คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1037 เล่นละคร
ภายในตำหนักของหลงอวี้เทียน ทุกคนรวมตัวกันและสาดวาจากันเสียงดังโดยที่ไม่คิดปิดบังบทสนทนาของตนเอง
“พี่สาม ช่วงที่พี่รองเก็บตัวในห้องฝึกยุทธ์ก็มีเพียงท่านเท่านั้นที่เข้าไปที่นั่น พวกเราไม่เคยเข้าไปที่นั่นมาก่อน ท่านริษยาที่พี่รองสนิทสนมกับเราสองคน เพราะเหตุนั้นจึงวางแผนทำร้ายนาง ข้าว่าท่านอย่าปฏิเสธจะดีกว่า !”
หลงเฟยเอ๋อร์เชื่อวาจาของฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงดังขณะมองหลงซินเอ๋อร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าไม่ได้ทำ พี่รองสนิทกับเจ้าก็จริง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและนางก็ดีไม่น้อยเช่นกัน เหตุใดข้าจะต้องทำร้ายพี่รองด้วยเล่า ? หลงเฟยเอ๋อร์…ข้าทราบดีว่าเราไม่ถูกกันมานาน แต่เจ้าจะมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ไม่ได้ !”
หลงซินเอ๋อร์ส่ายศีรษะปฏิเสธคำกล่าวหาก่อนหันไปกล่าวกับหลงอวี้เทียน “ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ ข้าไม่ได้คิดทำร้ายพี่รองจริง ๆ”
หลงอวี้เทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและแสดงสีหน้าราวกับเชื่อว่าหลงซินเอ๋อร์มีส่วนในการหายตัวไปของหลงยวี่เอ๋อร์อย่างแท้จริง ถึงอย่างไร องค์หญิงรองของตระกูลราชวงศ์ก็เข้าสู่สภาวะบ่มเพาะจำศีลมานานแล้วและมีเพียงหลงซินเอ๋อร์เท่านั้นที่เข้าไปที่นั่น อีกทั้งมันยังเป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่หลงยวี่เอ๋อร์หายตัวไป
อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นบุคคลที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบอย่างมาก เมื่อเห็นหลงเพ่ยเอ๋อร์พยักศีรษะเบาๆเป็นสัญญาณ เขาก็ทราบดีว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“ซินเอ๋อร์ หากนี่เป็นฝีมือของเจ้าจริง ๆ เจ้าก็รีบบอกเรามาเถอะว่าพี่รองของเจ้าอยู่ที่ใดและข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่หากยังไม่ยอมรับความผิด ข้าคงจะผิดหวังในตัวเจ้ามาก”
เขามองหลงซินเอ๋อร์และกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ท่านพ่อ…ท่านไม่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ ?”
สีหน้าของหลงซินเอ๋อร์ในตอนนี้บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดขณะกล่าวขึ้นเบา ๆ และมองบิดาด้วยแววตาโกรธเคือง
“ซินเอ๋อร์ ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้า เพียงแต่ความจริงก็ปรากฏชัดตรงหน้าแล้ว ข้าไม่อาจมองข้ามมันได้จริง ๆ”
หลงอวี้เทียนถอนหายใจยาวและมองหลงซินเอ๋อร์ด้วยแววตาผิดหวัง
“พี่ใหญ่ ท่านก็ไม่เชื่อข้างั้นรึ ?”
หลงซินเอ๋อร์มองไปที่หลงเพ่ยเอ๋อร์อีกคราและเอ่ยถามด้วยแววตาสิ้นหวังเต็มที
“น้องสาม ยอมรับผิดเสียเถอะ พวกเราต่างก็เป็นพี่น้องกัน ต่อให้เจ้าจะทำผิดไปจริง ๆ พวกเราก็ยังพอให้อภัยเจ้าได้”
หลงเพ่ยเอ๋อร์เม้มปากแน่นและไม่สบตาหลงซินเอ๋อร์ทว่าแสดงทัศนคติที่ชัดเจน
“ไม่มีใครเชื่อข้าเลยงั้นหรือ ?”
แววตาของหลงซินเอ๋อร์ในตอนนี้ดูสิ้นหวังอย่างที่สุดขณะกวาดสายตามองทุกคนรอบตัว
ทุกคนเพียงส่ายศีรษะเบา ๆ เป็นการยืนยันว่าไม่เชื่อวาจาของนางซึ่งทำให้หลงซินเอ๋อร์หดหู่ยิ่งกว่าเดิม
“ฉินอวี้โม่ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเจ้า ! หากมิใช่เพราะเจ้า เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านพ่อจะไม่เชื่อวาจาของข้า !”
นางตวัดสายตามองฉินอวี้โม่ตาเขม็งก่อนหันหลังกลับและวิ่งออกไปด้วยความโกรธแค้นระคนเสียใจ
ตำหนักของหลงซินเอ๋อร์อยู่ไม่ไกลจากตำหนักของหลงยวี่เอ๋อร์มากนัก ในเวลานี้นางมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักของตนเองโดยตรงและเข้าไปในห้องนอนก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงและเริ่มปลดปล่อยน้ำตาทั้งหมดออกมา
“องค์หญิง…”
คนทั้งตำหนักได้ยินเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของนางและต้องการทำอะไรสักอย่างที่จะช่วยบรรเทาความเศร้าใจของนาง ทว่าทุกคนก็ถูกหลงซินเอ๋อร์ไล่ตะเพิดออกไปทั้งหมด
“ออกไปให้พ้นหน้าข้า !”
แม้ตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ทว่าทุกคนก็มองเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของนางอย่างชัดเจน
คนเหล่านั้นทราบลักษณะนิสัยของหลงซินเอ๋อร์เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อและได้เพียงหันหลังกลับออกไปโดยหลงเหลือหลงซินเอ๋อร์อยู่ในห้องเพียงลำพัง
“มีเรื่องอะไรกันที่ทำให้ซินเอ๋อร์น้องของพี่เสียใจมากเช่นนี้ ?”
น้ำเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของหลงซินเอ๋อร์และทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเรียกสติของตนเองและลุกขึ้นนั่งขณะปาดน้ำตาจากใบหน้า
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่ได้ ?”
นางเงยหน้ามองบุรุษหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ยังคงบูดบึ้ง
“เมื่อครู่ข้ากำลังจะไปพบท่านพ่อแต่ได้ยินเสียงโต้เถียงกันตั้งแต่หน้าตำหนัก เมื่อเห็นเจ้าวิ่งออกมา ข้าจึงเป็นห่วงและมาหาเจ้าที่นี่”
ตระกูลราชวงศ์แห่งมณฑลกลางมีองค์ชายทั้งหมดสามคน องค์ชายใหญ่—หลงจิ้งเฉินมิใช่โอรสโดยกำเนิดของหลงอวี้เทียน หากแต่เป็นโอรสของพี่ชายของเขา ในครานั้นได้เกิดการเหตุการณ์เลวร้ายกับพี่ชายของหลงอวี้เทียนจนทำให้เสียชีวิตไปและเขาก็ได้ฝากฝังให้หลงอวี้เทียนช่วยดูแลบุตรของตน หลงอวี้เทียนก็มอบสถานะองค์ชายใหญ่ให้กับหลงจิ้งเฉินและถึงขั้นให้สิทธิ์ทุกอย่างเสมือนเป็นโอรสแท้ ๆ ของตน กล่าวได้ว่าเขารักและเอ็นดูหลงจิ้งเฉินไม่น้อยไปกว่าบุตรคนอื่น ๆ เลย
รูปลักษณ์ของหลงจิ้งเฉินก็มีความคล้ายคลึงกับหลงอวี้เทียนหลายส่วนและใบหน้าของเขาก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตลอดเวลาซึ่งทำให้ดูเข้าถึงง่ายและผู้คนต้องการเข้าใกล้อยู่เสมอ
“พี่ใหญ่ ท่านพี่ ท่านพ่อและคนอื่น ๆ ไม่มีใครไม่เชื่อวาจาของข้าเลยเจ้าค่ะ”
หลงซินเอ๋อร์มีความสัมพันธ์อันดีกับหลงจิ้งเฉินมาตลอดและยิ่งรู้สึกสะเทือนใจมากขึ้นเมื่อได้ยินวาจาของเขา น้ำตาของนางเริ่มไหลพรากอีกคราทว่าความซับซ้อนบางอย่างก็ฉายวาบในแววตาชั่วขณะหนึ่ง
“ข้าทราบดีว่าคนอื่น ๆ กำลังเข้าใจน้องสามผิด เจ้าเป็นคนจิตใจดีมาตลอด แล้วเจ้าจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายดังที่ถูกกล่าวหาได้อย่างไรกัน”
หลงจิ้งเฉินนั่งลงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยังคงประดับบนใบหน้า
“พี่ใหญ่เชื่อข้าหรือเจ้าคะ ?”
ในที่สุดสีหน้าของหลงซินเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปและแสดงถึงความดีใจเล็ก ๆ ขณะสบตาหลงจิ้งเฉินอย่างมีความหวัง ราวกับพบผู้ที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของนางได้
“แน่นอนว่าข้าเชื่อเจ้า ซินเอ๋อร์ทั้งจิตใจดีและสนิทสนมกับน้องรองมาก ไม่มีเหตุผลเลยที่เจ้าจะคิดทำร้ายนาง”
หลงจิ้งเฉินพยักศีรษะและมองหลงซินเอ๋อร์ที่แววตาแสดงความสับสนเล็กน้อย
“ซินเอ๋อร์ ปกติแล้วท่านพ่อมักจะเอาอกเอาใจเจ้ามาตลอด เกรงว่าเขาคงจะถูกชักจูงโดยผู้ที่ประสงค์ร้ายบางคน และนั่นคือสาเหตุที่เขานึกสงสัยในตัวเจ้า เจ้าควรไปหาพี่สาวและท่านพ่อของเจ้าเพื่ออธิบายอีกครั้งเถอะ ข้าเชื่อว่าทั้งสองจะต้องเชื่อเจ้าอย่างแน่นอน”
เขากล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยวาจาที่ยากจะคาดเดาความหมายที่แท้จริง
“จริงรึเจ้าคะ ?”
หลงซินเอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนนิ่งเงียบไปราวกับใช้ความคิดครู่หนึ่งก่อนลุกพรวดและกล่าวอีกครั้ง “พี่ใหญ่หมายความว่าฉินอวี้โม่จงใจใส่ร้ายข้ารึเจ้าคะ ? หรือว่าการหายตัวไปของพี่รองจะเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่และสหาย ?”
หลงซินเอ๋อร์และฉินอวี้โม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน หากจะกล่าวว่าฉินอวี้โม่จงใจให้ร้ายเพื่อทำให้นางเสื่อมเสีย มันก็มีความเป็นไปได้
“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก ทว่าเจ้าลองคิดดูดี ๆ ถึงความแตกต่างระหว่างตอนนี้และก่อนหน้านี้”
หลงจิ้งเฉินไม่กล่าวออกมาโดยตรงทว่าใช้วาจาชวนคิดเช่นนี้เพื่อจงใจทำให้หลงซินเอ๋อร์นึกถึงฉินอวี้โม่และสหาย
“จะต้องเป็นฉินอวี้โม่แน่ ๆ ข้ามีเรื่องขัดแย้งกับนางที่หน้าห้องโถงก่อนหน้านี้ นางคงจะคิดแค้นข้าอยู่ในใจจึงได้กล่าวหาใส่ร้ายข้าเช่นนี้”
หลงซินเอ๋อร์แสดงสีหน้าราวกับเข้าใจบางสิ่งบางอย่างและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากขึ้น
“แต่พี่ใหญ่…คนพวกนั้นบอกว่าพี่รองหายตัวไปมากกว่าครึ่งปีแล้ว ตอนนั้นฉินอวี้โม่และสหายยังไม่ได้มาที่พระราชวังเลยมิใช่รึ ?”
ความสงสัยบางอย่างผุดขึ้นในหัวใจของหลงซินเอ๋อร์และเอ่ยถามออกไป
แม้นางจะยโสโอหังและใจร้อนอยู่เสมอ นางก็มิใช่คนโง่เขลาที่ไร้ความคิดเป็นของตนเอง ฉินอวี้โม่และคณะเพิ่งมาเยือนพระราชวังแห่งนี้เพียงไม่นานนักและพวกนางก็ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหลงยวี่เอ๋อร์ได้
“น้องสาม คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แม้ว่าในตอนนั้นพวกนางจะยังไม่ได้มาที่นี่ก็จริง แต่ตระกูลหลานก็อาศัยอยู่ในเมืองราชวงศ์แห่งนี้มาตลอดมิใช่รึ ? ข้าจำได้ว่าตระกูลหลานก็สนิทสนมกับฉินอวี้โม่มาก ด้วยทักษะความสามารถของคนตระกูลหลาน ข้าเชื่อว่าไม่ยากเลยที่จะพวกเขาจะจับตัวใครสักคนไป”
หลงจิ้งเฉินตบไหล่หลงซินเอ๋อร์เบา ๆ และกล่าวออกไป
“จริงสิ ตระกูลหลาน ! จะต้องเป็นฝีมือของคนตระกูลหลานแน่ ๆ !”
หลงซินเอ๋อร์เชื่อวาจาของหลงจิ้งเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ข้าจะไปหาท่านพ่อและบอกเขาว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนการสมคบคิดของฉินอวี้โม่และสหาย”
หลังจากกล่าวจบ นางก็วิ่งตรงไปทางประตูของตำหนักทันที
“น้องสาม อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย หากเจ้าปรี่เข้าไปเช่นนี้ ท่านพ่อคงไม่เชื่อเจ้าแน่”
หลงจิ้งเฉินเอ่ยเรียกนางไว้ราวกับต้องการให้นางพิจารณาอย่างรอบคอบ
“น้องสาม เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้โอสถบางอย่างมา ตราบใดที่เจ้าทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กินมันได้ พวกนางก็จะกล่าวได้แต่ความจริง เมื่อถึงตอนนั้น พวกนางจะเปิดเผยแผนการที่วางไว้อย่างแน่นอน”
เขากล่าวพลางหยิบโอสถสีดำขนาดเล็กจำนวนหนึ่งออกมาและยื่นให้กับหลงซินเอ๋อร์