คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1005 การประชันฝีมือดำเนินตามปกติ
ณ นิกายกระบี่สายฟ้า ทุกคนนั่งรวมตัวกันโดยผู้ที่นั่งอยู่ในบัลลังก์หลักคือจ้าวนิกายของนิกายกระบี่สายฟ้า เวลานี้ฉินเทียนก็ออกจากการเก็บตัวแล้วและนั่งอยู่ถัดจากเขาเช่นกัน ผู้ที่อยู่ในระดับสูงคนอื่น ๆ ของนิกายก็นั่งเรียงรายกันอยู่ทางด้านซ้าย
ส่วนฮวาเยว่และอีกหลายคนที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงในนิกายหมื่นบุปผาก็นั่งอยู่ทางด้านขวา
“ท่านจ้าวนิกาย หลานเผิงและทุกคนกลับมาแล้วขอรับ”
ศิษย์คนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกและแจ้งข่าวอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ มาถึงแล้วรึ ?”
ฉินเทียนลุกพรวดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าและเดินไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
“ไปพบทุกคนกันเถอะ”
เหลยเจี้ยนเชิงตามไปอย่างใกล้ชิดและพวกเขาก็เดินตรงไปยังประตูทางเข้าของนิกายทันที
ณ ทางเข้าของนิกายกระบี่สายฟ้า ฉินอวี้โม่และคณะกำลังเดินเข้าไปในเขตชั้นในของนิกายภายใต้การนำทางของหลานเผิง
นิกายกระบี่สายฟ้าตั้งอยู่บนภูเขากระบี่สายฟ้าซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่ยกขึ้นสูง มันเป็นพื้นที่ที่ง่ายต่อการป้องกันและยากที่ศัตรูจะทำการโจมตีได้
บรรดาศิษย์ของนิกายกระบี่สายฟ้าก็ทราบเกี่ยวกับตัวตนของฉินอวี้โม่มาก่อนแล้วและล้วนแสดงสีหน้ากระตือรือร้นเมื่อได้พบนาง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์”
ฉินเทียนรีบเดินเข้ามาและตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขทันที เมื่อเห็นว่าบุตรสาวไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ ตามร่างกาย เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“คารวะท่านพ่อและท่านลุงเหลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายพวกเขาทีละคนด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อม
“โม่ฉือเดินทางออกจากนิกายไปเมื่อวานนี้โดยชี้แจงว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการก่อนและคาดว่าจะกลับมาในอีกสองสามวัน”
ฉินเทียนบอกกับฉินอวี้โม่ว่าเมื่อวานนี้หานโม่ฉือสัมผัสได้ถึงสิ่งที่แปลกประหลาดบางอย่างจึงได้เดินทางออกจากนิกายกระบี่สายฟ้าเป็นการชั่วคราว ทว่าก่อนออกเดินทางออกไป เขาก็ทิ้งข้อความไว้โดยบอกว่าจะกลับมาในอีกสองถึงสามวันและทุกคนไม่ต้องเป็นกังวล
“เราเข้าไปข้างในและนั่งพูดคุยกันเถอะ”
เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวและทุกคนเดินก็กลับเข้าไปในห้องโถงด้วยกัน
เมื่อกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ครานี้ฉินเทียนก็เลือกนั่งข้างฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวของเขา
“ฮ่า ๆ ๆ ก่อนอื่นเราต้องขอต้อนรับทุกคนที่เข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าของเรา”
เขากล่าวต้อนรับศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผาพร้อมรอยยิ้มและมีความหมายที่ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย ในเมื่อฮวาเยว่และทุกคนจากนิกายหมื่นบุปผามาอยู่ที่นี่แล้ว นั่นก็หมายความว่าพวกนางเป็นคนของนิกายกระบี่สายฟ้าแล้วและพวกเขาก็ยินดีต้อนรับด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
แม้ไม่พิจารณาถึงความจริงที่ว่าศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาเหล่านี้เป็นมิตรสหายของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะต้อนรับคนเหล่านี้เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของทั้งนิกาย
“ขอบคุณทุกท่านมาก หลังจากนี้ไปเราต้องขอรบกวนทุกท่านด้วยเช่นกัน”
ฮวาเยว่ประกบกำปั้นเพื่อแสดงความขอบคุณต่อทุกคนด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
“ฮวาเยว่เคยเป็นผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผา เมื่อมาอยู่ที่นิกายกระบี่สายฟ้า ตำแหน่งของนางจะต่ำกว่านั้นไม่ได้ ในอนาคตข้างหน้า เจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สายฟ้าและรับผิดชอบดูแลศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาทั้งหมด ข้าจะให้เหลยเจิ้นคอยช่วยอีกแรงเช่นกัน”
