คิงดราก้อน - บทที่ 28 ภรรยาซาบซึ้ง
บทที่ 28 ภรรยาซาบซึ้ง
เสียงดังปัง
ชายฉกรรจ์ถูกเตะไปที่กำแพง จากนั้นไหลลงกำแพง ล้มลงบนทางเท้าหิน
ชายฉกรรจ์ไม่กี่คนเงยศีรษะมองรอยชัดเจนที่ทิ้งไว้ อย่างน้อยก็สูงห้าหกเมตรมั้ง
ทุกคนล้วนสูดลมเย็น
ทั้งๆ ที่เซียวหยางหน้าตาไม่ได้ดูแข็งแกร่งมากเท่าไร ไม่คิดจริงๆ ว่าเตะนี้จะรองรับชายฉกรรจ์น้ำหนักร้อยโล สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรให้ลอยขึ้นฟ้าได้?
พลังของนายคนนี้ มันมีอานุภาพมากแค่ไหน
ประเด็นคือ ชายฉกรรจ์คนนี้ เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในพวกเขา
ชายฉกรรจ์เรียกว่าตู๋หลาน(หมายความว่าหมาป่าสันโดษ) พวกคนนักเลงเรียกว่าพี่หลาน เขาเป็นยอดนักสู้แห่งแก๊งวิหคของกองกำลังใต้ดินในเมืองหยินโจว
นักเลงระดับนี้ เทียบไม่ได้กับนักเลงทั่วไป สำหรับพวกวัยรุ่นว่างงานไม่กี่คนเมื่อครู่นี้ หลายคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้
“ขอโทษ ไม่แน่ใจในความแข็งแกร่ง โหดไปหน่อย”
ชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนใบ้ไปชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่ตู๋หลานก็ถูกเตะไปห้าหกเมตร ถ้าพวกเขาเข้าไปล่ะก็ จุดจบก็คงไม่ต่างกันมาก
จริงๆ แล้ว เซียวหยางยังควบคุมพลังไว้ ไม่อย่างนั้น ลูกเตะนี้ของเขา สามารถทำลายอวัยวะภายในของตู๋หลานจนเลือดออกตายได้เลย
แต่ ตอนนี้ถึงแม้จะไม่ตาย แต่อย่างน้อยซี่โครงก็หักไปหลายซี่ ถือว่าเป็นบทเรียน
“พี่หมาป่าเดียวดาย เป็นไงบ้าง?”
พวกอันธพาลรีบเดินเข้าไป พยุงตู๋หลานขึ้นมา
ตู๋หลานหัวสมองเกิดเสียงวิ้งๆ ฝืนตัวลุกขึ้นมา ลูกเตะนี้โหดเกินไป ซี่โครงหักหลายซี่ รู้สึกเหมือนจะอาเจียนออกมา
เขาเงยศีรษะขึ้น เห็นเซียวหยางกำลังมองพวกเขาอย่างหยอกล้อ
ตู๋หลานตกใจสะดุ้ง รีบกำหมัดเพื่อขอความเมตตา
“พี่ใหญ่ ฉันผิดไปแล้ว ฉันมันตาไม่ดี ทำให้พี่ไม่พอใจ ได้โปรด ปล่อยพวกเราไปสักครั้งเถอะนะ”
เขาเดินทางในวงการนักเลงมาหลายปี เห็นทุกคนมาหมดแล้ว เป็นคนฝีมือดี เขามองแวบเดียวก็ดูออก ชายหนุ่มคนนี้ตรงหน้า แข็งแกร่งมากผิดปกติ
คนประเภทนี้ ห้ามยั่วยุง่ายๆ เด็ดขาด
เซียวหยางโบกมือปฏิเสธ พูดขึ้น “รู้ว่าทำผิดแล้วแก้ไขก็คือเด็กดี เอาเถอะ รีบไสหัวไปซะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าพวกนายอีก”
“ได้ครับ เราจะไปเดี๋ยวนี้” พี่ตู๋หลานรีบพยักหน้าก้มหน้า ยิ้มเหมือนหมาปั๊ก
“ไปสิ ยืนบื้อทำไมวะ” พี่ตู๋หลานส่งสายตาให้พวกพี่น้องสี่คน รีบออกไปจากที่นี่
ตอนนี้ลำไส้ตู๋หลานย่ำแย่มาก ไอ้หมาบ้าจ้าวฟางสง เกือบทำให้กูไปยั่วโมโหวายร้ายซะแล้ว รอก่อนเถอะ บัญชีนี้ยังไม่เสร็จ
จ้าวฟางสงมองตามนักเลงห้าคนรีบวิ่งหนีไป ตะลึงไปทั้งร่าง ถึงขั้นเป็นใบ้เล็กน้อย
แม้แต่เซียนระดับนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวหยาง ไม่แปลกใจที่ไอ้เด็กนี่มันมั่นใจ ไม่กลัวตัวเขาเลย
แม่งเอ๊ย ไม่ได้บอกว่าไอ้เด็กนี่เป็นลูกเขยไม่เอาไหนไม่ใช่เหรอ ทำไมต่อสู้ได้?
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม วันนี้เตะบนแผ่นเหล็ก จัดการยากหน่อยแล้ว
“หัวหน้า เราเปิดโปงแล้ว เด็กนี่มันโหดมาก ทำไงดี ให้เราขอโทษมันไหม?” บอดี้การ์ดหลิวเฉียงพูดแนะนำ
“ขอโทษแม่มึงสิ แกมันไอ้สวะ!”
จ้าวฟางสงตบหน้าหนึ่งที
หลิวเฉียงรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน ฉันเป็นไอ้สวะ ฉันจะดูสิว่านายจะทำยังไง
ในขณะนี้ เซียวหยางก็ค่อยๆ เดินมาอย่างช้าๆ
“เซียวหยาง แกจะทำไร อย่าเข้ามานะ ฉันไม่กลัวแกหรอก” จ้าวฟางสงเผลอถอยหลังหลายก้าว ตะโกนขึ้นอย่างหวาดกลัว
“ไม่กลัวฉันเหรอ? ฉันจะทำให้แกรู้ว่าอะไรเรียกว่ากลัว”
เซียวหยางแค่นหัวเราะ เขาไม่ได้เก็บจ้าวฟางสงมาใส่ใจอยู่แล้ว แต่นายคนนี้มันทำให้เขาลำบากมาสองรอบแล้ว แถมวันนี้ยังจะจัดการเขาอีก
ขณะที่เซียวหยางจะสอนบทเรียนที่น่าจดจำแก่เขา เย่หยุนซูก็ดึงเสื้อผ้าเซียวหยางจากด้านหลัง
“เซียวหยาง พอเถอะ เขาเป็นเพื่อนนักเรียนของฉัน”
สีหน้าเย่หยุนซูซับซ้อน สำหรับจ้าวฟางสง เธอผิดหวังมาก แต่อย่างไรแล้วก็เป็นเพื่อนเก่า และตระกูลจ้าวก็มีสิทธิมีเสียงในขอบเขตเมืองหยินโจว อย่าไปทำให้ไม่พอใจ
เซียวหยางยักไหล่ พูดขึ้น “ในเมื่อหยุนซูพูดแบบนี้ ฉันก็ให้อภัยนายสักครั้งแล้วกัน จ้าวฟางสง ถ้านายคิดว่าฉันลูกพลับอ่อนนายคิดผิด”
“ถ้ากล้ามาหาเรื่องฉันอีก ไอ้ชายฉกรรจ์เมื่อกี้นี้จะเป็นจุดจบของนาย”
ถึงแม้จ้าวฟางสงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเห็นดวงตาเย็นชาของเซียวหยาง เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
“หยุนซู เราไปกันเถอะ”
เซียวหยางดึงมือเย่หยุนซู เดินออกไปจากซอยมืดนี้
เย่หยุนซูถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมจ้าวฟางสงต้องทำแบบนี้ด้วย?”
เซียวหยางพูดขึ้น “ทำไมน่ะเหรอ มันไม่ได้มาหาเราเพื่อกินข้าวหรอก ประเด็นคือต้องการแสดงละคร จะได้จัดการฉันด้วย และยังเป็นฮีโร่ปกป้องคนสวยต่อหน้าเธอด้วย”
“สุดท้ายไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ถึงได้อายจนโกรธแล้วมาเล็งเป้าฉัน”
เย่หยุนซูส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง “คิดว่าเขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน คงไม่ขี้ขลาดขนาดนี้ ไม่คิดว่า……”
“จัดการได้หมดแล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจคนพวกนี้หรอก” เซียวหยางพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์
เย่หยุนซูกัดปาก แต่ไม่ได้พูดอะไร
เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ พวกเขาเจอกับคนซุ่มยิง นักเลง วัยรุ่นว่างงานมาหาเรื่อง
ถ้าเป็นคนอื่น คงตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกตั้งนานแล้ว แต่เซียวหยางแสดงออกอย่างใจเย็นมาก ราวกับว่าเรื่องพวกนี้สำหรับเขา มันเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ เท่านั้น
ตอนนี้เธอเหมือนเข้าใจบ้างแล้ว ว่าทำไมคุณปู่ถึงให้เธออยู่กับเซียวหยางตลอดเวลา
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น อย่างน้อยทักษะเขาก็ถือว่าโอเค ดูเหมือนที่เธอบอกว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหน เข้าใจเขาผิดนิดหน่อยแล้วล่ะ
เซียวหยางไม่ได้คิดมากเท่าเธอ ออกมาจากซอยเล็ก เซียวหยางก็จับมือสวยของเย่หยุนซู มือให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนและนุ่มนวล ภายใต้แสงไฟถนน สะท้อนเงาร่างสองคนให้เหยียดยาว
ค่อนข้างมีกลิ่นอายของความแก่
“รถแท็กซี่!”
เย่หยุนซูยื่นมือออกไป โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง
“ไปกันเถอะ รีบกลับกัน ดึกแล้ว”
“โอเค” เซียวหยางรู้สึกท้อแท้นิดหน่อย
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว
เย่หยุนซูมาถึงห้องครัว มองไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็เปิดตู้เย็นเพื่อดูสักหน่อย
เซียวหยางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
“หยุนซู เธอจะทำอาหารเหรอ?”
“ทำไม แปลกมากเหรอ วันนี้ฉันอารมณ์ดี ดูถูกนาย ไปรอที่ห้องรับแขกไป”
เย่หยุนซูกลอกตา ถ้าวันนี้ไม่เห็นแก่ที่ปกป้องฉัน ฉันไม่คิดจะทำอาหารหรอก
เธอเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้คนอื่นมากที่สุด ระหว่างทางกลับมาก็คิดไปคิดมา แค่ทำอาหารให้เซียวหยางทานครั้งเดียว
เซียวหยางพักผ่อนอย่างมีความสุข ล้มลงบนโซฟานั่งมองเย่หยุนซูสวมผ้ากันเปื้อน ไปห้องครัวทำอาหาร
ส่วนผสมพร้อมแล้ว วางไว้บนโต๊ะ
ซี่โครง เนื้อวัว เนื้อหมู ถั่วฝักยาว มะเขือ……
แต่ มีปัญหาหนึ่งที่ทำให้เย่หยุนซูรู้สึกปวดหัว
ส่วนผสมพวกนี้ต้องเอามารวมกันอย่างไรดี?
อย่างไรแล้วตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอาหาร