คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1 สลับวิญญาณ
กลางดึกคืนหนึ่ง ณ บริเวณชายป่าพรุอันแสนห่างไกลในดินแดนหวนหลิง
“พวกเจ้าต้องการอะไร?”
ดรุณีน้อยนางหนึ่งล้มกองอยู่บนพื้น นางมีใบหน้าที่งดงามหมดจดและรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ดวงตาหวานซึ้งราวตาของเนื้อทรายจับจ้องไปยังกลุ่มชายร่างใหญ่ที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาใกล้ คนเหล่านั้นย่างเท้าก้าวเข้ามาหานางทีละก้าวทีละก้าวอย่างช้าๆ แววตากักขฬะของพวกมันทั้งข่มขู่และคุกคามดูน่าหวาดหวั่น ทว่า…ในดวงตาของสตรีผู้งดงามนั้นกลับปราศจากความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง นางมองเหล่าผู้คุกคามด้วยสายตาเย็นชา
“ฮ่าฮ่า ฉินอวี้โม่เหตุใดเจ้าจึงไม่หนีไปให้ไกลกว่านี้เล่า !” หนึ่งในกลุ่มผู้คุกคามเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาเป็นชายร่างใหญ่โตที่มีรอยแผลเป็นเด่นชัดบนใบหน้าและดูคล้ายว่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้
“เหอะ เลิกพูดจาเหลวไหล พวกเจ้าต้องการอะไร? ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าคุณหนูสี่ของตระกูลฉินจะงดงามเลอโฉม น่ากินไปทั้งตัวขนาดนี้ ผู้ว่าจ้างสั่งให้ฆ่าเจ้าทิ้งทันที แต่ตอนนี้พวกเราเปลี่ยนใจแล้ว!” ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าว เท้าทั้งสองยังคงก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่ ขณะเดียวกันมันก็ใช้สายตาโสมมโลมเลียไปทั่วทั้งใบหน้าและเรือนร่างอันงดงามของหญิงสาว ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะชั่วช้าออกมาดันลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าตัดสินใจแล้ว ข่มขืนก่อน แล้วค่อยฆ่าทีหลัง”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ชายหน้าบากก็ตั้งท่ากระโจนเข้าหาฉินอวี้โม่ทันที
“หัวหน้า พวกข้าเองก็หิวเหมือนกัน! ไหนๆ นางก็จะตายแล้วให้พวกข้าได้ลิ้มรสร่างงามๆ ของนางด้วยคนเถอะนะ จะได้ไม่เสียของ ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายอีกคนในกลุ่มส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“พวกเจ้ากล้าเหรอ?!” ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงตวาดดังลั่น นางขบฟันสีเงินแน่นพร้อมกับกล่าววาจาด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “ฝันไปเถอะ สตรีอย่างข้ายอมตายดีกว่ายอมให้คนเลวอย่างพวกเจ้าหยามเกียรติ!”
ฉินอวี้โม่เค้นเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา นางยันกายลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ
“หึ เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เลือกงั้นรึ?!” ชายหน้าบากยิ้มเย้ย เขาเข้าถึงตัวนางแล้วจึงสามารถดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย เขาพยายามจับตัวนางอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้ผิวขาวนวลช้ำก่อนจะได้ลิ้มรส
— แคว๊ก! —
เสียงฉีกขาดดังขึ้น ชายผู้มีแผลเป็นบนหน้าฉีกทึ้งอาภรณ์ของฉินอวี้โม่แล้วเหวี่ยงร่างบางจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ก่อนจะกดร่างนั้นให้นอนราบ
ทว่าในขณะที่กำลังจะลงมือขั้นต่อไป ชายหน้าบากก็สังเกตเห็นว่าคุณหนูแห่งตระกูลฉินหยุดนิ่งไปแล้ว ดวงตาของนางปิดสนิท ใบหน้างามเขียวคล้ำและซีดเผือด ร่างบางแน่นิ่งไม่ไหวติง
“บัดซบ! โชคร้ายเป็นบ้า ยังไม่ทันได้เริ่มก็ดันตายไปซะแล้ว!” ชายหน้าบากหัวหน้ากลุ่มที่กำลังขึ้นคร่อมร่างของหญิงสาวบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“หัวหน้า ข้าว่าตัดหัวผู้หญิงคนนี้แล้วรีบกลับไปรายงานผู้ว่าจ้างกันดีกว่า”
ชายหน้าบากพยักหน้าก่อนจะดึงกระบี่ยาวออกมาและฟันลงไปที่ร่างสตรีบนพื้น เขาหมายตาจะฟันลำคอระหงให้ขาดในดาบเดียว
— เคร้ง — ดาบฟันถูกหินบนพื้นเสียงดัง
ทันใดนั้นเอง ร่างที่แน่นิ่งของฉินอวี้โม่จู่ ๆ ก็ม้วนตัวออกไปด้านข้างและหลบกระบี่ของชายผู้มีรอยบากบนใบหน้าได้อย่างหวุดหวิด ในเวลาเดียวกันนางก็กระโดดลุกกลับขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยรังสีแห่งการสังหารที่เปี่ยมล้น
“ศพนี่มัน! ….” รอยยิ้มของเหล่าชายโฉดทั้งหลายชะงักค้างไปในทันที พวกเขาสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างของสตรีที่กลายเป็นศพไปแล้วกระโจนขึ้นจากพื้น
“หุบปาก!” ฉินอวี้โม่เริ่มเคลื่อนไหว นางตวาดลั่นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนที่ส่งพวกเจ้ามาก็คือฉินฉืออวี้สินะ?!”
