คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 1049 ความเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิรบโบราณ
สำนักเมฆาครามมีสมาชิกไม่มากนัก แม้รวมบรรดาผู้อาวุโสและศิษย์นอกที่ทำหน้าที่จัดการความเรียบร้อยในเรื่องเบ็ดเตล็ดทั่วไป พวกเขาก็มีสมาชิกรวมไม่ถึงห้าร้อยคนซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่ามากหากเทียบกับขุมกำลังอื่น ๆ ในสามสำนักและเก้านิกาย
อย่างไรก็ตาม ศิษย์ทุกคนของสำนักเมฆาครามต่างก็ทรงพลังอย่างยิ่ง แม้จะเป็นบรรดาศิษย์ที่อ่อนแอของสำนักเมฆาคราม หากเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่น ๆ พวกเขาก็มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเป็นจอมยุทธ์แนวหน้าของขุมกำลังเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำนักเมฆาครามมีรากฐานที่มั่นคงเพียงใด
ฟู่อวิ๋นซิวนำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก้าวผ่านประตูมิติและตรงไปยังสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่ทันที
สำนักเมฆาครามเป็นเหมือนหมู่บ้านขนาดเล็กบนยอดเขาที่มีทิวทัศน์งดงามรอบตัวและมีลักษณะผังเมืองที่แปลกตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เรือนของฟู่อวิ๋นซิวตั้งอยู่ในใจกลางของหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งถือเป็นเรือนที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในบรรดาอาคารทั้งหมด
เมื่อเขานำทางฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เข้าไป ฟู่ชางและผู้อาวุโสหลายคนของสำนักเมฆาครามก็กำลังเฝ้ารอกันอยู่แล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ ยินดีต้อนรับสหายน้อยทั้งหลายมาสู่สำนักเมฆาครามของเรา”
ฟู่ชางและผู้อาวุโสหลายคนกล่าวต้อนรับคณะของฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้ม
“คารวะจ้าวสำนักฟู่และผู้อาวุโสทุกท่านเจ้าค่ะ/ขอรับ”
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ โค้งคำนับแสดงความเคารพต่อฟู่ชางอย่างนอบน้อม พวกนางก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจอมยุทธ์อันดับหนึ่งของดินแดนมหาเทพผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
ฟู่ชางมีพลังอำนาจที่แกร่งกล้าอย่างแท้จริงและฉินอวี้โม่ไม่สามารถตรวจจับระดับพลังของเขาได้แม้แต่น้อย นางมั่นใจว่าพลังของเขาเหนือชั้นยิ่งกว่าจ้าวนิกายฮวาฟางเฟยแห่งนิกายหมื่นบุปผาเสียอีก
แม้เปรียบเทียบกับผู้นำของจอมยุทธ์ปีศาจ เขาก็ไม่ด้อยกว่ามากนัก
บรรดาผู้อาวุโสของสำนักเมฆาครามเองก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน พวกเขาหลายคนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเทียบเคียงกับฮวาฟางเฟยได้ นั่นหมายความว่าเพียงผู้อาวุโสของสำนักเมฆาครามเหล่านี้ก็มีความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเดียวกับผู้นำของขุมกำลังอื่น ๆ ในสามสำนักและเก้านิกายซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากสำนักเมฆาคราม สมาชิกจากสำนักเบิกภูผาหลายคนก็มารวมตัวที่ลานกว้างแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็เคยได้พบหน้าพวกเขาหลายคนแล้วและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทีเดียว
ทุกคนทักทายกันอย่างเป็นมิตรก่อนหาที่ว่างนั่งลงอย่างสบาย ๆ
“การที่ข้าเชิญทุกคนมาที่สำนักเป็นการล่วงหน้าเช่นนี้ อันที่จริงเป็นเพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นมากะทันหันและเราต้องสะสางมันเสียก่อน”
ฟู่ชางไม่เสียเวลาและเริ่มกล่าวจุดประสงค์ที่เชิญฉินอวี้โม่และทุกคนมาที่สำนักเมฆาครามล่วงหน้าทันที ถึงอย่างไรการแข่งขันประชันฝีมือของสามสำนักและเก้านิกายก็ใกล้เข้ามาแล้วและเขาไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายใดขึ้นมาก่อนหน้านั้น
มีเพียงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเท่านั้นที่จะสามารถคลี่คลายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้ ต่อให้เขาเดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง ฟู่ชางก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ ‘ที่นั่น’ ได้หรือไม่
“เกิดเรื่องอะไรกันแน่ ?”
ทุกคนมองไปที่ฟู่ชางเป็นตาเดียว แม้แต่สมาชิกของสำนักเบิกภูผาที่มาถึงที่นี่ก่อนก็ยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้าและโม่ฉือเคยไปที่สมรภูมิรบโบราณมาก่อน เจ้าทั้งสองคงจะทราบถึงสถานการณ์ข้างในนั้นเป็นอย่างดี”
สายตาของฟู่ชางเลื่อนมาหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งทำให้ทั้งสองพอจะคาดเดาบางอย่างได้
ในเมื่อจ้าวสำนักเมฆาครามเกริ่นขึ้นมาเช่นนี้ก็หมายความว่าจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างในสมรภูมิรบโบราณอย่างแน่นอนและมันเป็นสิ่งที่ต้องสะสางให้เรียบร้อยโดยเร็ว
สมรภูมิรบโบราณถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทุกคน คนของจอมยุทธ์ปีศาจพยายามหาทางแทรกแซงที่นั่นมาเสมอและต้องการฟื้นคืนชีพซากศพของสิ่งมีชีวิตที่ล้มตายภายในนั้น ในการปะทะกันในสมรภูมิรบโบราณคราก่อน จอมยุทธ์ปีศาจก็ยังไม่สามารถฉวยโอกาสทำตามแผนการของพวกเขาได้ ในทางกลับกัน ฉินอวี้โม่และสหายก็ได้วางข่ายอาคมป้องกันไว้รอบ ๆ และปิดผนึกมันไว้
อย่างไรก็ตาม ครานี้ฟู่ชางแจ้งข่าวให้พวกนางมาที่นี่เป็นการล่วงหน้า คาดว่าจะต้องเป็นเพราะจอมยุทธ์ปีศาจเหล่านั้นลงมือทำอะไรบางอย่างในสมรภูมิรบโบราณเป็นแน่
“ในช่วงที่ผ่านมานี้ คนของจอมยุทธ์ปีศาจเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณเป็นจำนวนมาก ข้าสันนิษฐานว่าพวกเขาพัฒนาวิธีฟื้นคืนชีพซากศพจนสมบูรณ์แล้ว สิ่งมีชีวิตที่ล้มตายในนั้นทรงพลังอย่างมากและข้าคงไม่ต้องเน้นย้ำถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกมันถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมา เพราะฉะนั้น ข้าจึงแจ้งข่าวให้ทุกคนมาที่นี่เป็นการล่วงหน้าเพื่อป้องกันมิให้พวกจอมยุทธ์ปีศาจทำสำเร็จและเราจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในสมรภูมิรบโบราณกลับมาปรากฏตัวในดินแดนอีกได้”
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสมรภูมิรบโบราณเคยเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด หากจอมยุทธ์ปีศาจทำการฟื้นคืนชีพพวกมันได้สำเร็จ มันจะนำพาหายนะมาสู่ดินแดนมหาเทพอย่างแน่นอน สิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นซึ่งไม่มีจิตสำนึกเป็นของตนเองและถูกควบคุมโดยจอมยุทธ์ปีศาจมีพลังมากพอที่จะโค่นทำลายทั่วทั้งดินแดนได้ และทุกคนจะประมาทพวกมันไม่ได้เด็ดขาด
“คนจากเมืองราชวงศ์จะมาถึงในช่วงสองวันนี้ เมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนจะต้องเดินทางไปที่สมรภูมิรบโบราณเพื่อสำรวจดูสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางจอมยุทธ์ปีศาจและมิให้แผนการของพวกเขาประสบความสำเร็จได้”
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและทรงพลัง
“เจ้าค่ะ พวกเราทราบดีว่าจะต้องทำอย่างไร”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมพยักศีรษะและทราบดีว่าควรทำอย่างไร การที่จอมยุทธ์ปีศาจบุกเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณอย่างกะทันหัน นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้วและพวกนางอาจจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ครั้งใหญ่
หลังจากเฝ้ารอเวลาในสำนักเมฆาครามนานหนึ่งวัน ตัวแทนจากเมืองราชวงศ์ก็มาถึงที่นี่ในที่สุด
คนส่วนใหญ่ในกลุ่มคนนับสิบนี้ต่างก็เป็นคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักดีอยู่แล้ว
หัวหน้าคณะตัวแทนครานี้คือองค์หญิงใหญ่หลงเพ่ยเอ๋อร์แห่งตระกูลราชวงศ์และมีสมาชิกอื่น ๆ จากตระกูลใหญ่ในเมืองติดตามมาด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากหลงเพ่ยเอ๋อร์ ตระกูลราชวงศ์ก็ได้ส่งหลงซินเอ๋อร์และหลงเฟยเอ๋อร์มาด้วย คณะของตระกูลหลานก็ถูกนำมาโดยหลานเผิงและมีอีกหลายคนที่ฉินอวี้โม่รู้จักก่อนหน้านี้แล้ว ฉินอวี้โม่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาตัวแทนจากอีกสองตระกูลใหญ่ทว่าสัมผัสได้ถึงพลังที่แกร่งกล้าของพวกเขาซึ่งผู้ที่ทรงพลังที่สุดในคนเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าหลงเพ่ยเอ๋อร์เท่าใดนัก
หลังจากทักทายและพูดคุยกันเล็กน้อย ตัวแทนมากกว่าสิบคนก็ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณและส่วนที่เหลือรอฟังข่าวอยู่ในสำนักเมฆาคราม
เนื่องจากไม่ทราบว่าจะมีวิกฤตอันตรายใดรออยู่เบื้องหน้า ผู้ที่ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณจึงต้องเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งมากพอสมควร ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้ก็คือหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ต่อจากนั้นก็เป็นอวิ๋นซื่อเทียน เซิ่งเซียว หลงเพ่ยเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ที่ถูกเลือกมาเช่นกัน รวมถึงผู้แข็งแกร่งหลายคนจากสำนักเบิกภูผาและจากขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ซึ่งรวมทั้งหมดเป็นคณะสิบหกคน
ผู้ดูแลรับผิดชอบของคณะที่จะเดินทางเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณในครานี้ก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเมฆาครามนามว่า ‘ฟู่ไห่’ ซึ่งมีความแข็งแกร่งที่เป็นรองเพียงฟู่ชางเท่านั้น
เนื่องจากไม่อาจมั่นใจได้ว่าจอมยุทธ์ปีศาจจะส่งผู้ใดเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณ การส่งฟู่ไห่เข้าไปด้วยจะทำให้ทุกอย่างราบรื่นและมั่นใจได้มากขึ้นว่าภารกิจจะไม่ล้มเหลว
ภารกิจในครานี้ถือว่าเป็นภารกิจเร่งด่วนและฟู่ชางได้เตรียมความพร้อมไว้มากแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงไม่ปล่อยให้เวลาล่าช้าอีกและเตรียมตัวเพียงพักหนึ่งก่อนที่ฟู่ชางจะเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นมาในสำนักเมฆาครามโดยตรง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายดังกล่าวเป็นค่ายกลที่ฟู่ชางจัดตั้งขึ้นมาซึ่งสามารถนำทางไปถึงบริเวณรอบนอกของสมรภูมิรบโบราณได้โดยตรงและจะช่วยประหยัดเวลาเดินทางได้มาก
“ครั้งนี้ตาเฒ่านั่นคงจะไม่เดินทางไปที่นั่นด้วยตัวเอง ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งจากจอมยุทธ์ปีศาจ พวกเจ้าก็คงจะรับมือได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม จงระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ถ้าหากรับมือไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาชีวิตของตนเองไว้”
ฟู่ชางกล่าวกำชับกับทุกคนอีกครา แม้มีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่แล้วก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน หากเผชิญภยันตรายที่เกินรับมือ เขาหวังเพียงว่าฉินอวี้โม่และทุกคนจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย ถึงอย่างไรแล้ว หากยังมีชีวิตก็ย่อมมีหวัง ทว่าหากตายไปที่นั่นก็หมายถึงความหวังที่ดับสลายไปอย่างสิ้นเชิง
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และทุกคนพยักศีรษะแสดงความเข้าใจก่อนก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างไม่ลังเล
พริบตาต่อมา แสงสว่างก็ฉายวาบและสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปก่อนที่ทุกคนจะปรากฏตัวขึ้นมาในพื้นที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง
ไม่ไกลจากพื้นที่โล่ง ทุกคนมองเห็นทางเข้าของสมรภูมิรบได้อย่างเลือนรางและมีข่ายอาคมหลายชนิดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่และทุกคนจะโชคดีจนถึงขั้นที่ปรากฏตัวข้างหน้าทางเข้าที่ฉินอวี้โม่ได้จัดวางข่ายอาคมไว้ก่อนหน้านี้อย่างพอดิบพอดี
เรียกได้ว่าทางเข้าของสมรภูมิรบโบราณเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาอย่างแท้จริง…