คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด - ตอนที่ 106 จีหย่ง
“พี่มีคนมารังแกข้า”
จีชางเดินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างช้า ๆ จากเดิมที่ใบหน้าของเขาดูเหมือนคนดื้อด้านไร้เหตุผลก็กลับกลายเป็นใบหน้าแสนชั่วร้าย
เมื่อทุกคนเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นของจีชางก็หมดคำพูดไปในทันที หลังจากฟังวาจางี่เง่าของเขาแล้วทุกคนก็ได้แต่มองตามทิศทางที่เขาเดินไปอย่างอดไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่ทุกสายตาได้พบกับคำตอบ ณ จุดที่จีชางเดินเข้าไปใกล้มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ ซึ่งเขาก็คือ–จีหย่ง พี่ชายผู้แข็งแกร่งของจีชาง
ทันทีที่ได้เห็นคนผู้นั้นผู้ชมเกือบทั้งหมดก็ผงะไปก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเป็นกังวล
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ย่อมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของจีชางเช่นกัน นางเองก็ถึงกับต้องกลอกตาให้กับความงี่เง่าไร้เหตุผลของจีชางผู้นั้น ทว่าเรื่องที่จีหย่งปรากฏตัวขึ้นไม่ได้ทำให้อดีตนักฆ่าสาวหวาดหวั่นหรือแม้แต่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย
จีหย่งผู้นั้นถือเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสามของโรงเรียนราชสำนักในขณะนี้ แน่นอนว่าฝีมือของเขาสูงส่งเป็นอย่างมาก
จีหย่งผู้นี้กล่าวได้ว่ามีพรสวรรค์เป็นเลิศ วันนี้เขาสวมใส่ชุดสีน้ำเงินเรียบหรูและดูสูงส่ง หากพิจารณาเฉพาะรูปลักษณ์และท่าทางของเขาเพียงอย่างเดียว บุรุษผู้นี้ก็คงจะเป็นที่ชมชอบของหญิงสาวทั้งหลายในโรงเรียนได้ไม่ยากและน่าจะเป็นที่หมายปองของบรรดาสาวงามมากมาย ทว่าเป็นเพราะเหตุผลประการหนึ่งซึ่งค่อนข้างใหญ่หลวงและยากเกินกว่าจะรับได้ส่งผลทำให้จีหย่งไม่เคยเป็นที่นิยมของเหล่าสตรีเลย
เหตุผลดังกล่าวคือข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเขา นั่นคือเขาให้ท้ายน้องชายผู้หยิ่งยโสของเขามากจนเกินไป ขอเพียงจีชางอยากจะทำสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นเรื่องถูกหรือผิด จีหย่งก็จะสนับสนุนและให้การช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ และเพราะจีชางนั้นมีนิสัยเอาแต่ใจ ไร้เหตุผลและกัดไม่ปล่อยจนทำให้ไม่มีผู้ใดในโรงเรียนชื่นชอบเขา มีแต่เพียงพี่ชายที่ยอมใจทำตามทุกอย่างแม้กระทั่งลงมือสั่งสอนผู้คนให้ ด้วยเหตุนี้ทุกคนในโรงเรียนจึงพาลไม่ชอบจีหย่งไปด้วย สหายร่วมชั้นปีทั้งหมดก็ตีตัวออกหากจากเขา แม้แต่เหล่านักเรียนหญิงเองก็ด้วย ทุกคนต่างก็กลัวจนไม่กล้าเข้าไปผูกสัมพันธ์กับจีหย่งผู้นี้
“เจ้าคือฉินอวี้โม่อย่างนั้นหรือ ?”
จีหย่งลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาในสนามประลอง สายตาของเขาจับจ้องฉินอวี้โม่ไม่วางตา ในดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจอยู่หลายส่วน อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ใกล้ ๆ บุรุษผู้แข็งแกร่งเป็นลำดับสามของโรงเรียนราชสำนักก็ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติแล้วเอ่ยปากถาม ทันทีที่มองเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่อย่างแจ่มชัด จีหย่งก็รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่งดงามเหลือเกิน และเป็นความงามที่มิอาจสรรหาคำเหมาะสมมาบรรยายได้
“ใช่ ข้าอยากทราบว่ารุ่นพี่จีหย่งมีสิ่งใดจะชี้แนะข้า ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียง สีหน้า และแววตาของนางไม่มีความเกรงกลัวอยู่แม้แต่น้อย
“เจ้าคือคนที่แย่งอันดับหนึ่งของน้องชายข้าไปแล้วยังลงมือทำร้ายเขา”
จีหย่งไม่ได้ถามไถ่ที่มาที่ไปหรือคิดจะไต่สวนหาความจริงก่อนเลย เขาโพล่งวาจาว่าร้ายออกมาด้วยความมั่นใจ
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “แล้วรุ่นพี่จีหย่งตั้งใจจะมาทวงความเป็นธรรมให้เขาอย่างนั้นหรือ ?”
จีหย่งผู้นี้แม้ว่าจะแข็งแกร่งแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว จริงอยู่ว่าหากต้องสู้กันอย่างยุติธรรมโดยใช้มือเปล่าอย่างเช่นเมื่อครู่แล้ว บางทีนางอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทว่าเพียงแค่นางไม่รับคำท้าทายของเขาแต่แรกก็สิ้นเรื่องไป แต่ถ้าหากอีกฝ่ายยังไร้ยางอายไม่สนใจถูกผิด ดึงดันจะลงมือกับบุคคลที่เขารู้ทั้งรู้ว่าอ่อนแอกว่าอย่างนางให้ได้ ฉินอวี้โม่ก็พร้อมที่จะเผยไพ่ตายและให้ซิวจัดการกับเขาทันที
การประลองฝีมือของนักเรียนในโรงเรียนราชสำนัก ถึงแม้จะมีกฎไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธแต่ก็ไม่มีข้อห้ามไม่ให้ใช้อสูรมายา ซิวจัดว่าเป็นอสูรแห่งโชคชะตาของนาง นางก็ย่อมยืมพลังของมันได้ หากไม่ใช่รูปแบบอาวุธแต่ใช้ในรูปแบบอื่นก็น่าจะไม่เป็นปัญหา
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ถึงน้องชายข้าจะทำเรื่องไม่ถูกไม่ควรไปบ้าง แต่อย่างไรเขาก็คือน้องชายข้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร พี่ชายอย่างข้าก็พร้อมจะสนับสนุน ถ้ามีคนมารังแกเขา ข้าก็จะไม่ปรานีคนผู้นั้น ฉะนั้นอย่าตำหนิข้าเลยนะเพราะข้าไม่มีทางเลือก ข้าจะขอท้าเจ้า ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะต้องขอโทษน้องข้าและออกจากโรงเรียนนี้ไปซะ”
จีหย่งออกปากท้าทายฉินอวี้โม่และยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
ในช่วงแรกที่ได้ฟังคำพูดของจีหย่ง ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าแม้ว่าบุรุษผู้นี้จะไม่ใช่คนดี แต่เขาก็ถือเป็นพี่ที่ดีคนหนึ่ง มุมมองที่นางมีต่อนักเรียนผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สามของโรงเรียนจึงดีขึ้นเล็กน้อย ทว่าพอได้ฟังจนจบความนางก็ไม่รู้สึกดีกับคนผู้นี้อีกต่อไป
เขาปกป้องน้องชายเรื่องนั้นยังพอเข้าใจ แต่กล้าเอ่ยวาจาหาเรื่องกันซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ นางจึงถือว่าเขาเป็นศัตรู การที่เขาวางท่าจองหองกล้าบอกให้นางสัญญาว่าจะออกจากโรงเรียนราชสำนักสำหรับนางแล้วไม่ได้ต่างอะไรกับการบอกว่าจะฆ่านางเลยแม้แต่น้อย เดิมทีนางตั้งใจจะปฏิเสธคำท้าทายของอีกฝ่าย แต่ในเมื่อกล้าทำให้นางกรุ่นโกรธถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าคงจะปล่อยไว้ไม่ได้ !
“เฮ้ จีหย่ง เจ้ามันจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว เจ้าเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนห้าดาราแต่กลับมาท้าเสี่ยวโม่เอ๋อร์ที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าและเพิ่งเข้าโรงเรียนวันแรก”
ฉินอี้เฉียงก้าวออกไปอย่างไม่เกรงกลัว เขาเอาตัวยืนบังร่างฉินอวี้โม่เอาไว้ แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายของนางจะยังดูมั่นใจว่าฉินอวี้โม่ไม่เป็นอะไร ทว่าเขาก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี ฉินอวี้โม่คือน้องของเขา เขาทนดูพี่น้องในตระกูลถูกทำร้ายไม่ได้
“ใช่ เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาบอกให้ใครต่อใครออกจากโรงเรียนได้ ทำเนียบดาวรุ่งเป็นทำเนียบแห่งการแข่งขัน เรื่องวันนี้เป็นเพราะจีชางไร้ยางอายจนมาท้านางเอง มันไม่ใช่ความผิดของเสี่ยวโม่เอ๋อร์”
ฉินอี้เพ่ยเองก็ก้าวไปยืนเคียงข้างฉินอวี้โม่ แม้ว่าในด้านระดับพลังตัวนางจะอ่อนแอกว่าฉินอวี้โม่แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่มีสิทธิ์ปกป้องน้องสาว ทางด้านวาจาและจิตใจพี่สาวอย่างนางย่อมมีสิทธิ์อย่างชอบธรรมที่จะช่วยปัดเป่าภัยอันตรายให้
เมื่อได้เห็นพี่ชายและพี่สาวก้าวออกมาปกป้องนางอย่างไม่ลังเล รวมถึงได้ฟังสิ่งที่พวกเขากล่าว รอยยิ้มของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏขึ้น นางใช้ชีวิตมาถึงสองชีวิตแล้ว ในที่สุดในก็ได้รู้จักกับคำว่าความรักและความห่วงใยจากคนในครอบครัวอย่างเต็มรูปแบบเสียที นี่นับว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากมายแล้วสำหรับการมาอยู่ยังโลกมายาที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด ตราบใดที่เจ้ารังแกน้องชายข้า เจ้าก็ต้องได้รับบทเรียนจากข้าจีหย่ง และข้าก็ไม่สนใจด้วยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นแค่นักเรียนใหม่หรือว่าเป็นยอดฝีมือจากที่ไหน ยังไงวันนี้ข้าก็จะขอท้านาง”
จีหย่งแสยะยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวต่อ “ฉินอวี้โม่ เจ้าพูดมาว่าจะรับคำท้าของข้าหรือไม่”
“นี่เจ้า !…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของจีหย่ง สีหน้าของคุณชายรองและคุณหนูสามตระกูลฉินก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าพวกเขาก็ยังเอาตัวยืนบังฉินอวี้โม่ไว้ไม่ออกห่าง
“พี่รอง พี่สาม พวกท่านเชื่อข้า พวกท่านถอยไปก่อน แล้วก็รอชมเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่เอามือแตะไหล่ของญาติผู้พี่ทั้งสองของนางก่อนจะเอ่ยปากบอกเสียงหนักแน่นเพื่อให้พวกเขาสบายใจ
“แต่…”
ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยยังคงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ไม่คลายจากความกังวล
“เชื่อใจข้าได้ ข้าจะไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บหรอก”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขัดผู้เป็นพี่สาว ก่อนจะยิ้มให้พวกเขาทั้งคู่อย่างมั่นใจ
เมื่อมองดูสีหน้าและแววตาอันมั่นใจอย่างเหลือล้นของฉินอวี้โม่ หัวใจฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยก็สงบลง พวกเขาหันมามองหน้ากัน ในตอนนั้นเองที่เสียงตะโกนขององค์หญิงฉีฉีดังขึ้น “พี่อวี้โม่ ข้าจะคอยเป็นกำลังใจให้พี่ !”
“ขอบใจมาก วางใจได้เลย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและมองดูฉินอี้เพ่ยและฉินอี้เฉียงเดินกลับไป
ทว่าในตอนที่นางกำลังจะตกปากรับคำท้าของจีหย่ง นางก็ได้ยินเสียงของเพ่ยหลงดังขึ้นมาเสียก่อน
“รุ่นพี่จีหย่ง ถ้าต้องการจะประลองฝีมือ ข้าขอเป็นคู่ต่อสู้ให้รุ่นพี่จะดีกว่า การที่จะลงมือรังแกรุ่นน้องเข้าใหม่อย่างน้องอวี้โม่ถือว่าไม่สมควร”
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเพ่ยหลงจะด้อยกว่าจีหย่ง แต่นางก็ยังเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนสองดาราตัวจริง ที่สำคัญเรื่องที่จีหย่งต้องการจะให้ฉินอวี้โม่ออกจากโรงเรียนนางเองก็ยอมรับไม่ได้ เพ่ยหลงรู้สึกชื่นชมในตัวสตรีผู้นี้มาก แน่นอนว่านางจะยอมไม่ให้รุ่นน้องคนนี้ต้องออกจากโรงเรียนไปอย่างง่ายดายแน่
“ฮ่า ๆ ๆ ปัญหานี้ไม่เกี่ยวอะไรกับน้องเพ่ยหลง”
จีหย่งหัวเราะแล้วเอ่ยเป็นเชิงปฏิเสธ เขาไม่ยินยอมเปลี่ยนความตั้งใจ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะคิดบัญชีกับฉินอวี้โม่แทนน้องชายของเขาให้ได้
ทว่าเพ่ยหลงก็ยังคงยืนขวางเขาไว้อยู่โดยไม่มีท่าทีว่าจะยินยอมเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้ปัญหานี้อาจจะไม่เกี่ยวกับข้าก็จริง แต่หลังจากเมื่อครู่นี้ ข้าได้นับฉินอวี้โม่เป็นสหายแล้ว หรือว่ารุ่นพี่จีหย่งจะบอกว่าข้าไม่มีสิทธิ์จะช่วยสหายของข้า ?”
เพ่ยหลงยืนกรานช่วยเหลือฉินอวี้โม่ สตรีงดงามและเก่งกาจผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบพสุธายืนประจันหน้าบุรุษรุ่นพี่ผู้แข็งแกร่งติดหนึ่งในสามของทั้งโรงเรียน เพ่ยหลงยิ้มให้จีหย่งโดยไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทางให้เขา
นางได้เห็นการต่อสู้ระหว่างฉินอวี้โม่และจีชางแล้ว แม้ว่าจะดูเหมือนกับว่าฉินอวี้โม่เอาชนะจีชางได้อย่างง่ายดาย แต่นางก็ยังไม่คิดว่าคุณหนูตระกูลฉินจะเอาชนะจีหย่งที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนห้าดาราได้ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าแทรกแซงเรื่องนี้เพื่อที่จะให้รุ่นน้องที่นางชื่นชอบไม่ต้องรับคำท้าทายของอีกฝ่ายและได้อยู่ในโรงเรียนต่อไป
“ฮ่า ๆ ในเมื่อน้องเพ่ยหลงกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ยากจะปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตามหากข้าสู้กับเจ้าแล้วเจ้าแพ้ ทั้งเจ้าและฉินอวี้โม่ต้องออกไปจากโรงเรียนด้วยกันเลย แบบนี้เป็นยังไง ?”
จีหย่งแสยะยิ้มเย็นชา เขาไม่ใช่คนดีมีคุณธรรมอยู่แล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายอยากหาเรื่องใส่ตัวเขาก็จะช่วยสังเคราะห์ให้พวกนางเอง
“พี่จีหย่ง เช่นนั้นจะไม่มากเกินไปหน่อยรึ ความแข็งแกร่งของพวกเราด้อยกว่าอย่างชัดเจน ให้ยอมตกลงรับข้อเสนอร้ายแรงเช่นนั้นพวกเราย่อมรับไม่ได้ แบบนี้จะไม่ใช่การรังแกผู้อ่อนแอกว่าหรอกหรือ”
เพ่ยหลงกล่าวโต้ตอบเสียงเรียบ ทว่ากลับแย้มรอยยิ้มบาง อย่างไรก็ตามวาจาของนางทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนขึ้นทันที
“ใช่ ใช่ จีหย่งแข็งแกร่งกว่าแม่นางทั้งสองมาก ไม่ต้องกล่าวถึงสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ต่อให้แม่นางทั้งสองร่วมมือกันก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา การที่เขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับตั้งใจจะข่มเหงรังแกพวกนางแล้ว”
“ใช่ นี่มันรังแกกันชัด ๆ ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดท่านอธิการและบรรดาอาจารย์ทั้งหลายยังอนุญาตให้อันธพาลเช่นนี้อยู่ในโรงเรียนเราได้อีก”
“พวกเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้าว่าคนที่ควรจะออกไปจากโรงเรียนคืออันธพาลอย่างเขามากกว่า ถ้าหากว่าอยากจะข่มเหงรังแกผู้คนมากนักก็ออกไปหาข้างนอกนู้น คนแบบนี้ปล่อยไว้ก็เอาแต่ระรานนักเรียนคนอื่น ๆ จนไม่เป็นสุข”
“ใช่ ใช่ จีหย่งถ้าเจ้าอยากจะประลองพลังนักก็ไปท้าปิงเสวียนและลั่วเฉินที่อยู่ในอันดับหนึ่งและสองของทำเนียบนภาสิถึงจะสมเป็นลูกผู้ชาย จะมัวแต่ท้าคนที่ด้อยกว่าเจ้าให้คนเขาสาปแช่งอยู่ทำไม ?!”
ไม่ทราบเช่นกันว่าใครเป็นผู้เปิดประเด็นขึ้น ทว่าตอนนี้นักเรียนหนุ่มสาวจำนวนมากมายทั้งบุรุษและสตรีทุกรุ่นทุกวัยต่างก็ส่งเสียงตะโกนไม่พอใจดังลั่นไปทั่วสนามประลอง
เมื่อได้ยินคำครหาของสาธารณชน ใบหน้าของจีหย่งก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดขึ้นมาทันที สิ่งที่ทำให้เขาโกรธที่สุดคือการถูกรุมประณามหยามเหยียด เวลานี้ทุกคนต่างส่งเสียงด่าหาว่าเขารังแกคนไม่มีทางสู้ แต่ก่อนเพราะความแข็งแกร่งจนติดอันดับทำให้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าด่าทอเขาต่อหน้า แต่ในเมื่อคนหมู่มากกล่าวขึ้นมาพร้อมกันเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะโกรธเพียงใดก็ไม่สามารถใช้กำลังตอบโต้หรือแม้แต่เอ่ยแย้งสิ่งใดกลับไปไม่ได้
“หุบปาก ! พวกเจ้าก็แค่อิจฉาความแข็งแกร่งของพี่ใหญ่ข้าเท่านั้น พวกเจ้าเอาชนะเขาไม่ได้ก็เลยฉวยโอกาสด่าทอเขา ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าระวังคำพูดเอาไว้ เก็บปากไว้กินข้าวจะดีกว่า”
จีชางตะโกนตอบโต้ฝูงชนเพื่อแก้ต่างแทนพี่ชาย อย่างไรก็ตามคนอย่างจีชางก็ไม่ได้คิดจะเอาใจใส่และคล้อยตามเนื้อความของคำวิจารณ์เหล่านั้นเลย
“ฮ่า ๆ ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เจ้าก็ควรจะเรียนรู้การเป็นสุภาพบุรุษเสียบ้าง พวกเราทั้งหลายชื่นชมผู้ที่มีหัวใจแข็งแกร่งและไม่เคยข่มเหงผู้บริสุทธิ์และอ่อนแอ ไม่ใช่พวกที่เที่ยวใช้ความแข็งแกร่งข่มเหงผู้คน และกระทำหยาบช้าไร้ยางอาย”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวอย่างเย้ยหยันสนับสนุนกระแสเสียงแห่งฝูงชน แม้ว่านางจะรู้ดีว่าสหายของนางคงมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อยู่และไม่ได้เกรงกลัวจีหย่งเลย แต่กระนั้นด้วยกฎการประลองที่ห้ามมีการใช้อาวุธ นางยังอดลอบหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ว่าฉินอวี้โม่อาจจะพลาดท่าเสียทีแล้วต้องออกจากโรงเรียนไปจริง ๆ
“ใช่แล้ว ถึงฝีมือจะดีเลิศแต่นิสัยกลับย่ำแย่น่ารังเกียจ คนแบบนี้ยังกล้ามาท้าประลองกับผู้อื่นอีกอย่างนั้นหรือ ?”
สหายของฉินอวี้โม่ช่วยกันกล่าวส่งเสริมอีกแรง ต้องบอกเลยว่าตอนนี้นักเรียนผู้มาดูชมการประลองต่างก็เดือดดาลกันอย่างมาก เดิมทีพวกเขาก็ไม่ชอบพี่น้องคู่นี้จากข่าวเสียหายที่เคยได้ฟังมาอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นความไร้เหตุผลของคนทั้งสองด้วยตาตัวเองในวันนี้ก็เหมือนกับเป็นการจุดชนวนความแค้นเคืองของทุกคน
เมื่อได้ยินเสียงติเตียนของคนหลายคนใบหน้าของสองบุรุษแซ่จีก็บิดเบี้ยวจนน่าเกลียด อย่างไรก็ตามจีหย่งก็ไม่ใช่คนที่จะใส่ใจความคิดเห็นของผู้อื่น เขาไม่สนใจคำพูดของใครทั้งนั้น แม้ว่าจะมีคนวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความตั้งใจที่จะคิดบัญชีกับสตรีตรงหน้าได้
“พวกเจ้าสองคนว่ายังไง ? ตกลงจะรับคำท้าหรือไม่รับ ?”
จีหย่งเอ่ยเร่งเร้า ขอเพียงเพ่ยหลงกับฉินอวี้โม่ไม่ยอมรับคำท้า เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้ไม้แข็งเพื่อสั่งสอนผู้ที่กล้าทำร้ายน้องชายและกล้าทำให้พวกเขาสองพี่น้องต้องอับอายขายหน้าต่อสาธารณชน ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ต่อให้เขาต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนราชสำนักเขาก็ไม่สนใจ
หลังจากได้มอบบทเรียนอันไม่รู้ลืมให้ฉินอวี้โม่แล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะออกจากโรงเรียนราชสำนักไปท่องโลกกว้างสร้างชื่อให้กับตัวเองในแผ่นดินใหญ่ อย่างไรตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกว่าได้ใช้วันเวลาเพื่อฝึกฝนในรั้วโรงเรียนมามากพอแล้ว การจะอุดอู้อยู่ต่อไปในที่แห่งนี้ก็คงไม่เกิดประโยชน์ ถึงเวลาที่เขาควรจะออกไปแสวงหาโอกาสวาสนาอันดีงามของตนเองเสียที
เพ่ยหลงและฉินอวี้โม่หันมามองหน้ากัน พวกนางไม่มีความเกรงกลัวอยู่เลย ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเพ่ยหลงไม่ใช่คนธรรมดา รุ่นพี่สาวก็คงมีไพ่ตายซ่อนอยู่เช่นกัน หากว่านางเผยไพ่ตายนั้นออกมาก็อาจจะไม่เป็นรองจีหย่งก็ได้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของตัวเอง นางจึงอยากจะแก้ปัญหานี้เอง ทว่าในตอนที่นางกำลังจะกล่าวขอบคุณเพ่ยหลงและรับคำท้าของจีหย่งก็มีเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชน
“ถ้าเจ้าอยากจะประลองกับฉินอวี้โม่ เจ้าก็ต้องเอาชนะผู้พิทักษ์อย่างข้าให้ได้ก่อน”
.