“โอ้ ฉลาดไม่เบาเลยนี่” ชายหน้าแผลเป็นยิ้มเย้ย ก่อนจะกล่าวต่อ “ถึงเจ้าจะเดาถูกก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
“กรี๊ดดดดด!” เป็นตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าเสื้อผ้าของตนถูกฉีกจนขาดวิ่น นางกล่าวอย่างเดือดดาล “พวกเจ้ากล้าฉีกเสื้อผ้าของข้า!”
“แล้วอย่างไร?”
“ตายซะเถอะ!”
ทันทีที่ขยับตัว ร่างบอบบางแบบอิสตรีของฉินอวี้โม่ก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าชายหน้าบากราวกับภูตผี หญิงสาวชิงกระบี่จากมือของอีกฝ่ายในชั่วพริบตาก่อนจะแทงทะลุอกคนผู้นั้น
น่าขำยิ่งนัก นางเป็นถึงมือสังหารระดับพระกาฬในชาติก่อนที่เชี่ยวชาญวิชาการต่อสู้แบบโบราณและศิลปะการต่อสู้ร่วมสมัย แม้ว่าร่างกายนี้จะอ่อนแอไปบ้าง แต่ถ้าแค่จะจัดการกับคนโง่พวกนี้เท่านี้ก็ถือว่าเกินพอ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงช่วงเวลาที่มนุษย์ใช้กะพริบตาหนึ่งครั้งกระบี่ที่เคยอยู่ในมือก็เปลี่ยนเป็นเสียบคาอยู่ที่อก ภาพสุดท้ายที่ชายหน้าบากมองเห็นก็คือด้ามกระบี่ของตัวเองกับสตรีที่เขาต้องสังหาร! และในเสี้ยวลมหายใจถัดมาเขาก็สิ้นลมลาโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์
ฉินอวี้โม่ดึงกระบี่ออกมาจากอกชายหน้าบาก
โลหิตสด ๆ สาดกระจายออกมาและย้อมทาไปทั่วทั้งตัวฉินอวี้โม่ สีแดงฉานและกลิ่นคาวเลือดทำให้นางดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง!
เหล่าชายคนอื่นๆ ในกลุ่มนักฆ่าได้แต่ยืนนิ่งตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น
“ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะฆ่าตัวตายลบล้างความผิด หรือจะให้ข้าลงมือ!?”
วาจาแสนเย็นเฉียบและดังก้องของฉินอวี้โม่ปลุกให้กลุ่มชายโฉดชั่วผู้รับจ้างฆ่าสาวงามได้สติขึ้นมา
หนึ่งในพวกเขาตะโกน “…สตรีผู้นี้ฆ่าหัวหน้าตาย ทุกคนล้างแค้นให้หัวหน้า!”
ทว่าในทันทีที่กล่าวจบ ชายผู้นั้นก็พบว่าบนหน้าอกของตนมีรูปรากฏขึ้น ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจแน่นิ่งไปอีกคน
ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น นางไล่แทงคนที่เหลือทีละคน ทีละคน ตัดสินโทษความตายให้คนพวกนี้ราวกับทูตจากแดนนรก
แต่ช่างน่าประหลาดนัก เพราะทุกคนที่ล้มแน่นิ่งไปต่างก็ตายตาไม่หลับ พวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เห็นกันอยู่อย่างแน่ชัดว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกพลังมายาได้ แต่แล้วเหตุใดพวกเขาที่อยู่ขอบเขตจิตมายาถึงไม่แม้แต่จะหลบหลีกหรือต้านทานนางได้
หลังการสังหารหมู่จบลง ฉินอวี้โม่ก็โยนกระบี่ชุ่มเลือดในมือทิ้งไป นางยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเดินไปคุ้ยศพบนพื้นและขโมยแหวนจากนิ้วพวกเขา!
— ถูกต้องแล้วล่ะ ฉินอวี้โม่คนนี้ไม่ใช่ฉินอวี้โม่คนเดิมอีกแล้ว —
นาง….ไม่สิ…เธอคือฉินอวี้โม่ผู้มาจากศตวรรษที่ 21 และเป็นมือสังหารระดับพระกาฬแห่งยุค
เมื่อครู่นี้เธอโชคร้ายต้องจบชีวิตลงเพราะกับดักแสนชั่วช้าของคนกลุ่มหนึ่ง ในเวลานั้นเอง จู่ๆ วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างของเธอก็ได้เข้ามาสิงสถิตในร่างของหญิงสาวผู้นี้…คุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งดินแดนหวนหลิง ผู้ที่เพิ่งกัดลิ้นตัวเองจนสิ้นใจตาย
ฉินอวี้โม่มีรูปโฉมที่งดงามและสถานะสูงส่ง อย่างไรก็ตามรูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถใช้ในการฝึกวิชาได้ ทำให้ฉินอวี้โม่กลายเป็นสตรีไร้ค่าในสายตาผู้คน โดยเฉพาะในเมืองที่เน้นวิชาการต่อสู้อย่างเมืองหลิงซีแห่งนี้
ภายในดินแดนที่ให้ความเคารพนับถือแต่ผู้ที่แข็งแกร่งนั้น การไร้ซึ่งพลังการในการต่อสู้จะนำพาแต่ความดูถูกเหยียดหยามมาให้
และเนื่องจากมีรูปโฉมงดงามกว่าผู้ใดทำให้บ่อยครั้งที่ฉินอวี้โม่ถูกสตรีคนอื่นอิจฉาริษยา และก็มีบ้างที่คนเหล่านั้นแอบลอบกลั่นแกล้งรังแกนางในบางครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ถึงกับมีคนต้องการสังหารนาง
อย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในเวลานี้ มุมปากของฉินอวี้โม่เหยียดขึ้น รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้านวล ดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และมั่นใจ!
สาวงามหันมองไปยังมุมมืดมุมหนึ่งของป่าที่อยู่ทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) นางเผยรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นครั้งหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางเมืองหลิงซีอย่างช้าๆ !
“ช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจยิ่งนัก! ดูเหมือนนางจะเห็นพวกเราด้วย!”
ชายสองคนกำลังยืนซุ่มอยู่ในมุมมืดของป่า หนึ่งในนั้นคือบุรุษหนุ่มรูปงามท่าทางสุภาพสูงส่ง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายแต่กลับมีเสน่ห์อย่างเปี่ยมล้น
ส่วนชายอีกผู้หนึ่งสวมชุดสีดำทั้งตัว เขาดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดวงตาของเขาให้ความรู้สึกเหน็บหนาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ไปกันเถอะ อย่าไปมองนาง!”
“โม่ฉือ หญิงสาวผู้นั้นทำได้อย่างไรกัน ข้าไม่รู้สึกถึงพลังมายาใด ๆ จากร่างของนางเลย” ชายหนุ่มท่าทางสุภาพสูงส่งเอ่ยถามด้วยความฉงน
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยของพลังมายาใดๆ ปรากฏออกมาจากกายของสตรีผู้นั้นเลย แต่ทว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ถึงมีทักษะการสังหารที่ว่องไวเฉียบคมมากถึงเพียงนั้น
บุรุษที่ดูเย็นชาไม่กล่าวตอบ ร่างของเขาหายไปจากจุดนั้นในพริบตา
“เฮ้ โม่ฉือรอข้าด้วย! ข้าว่าครั้งนี้พวกเราควรไปที่เมืองหลิงซีและหาโอกาสชวนหญิงสาวคนนั้นมาเป็นสหายให้ได้นะ”
ชายหนุ่มท่าทางสุภาพหายวับไปจากจุดนั้นตามเพื่อนของเขาไปเช่นกัน
หลังการจากไปของชายลึกลับทั้งสองไม่นาน ร่างอันงดงามของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาจากจุดจุดหนึ่งที่ไม่ไกลนัก
หากเป็นเรื่องของการอำพรางกายและซ่อนลมหายใจ ถ้าฉินอวี้โม่บอกว่าเธอเป็นที่สองแล้วก็จะไม่มีผู้ใดกล้าอวดอ้างว่าตนเป็นที่หนึ่งได้อย่างแน่นอน
เธอรู้เห็นการมีตัวตนของสองคนนั้นมาตั้งแรกแล้ว เพียงแต่เธอเห็นว่าพวกเขาดูไม่ใช่คนเลวร้าย และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยากจะวัดได้ ฉะนั้นเธอจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านและสังเกตการณ์เงียบๆ เท่านั้น
ฉินอวี้โม่มองไปยังจุดที่บุรุษลึกลับหายตัวไปพร้อมกับยิ้มเยือกเย็น ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลิงซี