คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1008 เมืองราชวงศ์ในมณฑลกลาง
ณ นิกายกระบี่สายฟ้า หลานเผิงเชิญชวนให้ฉินอวี้โม่และสหายคนอื่น ๆ เข้าร่วมงานประมูลอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
“พี่อวี้โม่ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า โรงประมูลตระกูลหลานของเราจะจัดงานประมูลครั้งใหญ่ที่เมืองราชวงศ์ของมณฑลกลางซึ่งจะมีสมบัติมากมายหลายประเภทให้เลือกประมูล ยิ่งไปกว่านั้น เราก็รวบรวมสมบัติที่ท่านวานให้ช่วยตามหาได้หลายชิ้นแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าจึงอยากเชิญท่านไปที่เมืองราชวงศ์ในมณฑลกลางด้วยกันกับข้าและร่วมสนุกด้วยกัน”
ภายในที่พักของฉินอวี้โม่ สหายและคนที่สนิทสนมหลายคนเข้ามารวมตัวกันที่นี่ในขณะที่หลานเผิงกล่าวขึ้นเป็นคนแรก
“ตกลง ตกลง ข้าจะไป ข้าจะไปด้วย !”
ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะเอ่ยตอบสิ่งใด เหมียวเจินเจินก็อดกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ได้
“เสี่ยวเจินเจิน ยังไม่มีใครชวนเจ้าเลยนะ เหตุใดจึงรีบร้อนนักเล่า ? หรือว่า…”
จางซือถงกล่าวและหยิกแก้มนุ่มของเหมียวเจินเจินอย่างหยอกเย้า
“พี่ซือถง ท่านชอบแกล้งข้าอยู่เรื่อย รอดูเถอะ…ข้าจะเอาคืนให้สาสมเลยทีเดียว !”
พวงแก้มของเหมียวเจินเจินแดงระเรื่อทันทีขณะยื่นมือออกไปหยิกใต้รักแร้ของจางซือถงอย่างไม่ยอมแพ้ก่อนทั้งสองหัวเราะกันอย่างร่าเริง
“เอาล่ะ ทุกคนเหนื่อยกันมาตลอดหลายวันแล้ว เราควรจะพักผ่อนและหาความสุขใส่ตัวบ้าง บังเอิญว่าข้าเองก็ไม่เคยไปเยือนที่เมืองราชวงศ์เช่นกันและครานี้จะได้เข้าไปเยี่ยมชมที่นั่นสักที”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมองหน้ากันเล็กน้อยพร้อมพยักศีรษะอย่างเข้าใจตรงกัน
การเดินทางไปที่โรงประมูลเพื่อเข้าร่วมเรื่องตื่นเต้นเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ทว่าอีกเหตุผลที่สำคัญคือนี่เป็นงานประมูลครั้งใหญ่ของตระกูลหลานและเชื่อว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะปรากฏตัวและก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นพวกนางจึงต้องการไปดูสถานการณ์ที่นั่นด้วยตนเอง
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปแจ้งท่านจ้าวนิกายก่อนเถอะ เราจะออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้”
ทุกคนตกลงร่วมกันก่อนไปแจ้งข่าวให้เหลยเจี้ยนเชิงได้ทราบ
แน่นอนว่าเหลยเจี้ยนเชิงไม่คัดค้านสิ่งใด เขาเพียงกล่าวกำชับให้ทุกคนระวังตัวและส่งเหลยเจิ้นที่มีเวลาว่างไปกับทุกคน
ฉินเทียนก็เพิ่งเข้าสู่สภาวะเก็บตัวอีกครั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนและไม่สามารถเดินทางไปกับทุกคนได้
งานประมูลของตระกูลหลานในครานี้เป็นงานใหญ่อย่างยิ่งและย่อมได้รับความสนใจจากผู้คนมากหน้าหลายตา นอกเหนือจากนิกายกระบี่สายฟ้า คนจากขุมกำลังอื่นในสามสำนักและเก้านิกายก็ส่งตัวแทนไปที่นั่นเช่นกัน
ถึงอย่างไรตระกูลหลานก็รวบรวมสมบัติล้ำค่าได้มากมายและแม้แต่จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของดินแดนก็หมายปองสมบัติเหล่านั้นอยู่เช่นกัน
ฉินอวี้โม่และคณะก็ไม่เสียเวลาล่าช้าแม้แต่น้อย พวกนางนั่งเรือเหินเวหามุ่งหน้าตรงไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งก็คือเมืองราชวงศ์ของมณฑลกลางอย่างรวดเร็ว หลังจากใช้เวลาเดินทางครึ่งเดือน ทุกคนก็ปรากฏตัวอยู่ที่นอกเมืองราชวงศ์
ณ ด้านนอกเมืองราชวงศ์มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน เนื่องจากกำลังจะมีงานใหญ่อย่างงานประมูลของตระกูลหลานที่ถูกจัดขึ้นในเมือง คนส่วนใหญ่จึงเดินทางมาที่นี่เป็นการล่วงหน้าและทำให้บรรยากาศในเมืองคึกคักเป็นพิเศษ
หลานเผิงนำทางฉินอวี้โม่และคณะตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลโดยไม่ลืมที่จะแนะนำสถานการณ์ของเมืองให้ทุกคนได้ทราบระหว่างทาง
เมืองราชวงศ์ของมณฑลกลางเป็นพื้นที่ที่พิเศษไม่เหมือนที่ใด ตระกูลราชวงศ์ของดินแดนมหาเทพตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในเมืองราชวงศ์แห่งนี้ นอกเหนือจากพวกเขาก็ยังมีตระกูลใหญ่อีกสามตระกูล และทั้งสี่ขุมกำลังนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าสามสำนักและเก้านิกายเลยและพวกเขาก็ถือว่าทรงพลังอย่างมาก
ซึ่งตระกูลหลานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนจากสามขุมกำลังใหญ่มักใช้เวลาอยู่ในเมืองราชวงศ์แห่งนี้และแทบจะไม่ออกไปข้างนอก แม้มีอิทธิพลและชื่อเสียงไม่มากเท่ากับสามสำนักและเก้านิกาย ทว่าพลังการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่ากันมากนัก
เมืองราชวงศ์แห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนักและมีขนาดใหญ่กว่าทุกเมืองที่ฉินอวี้โม่เคยเดินทางไปก่อนหน้านี้ เมืองราชวงศ์ของมณฑลกลางจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วนซึ่งก็คือเขตเมืองชั้นในและเขตเมืองชั้นนอก เขตเมืองชั้นนอกเป็นที่อยู่อาศัยของขุมกำลังขนาดเล็กจำนวนหนึ่ง ในขณะที่สี่ตระกูลใหญ่รวมถึงตระกูลราชวงศ์อยู่ที่เขตเมืองชั้นใน
ในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าที่งานประมูลของตระกูลหลานจะเริ่มต้นขึ้นและหลานเผิงวางแผนที่จะให้ฉินอวี้โม่และทุกคนพักอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลหลานไปในช่วงนี้ก่อน เมื่องานประมูลสิ้นสุดลง ทุกคนจะเดินทางกลับไปที่นิกายกระบี่สายฟ้าด้วยกัน
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่คัดค้านขณะเดินหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลานพร้อมกับหลานเผิง
ต้องยอมรับว่าเขตเมืองชั้นในทั้งโอ่อ่าและงดงามยิ่งนัก คฤหาสน์หลังใหญ่ยักษ์ของตระกูลหลานก็ตั้งอยู่ในทางตะวันออกของเมืองชั้นใน
เมื่อเห็นหลานเผิงเดินเข้ามา ผู้พิทักษ์หลายคนของตระกูลหลานก็ก้าวออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที
“นายน้อยกลับมาแล้ว นายน้อยกลับมาแล้ว !”
หลานเผิงไม่ได้กลับมาที่ตระกูลหลานเป็นเวลานานพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลหลานและเป็นที่รักที่เอ็นดูของทุกคนในตระกูล เป็นธรรมดาที่ผู้พิทักษ์เหล่านี้จะตื่นเต้นและมีความสุขอย่างมากเมื่อได้พบเขา
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งรีบวิ่งไปแจ้งข่าวกับทุกคนในตระกูลหลานอย่างรวดเร็วและทุกคนก็ออกมาต้อนรับคณะของฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าลูกตัวดี ในที่สุดก็กลับมาได้เสียที”
เสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าเกรงขามดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูมีอายุในช่วงวัยสี่สิบปีจะปรากฏตัวตรงหน้าฉินอวี้โม่และทุกคนด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลานชางไห่—บิดาของหลานเผิงและเป็นผู้นำตระกูลหลานคนปัจจุบันนั่นเอง
พลังของหลานชางไห่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้คลื่นพลังของเขาจะถูกซ่อนไว้ แต่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สัมผัสถึงแรงกดดันอันทรงพลังได้ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมา ความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้อยู่เหนือกว่าฮวาฟางเฟยเสียอีก
“ฮ่า ๆ ๆ ครานี้ลูกข้าพาสหายมามากมายทีเดียว หากให้ข้าเดา…เจ้าคือสตรีนามว่าฉินอวี้โม่ที่ลูกข้ากล่าวถึงอยู่เป็นประจำสินะ ?”
หลังจากกวาดสายตามองแขกทุกคน หลานชางไห่ก็ยิ้มและกล่าวกับฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าเป็นมิตร
“ข้าน้อยฉินอวี้โม่คารวะท่านผู้นำตระกูลหลานเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคารวะหลานชางไห่ด้วยท่าทางที่สุภาพนอบน้อม
“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีต้อนรับทุกคน ในเมื่อพวกเจ้าเป็นสหายกับลูกตัวดีของข้า นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าทุกคนเป็นสมาชิกของตระกูลหลานเช่นกัน ทำตัวให้สบายล่ะ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของพวกเจ้าและเรียกข้าว่าท่านลุงก็พอ”
หลานชางไห่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวเพื่อมิให้ทุกคนเกรงใจจนเกินไป
“ท่านพ่อ พวกเราหิวมากแล้ว เข้าไปข้างในกันก่อนเถอะขอรับ”
หลานเผิงกล่าวขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้คนออกไปจัดเตรียมอาหารและนำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าไปข้างใน
ตระกูลหลานก็ดำเนินการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก ภายในเวลาเพียงไม่นาน อาหารมื้อโอชะก็ถูกนำมาเรียงรายบนโต๊ะภายในโถงรับประทานอาหาร
ทุกคนนั่งลงรวมตัวกันและรับประทานอาหารพลางพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเท่าใดนัก
“สหายน้อยอวี้โม่ ข้าได้ยินจากลูกชายของข้าว่าเจ้ามาจากดินแดนเทพมายางั้นรึ ? ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยไปที่ดินแดนเทพมายาครั้งหนึ่งและชอบมันมากทีเดียว”
หลานชางไห่กล่าวขึ้นเบา ๆ เขาเคยได้ยินหลานเผิงกล่าวถึงฉินอวี้โม่และสหายก่อนหน้านี้จึงทราบว่าพวกนางมาจากดินแดนเทพมายา
เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยเดินทางไปที่ดินแดนเทพมายาโดยใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นพักใหญ่และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก…
“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งพูดคุยกันเรื่องเรื่อยเปื่อยเลยขอรับ สำหรับสถานการณ์ในดินแดนมหาเทพของเราตอนนี้ ไม่ทราบว่าท่านพ่อและขุมกำลังอื่นในเมืองราชวงศ์มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง ?”
หลานเผิงอดกล่าวขัดจังหวะไม่ได้ ตอนนี้ดินแดนมหาเทพแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนและการตัดสินใจเลือกฝ่ายของขุมกำลังใหญ่ในเมืองราชวงศ์จะเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสถานการณ์ทั่วทั้งดินแดน หากขุมกำลังเหล่านั้นเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับนิกายกระบี่สายฟ้า พวกเขาก็จะมีความมั่นใจในการจัดการกับจอมยุทธ์ปีศาจเพิ่มมากขึ้น
“เจ้าพวกเฒ่าชราของตระกูลราชวงศ์มักจะชาญฉลาดและปกป้องตัวเองอยู่เสมอ ครานี้พวกเขาอาจจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว ทว่าบางทีอีกสองขุมกำลังที่เหลือก็อาจจะร่วมมือกับจอมยุทธ์ปีศาจไปแล้ว ตระกูลหลานของเราจะยืนอยู่ในฝั่งของความถูกต้องและไม่มีทางเลือกเข้าร่วมกับจอมยุทธ์ปีศาจโดยเด็ดขาด !”
หลานชางไห่กล่าวถึงสถานการณ์ในเมืองราชวงศ์อย่างคร่าว ๆ และพวกเขาต่างก็ทราบถึงสถานการณ์ของดินแดนมหาเทพเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังใหญ่ทั้งสี่ของเมืองราชวงศ์แห่งมณฑลกลางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก หลานชางไห่มิอาจคาดเดาได้เลยว่าขุมกำลังอื่นจะตัดสินใจกันอย่างไร
สิ่งที่เขายืนยันได้ในตอนนี้คือตระกูลหลานจะเลือกอยู่ในฝ่ายของความถูกต้องอย่างแน่นอนและไม่มีทางคิดทำข้อตกลงกับจอมยุทธ์ปีศาจ
“เท่านี้ก็พอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสนใจขุมกำลังเหล่านั้นหรอก”
พวกเขาไม่ได้สนใจขุมกำลังเหล่านั้นมากนัก เพียงการอาศัยพลังความแข็งแกร่งของฝ่ายตนเองก็มากพอที่จะรับมือกับจอมยุทธ์ปีศาจได้