เหลยเจี้ยนเชิงตัดสินใจอย่างเฉียบขาดในทันทีและตำแหน่งของฮวาเยว่ในนิกายกระบี่สายฟ้าก็ถูกป่าวประกาศออกไปอย่างชัดเจน
เดิมทีนางเป็นผู้คุมกฎของนิกายหมื่นบุปผาและมีตำแหน่งที่เป็นรองเพียงจ้าวนิกายเท่านั้น ในเมื่อนางเข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าแล้ว พวกเขาก็จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม นิกายกระบี่สายฟ้ามีศิษย์ที่เป็นสตรีไม่มากนักและมันอาจเป็นปัญหาไม่น้อยที่จะแยกศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาออกจากกัน เพราะเหตุนั้นการตัดสินใจให้พวกนางรวมกลุ่มกันเช่นเดิมและอยู่ภายใต้การปกครองของฮวาเยว่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ฮวาเยว่คุ้นเคยกับศิษย์เหล่านั้นดีอยู่แล้วและมีเกียรติยศสูงในหมู่ทุกคน หากนางเป็นผู้รับผิดชอบดูแลศิษย์เหล่านั้นก็คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายใด
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณทุกท่านเป็นการล่วงหน้า”
ฮวาเยว่พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจกับการจัดสรรเช่นนี้และมันแสดงให้เห็นว่านิกายกระบี่สายฟ้าให้ความสำคัญกับพวกนางมาก ในภายภาคหน้า นางไม่ต้องกังวลเลยว่าศิษย์จากนิกายหมื่นบุปผาเหล่านี้จะถูกผู้ใดรังแกหรือไม่
“ด้วยความยินดี ไม่ต้องเกรงใจล่ะ ในอนาคตทุกคนทำตัวตามสบายได้เลย”
เหลยเจี้ยนเชิงโบกมือและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
ฮวาเยว่ไม่กล่าวสิ่งใดต่อและทุกคนเริ่มหารือถึงเรื่องต่อไป
“เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ความแข็งแกร่งของนิกายหมื่นบุปผาลดน้อยลงไปมาก ข้าได้ติดต่อกับขุมกำลังอื่นในสามสำนักและเก้านิกายแล้วและบอกพวกเขาเกี่ยวกับธาตุแท้ของฮวาฟางเฟย เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้รับข่าวจากคนเหล่านั้น”
ฮวาเยว่ส่งคนออกไปแจ้งข่าวกับหลายขุมกำลังแล้ว แม้ยังไม่ทราบว่าขุมกำลังใดร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ ทว่าฮวาเยว่ก็ไม่ต้องการปิดบังเรื่องที่ฮวาฟางเฟยมีข้อตกลงร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ การแจ้งให้ขุมกำลังอื่น ๆ ทราบเป็นการล่วงหน้าสามารถช่วยให้พวกเขาเตรียมความพร้อมรับมือได้
“อีกไม่นานก็จะถึงการแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายแล้ว ในเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่าการแข่งขันจะถูกจัดตามปกติหรือไม่”
เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวพลางขมวดคิ้วมุ่น การประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายถือเป็นงานใหญ่ของดินแดนมหาเทพตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายจนเกินไป ไม่เพียงแต่สถานการณ์ของนิกายหมื่นบุปผาเท่านั้น ทว่ายังมีขุมกำลังอื่นที่แอบร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ เพราะฉะนั้น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ไม่มั่นใจนักว่าจะสามารถจัดการแข่งขันของสามสำนักและเก้านิกายได้ตามปกติหรือไม่…
“การแข่งขันควรจะจัดตามปกติ ในเมื่อเรื่องของนิกายหมื่นบุปผาถูกเปิดโปง ขุมกำลังอื่น ๆ ก็คงจะเปิดเผยธาตุแท้ของตนเองออกมาเช่นกันและยืนเคียงข้างนิกายหมื่นบุปผาเพื่อต่อกรกับขุมกำลังอื่น ๆ ในสามสำนักและเก้านิกาย การแข่งขันครานี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ขุมกำลังใหญ่ ๆ จะได้รวมตัวกัน เมื่อถึงตอนนั้น จอมยุทธ์ปีศาจก็อาจจะเริ่มลงมือก็เป็นได้ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวข้อสันนิษฐานของตนว่าการประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายคือโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับจอมยุทธ์ปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ยังมีเวลาอีกพอสมควร เมื่อถึงตอนนั้น พลังของมังกรกระดูกดำน่าจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้มากแล้วและความแข็งแกร่งของผู้นำจอมยุทธ์ปีศาจก็จะพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิมเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนมหาเทพจะตกอยู่ในอันตราย…
“ถ้าเช่นนั้นเราจะติดต่อแจ้งขุมกำลังอื่นหรือไม่ว่าจะยกเลิกการประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายในครานี้ ?”
ฮวาเยว่ขมวดคิ้วและเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในเมื่อสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ การประชันฝีมือประจำปีนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้น และหากเป็นเช่นนั้น จอมยุทธ์ปีศาจก็จะไม่มีโอกาสดีเพื่อลงมือได้…
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ สำหรับสิ่งที่จอมยุทธ์ปีศาจคิดจะทำในตอนนั้น เราก็มีแผนการรับมืออยู่ ตอนนี้ยังมีเวลาอีกมากพอสมควรและจอมยุทธ์ปีศาจอาจจะเอาชนะเราไม่ได้ หากพวกเขาลงมือทำอะไรในตอนนั้น มันก็อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเรา”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ภายในเวลาประมาณหนึ่งปีนี้ ทั้งผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจและมังกรกระดูกดำจะไม่มีทางฟื้นฟูความแข็งแกร่งได้ถึงระดับสูงสุด ตราบใดที่ทุกคนเตรียมความพร้อมเป็นการล่วงหน้า พวกนางก็อาจจะไม่แพ้เสมอไป
“เราต้องเริ่มต้นจากการระบุให้ชัดเจนว่าขุมกำลังใดอยู่ฝ่ายเดียวกับเราและเริ่มวางแผนกันต่อไป แม้หลังจากนี้จะมีขุมกำลังจำนวนหนึ่งที่แสดงตัวว่าร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจ บางขุมกำลังก็อาจจะไม่เปิดเผยตัว เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องสืบเรื่องนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน”
ฉินเทียนกล่าวเสริม
ทุกคนพยักศีรษะและเข้าใจดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“หลังจากนี้ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะฝึกวิชาสักพัก ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ยังอ่อนแอมาก ต่อให้มีไพ่ตายอยู่กับตัวมากมาย ข้าก็ยังไม่มั่นใจในการประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างฮวาฟางเฟย เมื่อข้าพัฒนาพลังได้มากกว่านี้ ต่อให้ต้องสู้กับผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจ ข้าก็จะไม่หวาดหวั่น !”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงแผนการของตน ก่อนหน้านี้พลังของนางติดอยู่ในสภาวะชะงักงันเป็นการชั่วคราว ทว่าตอนนี้นางมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นและมีสัญญาณบ่งบอกถึงการทะลวงพลังแล้ว หากสามารถทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดระหว่างช่วงเก็บตัวครานี้ ต่อให้ต้องประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอย่างผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจ กอปรกับการที่มีความช่วยเหลือจากซิว นางก็จะมีพลังมากพอที่จะรับมือได้อย่างแน่นอน
“ตกลง ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เก็บตัวฝึกฝนด้วยจิตใจที่สงบสุขเถอะ เราจะรอให้เจ้าพัฒนาพลังได้สำเร็จ”
ฉินเทียนและคนอื่น ๆ พยักศีรษะและไม่คัดค้านการตัดสินใจของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ตั้งใจที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาจะมั่นใจมากขึ้นเมื่อถึงการแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกาย