”
อาคิระพูดเสียงเรียบนิ่ง มือข้างหนึ่งของเขายังจับกระเป๋าเดินทางอยู่
มือข้างซ้ายของเธอเองก็วางอยู่บนกระเป๋าเหมือนกัน
แต่สุดท้ายก็ไม่สัมผัสกัน เพราะต่างคนต่างเลื่อนออก
หลังจากมองหน้ากันเงียบๆอยู่พักใหญ่ เขาก็เงยหน้าขึ้น บอกลาพอเป็นมารยาทว่า “ผมไปก่อนนะ”
พูดจบ เขาก็หันหลังกลับขึ้นไปนั่งบรถอย่างไม่มีชะงัก
จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับออกไป
พนาวันยังยืนอยู่ที่เดิม
เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าท่าทีที่อาคิระมีต่อเธอมันเปลี่ยนไป
ความรู้สึกของเธอไวมาตลอด
หลังจากแต่งงานกันก็มีความเกลียดชังและรังเกียจ ถึงขั้นที่เขากลับมานอนบ้านแทบจะนับครั้งได้
หลังจากหย่ากัน สิ่งแรกที่เธอรู้สึกได้ก็คือความรู้สึกของเขาที่เปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงท่าทีเกลียดชังและรังเกียจเหมือนอย่างตอนนั้นแล้ว
บางทีก็มานั่งหน้าตายอยู่ในห้องของเธอไม่ยอมไปไหน เปลี่ยนไปจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้